ั้แ่ตอนแรกจนถึงตอนท้ายหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยถามนามของพี่น้องคู่นั้น
ขณะที่นางจับชีพจรให้ชายหนุ่มคนนั้น นางพบว่าบนนิ้วของเขามีหนังแข็งกระด้างจากการทำงานหนักมาเป็เวลานานอยู่หลายจุด อีกทั้งร่างกายของชายผู้นี้แข็งแรงกำยำมาก เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็คนมีความสามารถ
ตอนที่เด็กชายคนนั้นฉกชิงถุงเงินของนางไปแล้วนางไล่ตามไม่ทัน ตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าความเร็วของเด็กคนนั้นเร็วมาก หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นี่มิใช่เป็เพราะเขามีความเร็วที่รวดเร็ว แต่เป็เพราะเขารู้วิชาตัวเบาต่างหาก เห็นได้ชัดว่าพี่น้องคู่นี้เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ ไม่น่าจะมีความเป็อยู่ที่น่าเวทนาเช่นนี้ ดังนั้นแล้ว ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ธรรมดา ถ้าหากก่อเื่ยั่วยุคนเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีปัญหาขึ้นมาอีก
ครั้นกลับไปถึงเหลาอาหารสกุลหลิง ก็เห็นเพียงเงาร่างผอมบางร่างหนึ่งเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าประตู
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปหนึ่งที แล้วเดินเข้าไปหาคนผู้นั้น "ท่านอาสะใภ้สี่ เหตุใดท่านถึงไม่เข้าไปเ้าคะ? "
คนผู้นั้นก็คือหลานซื่อที่เป็ลมล้มลงไปในร้านของพวกเขาเมื่อวานก่อนนั่นเอง
เมื่อหลานซื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ พวงแก้มของนางก็ขึ้นสีแดง พลางเอ่ยอย่างรู้สึกกระดากอาย "การค้าของพวกเ้าดีมาก ข้าไม่กล้าเข้าไปรบกวน แต่ว่ามีเื่บางอย่างที่จะต้องบอกแก่พวกเ้า เมื่อวานข้าได้ยินคนในหมู่บ้านกล่าวกับท่านย่าของเฉิงจื่อบอกว่าบ้านของพวกเ้าเปิดร้านค้าอยู่ที่นี่ พวกเ้าจะต้องระวังสักหน่อย ข้าเป็ห่วงว่านางจะมาหาเื่พวกเ้าอีก"
ท่านย่าของเฉิงจื่อที่หลานซื่อกล่าวถึงก็คือหวังซื่อ หวังซื่อไม่ชอบหลานซื่อ หลานซื่อก็ไม่ชอบหวังซื่อเช่นกัน นางแต่งงานเข้ามาแล้วหลายปีไม่เคยเรียกขานหวังซื่อว่า 'ท่านแม่' เลย
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลานซื่ออย่างเห็นอกเห็นใจ สตรีที่แสนดีขนาดนี้ ประสบพบเจอกับหลิงหลินคนเลวทรามผู้นั้นได้อย่างไร? ช่างเป็ดอกไม้งามปักบนขี้วัว [1] จริงๆ
“ขอบคุณท่านอาสะใภ้สี่ พวกข้าจะระวังตัวเ้าค่ะ” หวังซื่อยังจะกล้ามาสร้างปัญหาให้พวกเขาอีก? เื่เมื่อคราวที่แล้วยังไม่ได้ทำให้นางหลาบจำเลยหรือ?
"่หลายวันมานี้คนในหมู่บ้านล้วนรู้เื่ที่พวกเ้าเปิดร้านกันหมดแล้ว ยังมีคนกล่าวว่า พี่ชายบุญธรรมผู้นั้นของเ้าไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว" หลานซื่ออธิบายสาเหตุของเื่ราวให้หลิงมู่เอ๋อร์ฟัง
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาหวังซื่อและหลิงซงจึงไม่ได้หวาดกลัวนางมากนัก หากนางไม่ระมัดระวังแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะตกหลุมพรางของพวกเขาจริงๆ ก็เป็ได้
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว เอ่ยพึมพำเบาๆ ว่า "ถ้าหากพวกเขา้ารนหาที่ตาย ข้าก็จะสงเคราะห์ให้พวกเขา ประจวบเหมาะกับ่นี้ก็เบื่อหน่ายเป็อย่างยิ่ง ก็รอดูว่าพวกเขา้าจะเล่นงานอย่างไรแล้ว"
หลานซื่อมองแม่นางน้อยตรงหน้าอย่างซับซ้อน ไม่ได้พบกันเพียงไม่นาน สาวน้อยผู้อ่อนแอคนนั้นในตอนแรกกลับกลายเป็คนที่มีความสามารถมากขนาดนี้ไปแล้ว คนบ้านนั้นมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กผู้นี้ และยังคิดว่านางจะบีบบังคับได้ง่ายเหมือนอย่างเมื่อก่อน พวกเขาก็ไม่คิดไตร่ตรองด้วยซ้ำ ว่าเด็กสาวคนนี้ทำให้พวกเขาเสียเปรียบขนาดนั้น แล้วนางจะเป็แม่นางที่มีฝีมือธรรมดาได้อย่างไรกัน?
“คำพูดก็กล่าวออกมาหมดแล้ว เ้าจัดการตามเห็นสมควรเถิด! ” หลานซื่อมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยสายตาซับซ้อน "ข้าไปก่อนแล้ว"
“ท่านอาสะใภ้สี่...” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลานซื่อ พลางเอ่ยเบาๆ ว่า “บ้านหลังนั้นเป็บึงัถ้ำเสือ [2] ท่านกับเฉิงจื่อต่างก็เป็คนดี ตัดขาดจากคนพวกนี้ให้เร็วขึ้นเถิดเ้าค่ะ! "
“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ว่า เ้าก็กล่าวว่าที่นั่นเป็บึงัถ้ำเสือ ข้าจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร?” หลานซื่อเอ่ยอย่างขมขื่น “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของเ้า ในครอบครัวนี้ ก็มีแค่พวกเ้าเท่านั้นที่ยินดีห่วงใยพวกข้าแม่ลูก พวกข้าขอรับความเมตตาจากพวกเ้าเอาไว้แล้ว”
“หลิงหลินภายนอกแข็งแกร่งแต่ภายในนั้นอ่อนแอ ท่านอย่าได้กลัวเขาเ้าค่ะ ขอเพียงแค่มีเจตนาตั้งใจก็ไม่ยากที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของเขาแล้ว ท่านอาสะใภ้สี่เป็คนฉลาด” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวชี้นำ
แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะสงสารหลานซื่อ แต่ว่านี่คือความสุขชั่วชีวิตของนาง ถ้านางไม่รู้จักใส่ใจ เหตุใดตนเองจะต้องกังวลไปด้วย?
หลังจากที่หลานซื่อจากไป นางนึกถึงพี่น้องที่อยู่ในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมหลังนั้นขึ้นมา เดิมทีนางตั้งใจจะส่งคนไปส่งยา แต่ดูจากตอนนี้ นางควรจะไปที่นั่นด้วยตนเองอีกสักรอบ!
เดิมทีกำลังคนในร้านค้าก็ขาดแคลนมากอยู่แล้ว หากส่งคนไปก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ จะเป็เช่นไร ก่อนอื่นจะต้องไปซื้อยาตามเทียบยา แล้วจึงหาสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ แบบนั้นก็ต้องเสียเวลาไปไม่น้อย
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้เข้าไปในร้าน แต่ไปที่ร้านขายยาโดยตรง นางทราบอาการาเ็ของชายผู้นั้น ดังนั้นจึงเอ่ยปากร่ายชนิดของสมุนไพรหลายอย่างออกมา เด็กปรุงยาจดจำนางได้และรู้ว่านางรู้วิชาแพทย์จึงไม่กล้าคิดราคาแพงกับนาง สมุนไพรแต่ละชนิดล้วนราคาถูกกว่าตอนขายให้ผู้อื่นมาก
“ยามาแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาที่บ้านเก่าทรุดโทรมที่พี่น้องคู่นั้นอาศัยอยู่ชั่วคราว นางมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ ขมวดคิ้วพลางกล่าว "คงจะไม่มีแม้แต่หม้อต้มยากระมัง? "
เด็กชายคิดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะกลับมาจริงๆ เขายังนึกว่านางคงจะจากไปทั้งอย่างนี้เสียแล้ว ตอนนี้เห็นนางกลับมาเขาก็ดีใจมาก "แม่นางมาแล้ว"
“เหลวไหล ข้าเคยบอกว่าจะช่วยเ้าก็ไม่มีทางเลิกล้มกลางคัน” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ หากปล่อยให้พี่ชายของเ้าพักฟื้นอยู่ที่นี่ เกรงแต่ว่าาเ็เพิ่งจะหายดีก็อาจจะเกิดเป็โรคอื่นแทรกซ้อนก็เป็ได้ เอาเช่นนี้เถิด! ข้าจะหาโรงหมอให้พวกเ้า พวกเ้าไปพักอยู่ที่โรงหมอ ที่นั่นยังมีคนต้มยาให้เ้าโดยเฉพาะด้วย”
"ไม่ พวกข้าไม่ไป" เด็กชายมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างระแวดระวัง "ถ้าหากแม่นางอยากจะช่วยพวกข้าจริงๆ ก็นำยาทิ้งเอาไว้ที่นี่เถิด! ข้า...ค่อยคิดหาวิธีต้มยาเอง"
หลิงมู่เอ๋อร์มองเด็กชายตรงหน้าอย่างสงสัย นางนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มที่ได้รับาเ็คนนั้นเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์คนหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ขอทานทั่วไป
ดูเหมือนว่าพี่น้องคู่นี้จะมีเื่ราวความเป็มา
นางกับพวกเขาพบกันโดยบังเอิญ ไม่จำเป็ต้องยุ่งเกี่ยวกับเื่ของพวกเขา ในวันนี้ก็ได้จัดหายาให้แก่พวกเขาก็ถือเป็การทำคุณธรรมสำเร็จลุล่วงไปแล้ว
“เอาเช่นนั้นก็ได้! นี่คือเงิน เ้าเอาไปซื้อเตาและหม้อใบเล็ก คิดว่าน่าจะต้มยาได้แล้ว" หลิงมู่เอ๋อร์วางเงินลงบนเสื้อผ้าของชายหนุ่มที่ได้รับาเ็
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น นางจะไม่สนใจเื่ของพวกเขาอีกต่อไป
เด็กชายทอดมองไปที่ด้านหลังของหลิงมู่เอ๋อร์ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็ซับซ้อนขึ้นมา
พี่ชายไม่ได้สติมาชั่วขณะหนึ่งแล้ว ถ้าหากมีความผิดพลาดอันใดอีก เขาจะช่วยพี่ชายได้อย่างไร? แม่นางท่านนี้จิตใจดี หากสามารถติดตามนางได้ บางที...
ตุ้บ! เด็กชายคุกเข่าลงบนพื้นและโขกศีรษะไปทางด้านหลังของหลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวเสียงดังว่า "แม่นาง ได้โปรดพาพวกข้าไปด้วยเถิด! ข้ายินดีจะเป็ข้ารับใช้ให้ท่าน"
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงโขกศีรษะอย่างแรง ก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บแทนเขา
นางกล่าวเสียงราบเรียบว่า “ข้าไม่้าข้ารับใช้”
“แม่นาง ท่านเป็คนดีมีจิตใจเมตตา พี่ชายข้าาเ็จนมีสภาพเป็เช่นนี้ ขอร้องท่านช่วยหาหนทางรอดให้เขาด้วยเถิด!” เด็กชายผู้นั้นมองไปที่นางอย่างเ็ปใจ "แม่นาง..."
“ข้าได้ทำในสิ่งที่สมควรทำไปแล้ว ต่อไปถ้าหากเ้ายังดูแลเขาไม่ดี ข้าก็มิอาจช่วยอันใดได้แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างใจแข็ง
ไม่ใช่ว่านางไม่้ารับสองคนนี้เพิ่ม ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ หากสามารถรับพวกเขาเอาไว้และนำมาช่วยเหลืองาน แน่นอนว่าย่อมเป็เื่ที่ดียิ่ง ปัญหาคือนางไม่รู้จักสองคนนี้ดีพอและไม่รู้ว่าอุปนิสัยของพวกเขาทั้งสองคนเป็อย่างไร คนในครอบครัวของนางล้วนแต่เป็คนดี ถ้าพบเจอกับคนทรยศและคนชั่ว นั่นก็เป็การนำความเดือดร้อนมาสู่พวกเขาแล้ว
ครั้นเด็กชายเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ยินยอมตอบรับ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมา เขามองไปที่ชายหนุ่มผู้ที่นอนอยู่บนพื้น แล้วกล่าวกับตนเองว่า "พี่ชาย ท่านตายไม่ได้นะขอรับ"
ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด เมื่อได้ยินเสียงที่สิ้นหวังของเด็กชาย หลิงมู่เอ๋อร์ก็นึกถึงตนเองในอดีตขึ้นมา
ในอดีตหลิงมู่เอ๋อร์ก็อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ในใจรู้สึกสับสนและท้อแท้ นางในตอนนั้นก็รู้สึกเศร้าหดหู่ใจเช่นนี้เหมือนกัน แต่ว่า...นางสามารถทำอย่างไรได้บ้าง?
ช่างเถิด! เด็กชายคนนี้เป็คนให้ความสำคัญกับมิตรภาพและความสัมพันธ์ ไม่น่าจะเป็คนทรยศชั่วร้าย ชายหนุ่มผู้นั้นที่นอนไม่รู้สติมีสีหน้าดีขึ้นมาก แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็คนที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา นางจะลองเดิมพันสักรอบก็แล้วกัน! ถ้าหากสองคนนี้มีคิดไม่ซื่อ นางก็ยังมีอาวุธลับที่ซั่งกวนเซ่าเฉินทิ้งไว้ให้นางจัดการกับพวกเขา
ถ้าหากเดิมพันถูกต้อง ในบ้านก็จะมีผู้ฝึกวรยุทธ์เพิ่มอีกสองคน เช่นนั้นย่อมปลอดภัยขึ้นมาก
"เ้าสามารถพยุงพี่ชายเ้าลุกขึ้นได้หรือไม่?" หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกายมองไปที่เด็กชายคนนั้นพลางกล่าว "ถ้าสามารถเคลื่อนย้ายได้ ก็พาเขาตามไปกับข้าก็แล้วกัน!"
ภายในดวงตาของเด็กชายฉายประกายแห่งความตื่นเต้น เขาแบกชายหนุ่มบนพื้นขึ้นอย่างมีความสุข พยายามเดินตามให้ทันฝีเท้าของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างสุดกำลัง
ชายหนุ่มได้รับาเ็อย่างหนัก เขาแบกเช่นนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะไปโดนาแของเขา หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสภาพการณ์แบบนั้นแล้วก็ออกไปหารถม้าหนึ่งคัน ให้เด็กชายนำคนเจ็บขึ้นบนรถม้า
สายตาของเด็กชายมองหลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งซาบซึ้งขึ้นกว่าเดิม บนรถม้า เขากล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ "ข้ามีนามว่าโจวฉี่รุ่ย แม่นางมีนามว่าอันใด?"
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าเด็กชายผู้นี้อายุไม่ต่างกับนางมากนัก ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะเด็กกว่านาง ทว่าท่าทางที่ดูราวกับผู้ใหญ่นี้ช่างทำให้รู้สึกน่าขันจริงๆ
"โจวฉี่รุ่ย? ชื่อนี้ไม่เลว พี่ชายเ้าล่ะ?" หลิงมู่เอ๋อร์ชำเลืองมองไปยังชายหนุ่มที่ได้รับาเ็หนึ่งที กล่าวเสียงนิ่ง "ข้ามีนามว่าหลิงมู่เอ๋อร์"
“แม่นางหลิง” ใบหน้าของโจวฉี่รุ่ยเต็มไปด้วยคราบสกปรก ทำให้มองหน้าของเขาได้ไม่ชัด ทว่าดวงตาคู่นั้นฉายประกายออกมา มองดูก็รู้ว่าเป็คนเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง “พี่ชายข้านามว่าโจวฉี่เยี่ยน”
"อืม..." หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใดอีก
“ท่าน จะไม่ถามอะไรพวกเราหน่อยหรือ?” โจวฉี่รุ่ยหน้าแดง กล่าวด้วยความรู้สึกละอาย
“ข้าควรถามอะไรเ้าหรือ? หากเ้าเต็มใจที่จะพูด คิดว่าก็น่าจะบอกข้าด้วยตัวเ้าเอง หากไม่เต็มใจพูด ข้าเอ่ยถามพวกเ้าไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นแล้ว จึงไม่ควรที่ถาม ั้แ่ไหนแต่ไรมาข้าไม่ถามมากความอยู่แล้ว" หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเรียบราบ "ข้าช่วยพวกเ้า ก็เป็เพียงเื่ที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ชั่วขณะเท่านั้น พวกเ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ"
โจวฉี่รุ่ยมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างสงสัย เมื่อครู่หลิงมู่เอ๋อร์ยอมช่วยพวกเขาอย่างกะทันหัน เขาคิดว่านางมีจุดประสงค์บางอย่าง ถึงอย่างไรพวกเขาเจอกันโดยบังเอิญ นางจึงไม่จำเป็ต้องยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้ ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวออกมาได้อย่างธรรมชาติ นางช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน นี่ก็ช่างแปลกเกินไปอยู่บ้าง
ครั้นนึกถึงเื่นี้ โจวฉี่รุ่ยรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง พี่ชายได้รับาเ็สาหัส ถ้าไม่ได้พบกับแม่นางท่านนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เขาจะสงสัยในเจตนาของนางได้อย่างไร?
ครั้นเดินทางมาถึงเหลาอาหารสกุลหลิง โจวฉี่รุ่ยพยุงโจวฉี่เยี่ยนลงจากรถม้า หลิงมู่เอ๋อร์จ่ายค่าเช่ารถม้า จากนั้นก็เดินตามโจวฉี่รุ่ยเข้าไป
ตอนนี้มีลูกค้าอยู่ไม่น้อย นางถือโอกาสในขณะที่ไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา ตรงไปที่เรือนด้านหลัง
"เมื่อครู่นั้นคือผู้ใด? เหตุใดถึงได้เข้าไปที่เรือนด้านหลังของพวกเรา?" หยางต้าหนิวเพิ่งเดินมาจากห้องครัว เห็นเงาร่างสายหนึ่งเดินไปทางด้านหลัง จึงเอ่ยถามหลิงจื่อเซวียนที่อยู่โต๊ะคิดเงิน
หลิงจื่อเซวียนไม่อาจยืนได้เป็เวลานาน เมื่อสักครู่เขานั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะคิดเงิน ครั้นได้ยินคำพูดของหยางต้าหนิว เขาจึงขมวดคิ้วพลางกล่าว "เมื่อครู่ข้าไม่ทันได้สังเกตขอรับ"
“ข้าจะไปดูที่เรือนด้านหลังสักหน่อย อย่าได้เป็หัวขโมยที่แอบเข้ามาเลย” หยางต้าหนิวกล่าว วางกาน้ำชาในมือของเขาไว้บนโต๊ะคิดเงิน จากนั้นจึงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปที่ด้านหลังจวน
หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจัดแจงให้พี่น้องโจวฉี่รุ่ยพักอยู่ในห้องของซั่งกวนเซ่าเฉิน หยางต้าหนิวก็เดินเข้ามา เห็นคนสองคนที่หลิงมู่เอ๋อร์จัดแจงหาที่อยู่ให้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววสงสัยขึ้นมา
"ท่านลุง..." หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่บุรุษวัยกลางคนผู้ซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมคนนั้น นางยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า "ไม่ใช่คนเลวเ้าค่ะ เป็สหายของข้าเอง ท่านลุงอย่าได้เป็กังวล"
หยางต้าหนิวพินิจมองไปที่พี่น้องคู่นั้น เห็นเสื้อผ้าที่สกปรกบนกายของพวกเขา ภายในดวงตาก็ฉายแววสงสัย เขากำลังคิดว่า มู่เอ๋อร์รู้จักกับสหายเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน แต่ว่า เื่ที่ไม่สมควรถาม เขาก็จะไม่ถาม ถึงอย่างไรแล้วมู่เอ๋อร์เป็คนฉลาด จึงไม่จำเป็ต้องให้พวกเขากังวลใจ
เชิงอรรถ
[1] ดอกไม้งามปักบนขี้วัว (鲜花插在牛粪上) หมายถึง เป็สำนวนที่ใช้เปรียบเทียบว่าเป็ “การแต่งงานที่ไม่เหมาะสมกัน”
[2] บึงัถ้ำเสือ (龙潭虎穴) หมายถึง อุปมาว่าเป็สถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้