หลังจากนั้นมู่เฟิงและมู่จงก็ได้มุ่งหน้าออกจากจวนตระกูลมู่ เพื่อไปยังร้านว่านเป่าอีกครั้ง
“คุณชาย ท่าน ท่านกลายเป็นักสลักลายเส้นั้แ่เมื่อไรหรือขอรับ?”
ขณะที่กำลังเดินไปข้างหน้า มู่จงก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความคาดไม่ถึง
ในตระกูลมู่สายหลักนั้นมีนักสลักลายเส้นขั้นสองอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งเขาเป็แขกที่ทางผู้าุโใหญ่เรียนเชิญมาด้วยค่าตอบแทนที่สูงมาก
“คิกๆ เื่นี้เป็ความลับ อ้อ จริงสิ ท่านอาจง ดาบของท่านเป็อาวุธปราณระดับกลางใช่หรือไม่ อีกหน่อยหากข้าสามารถวาดลายเส้นอาวุธขั้นสามออกมาได้แล้ว ข้าจะมอบอาวุธระดับสูงให้ท่านหนึ่งชิ้นนะขอรับ น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าสามารถวาดได้เพียงลายเส้นอาวุธขั้นหนึ่งเท่านั้น”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ เช่นนั้นข้าจะรอให้ถึงวันนั้นแล้วกันนะขอรับ หากว่าคุณชายเฟิงสามารถกลายเป็นักสลักลายเส้นขั้นสามได้จริง ถึงเวลานั้นต่อให้หนานหาวจะ้าลงมือกับตระกูลมู่ของเรา เกรงว่าเขาก็คงต้องมีความหวั่นเกรงอยู่บ้าง”
มู่จงหัวเราะ
นักสลักลายเส้นนั้นมีความเชื่อมโยงกับการสร้างอาวุธ ค่ายกลหรือแม้กระทั่งเม็ดยา ดังนั้นสถานะของพวกเขาจึงสูงส่งและพิเศษกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ในแต่ละอาณาจักรยังมีกลุ่มสมาพันธ์ของนักสลักลายเส้นที่มีอำนาจดำรงอยู่อีกด้วย โดยสถานที่แห่งนั้นจะถูกเรียกว่าวิหารของนักสลักลายเส้น! หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิหารสลักลาย
คำเรียกร้องจากทางวิหารสลักลายนั้นมีอำนาจเหนือกว่าคำกล่าวของราชวงศ์ทั้งหลายเสียอีก เหตุใดจึงเป็เช่นนั้นน่ะหรือ? หากว่า้ากินยา ้าใช้อาวุธ หรือกระทั่ง้าค่ายกล ทั้งหมดนี้จำเป็ต้องพึ่งพาความสามารถของนักสลักลายเส้นทั้งสิ้น
ตราบใดที่สามารถกลายเป็นักสลักลายเส้นได้ ย่อมสามารถเข้าร่วมกับทางวิหารสลักลายได้ แต่แน่นอนว่าวิหารสลักลายนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองขนาดเล็กอย่างเมืองอันหนาน สถานที่ที่ไม่ธรรมดาเช่นนั้นย่อมต้องตั้งอยู่ในเมืองหลวง
สำหรับลายเส้นนี้มีการแบ่งออกเป็หลายประเภท ตัวอย่างเช่น ลายเส้นอาวุธ ลายเส้นตัวยา ลายเส้นค่ายกล ลายเส้นเครื่องรางเป็ต้น ซึ่งจากลายเส้นทั้งหมดนี้ คนส่วนใหญ่สามารถเชี่ยวชาญได้เพียงลายเส้นแบบเดียวเท่านั้น
คนทั้งคู่เดินสนทนากันมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าร้านว่านเป่า และเมื่อพวกเขาเข้ามาภายในร้าน ผู้ช่วยหญิงของร้านก็รีบกล่าวต้อนรับในทันที หลังจากที่ครั้งก่อนมู่เฟิงนำขายล้ำค่าเข้ามาขายจนได้จำนวนเงินมหาศาลกลับไป ผู้ช่วยหญิงคนนี้ก็สามารถจดจำเด็กหนุ่มได้ในทันที
“ยินดีต้อนรับเ้าค่ะคุณชาย ไม่ทราบว่าครั้งนี้ท่าน้าทำการค้าหรือว่ามาซื้อสินค้าเ้าคะ?”
หญิงผู้ช่วยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวาน
“ข้ามาเพื่อทำการค้า ของสิ่งนี้พวกเ้ารับซื้อหรือไม่?”
ทันใดนั้นได้ปรากฏแสงสีขาวส่องสว่างขึ้นบนมือของมู่เฟิง แผ่นยันต์จำนวนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นเขาก็ยื่นมันให้กับผู้ช่วยหญิง สตรีผู้นั้นมองพิจารณามันครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า “นี่คือแผ่นยันต์แบบสำเร็จอย่างนั้นหรือ!”
“ถูกต้อง”
มู่เฟิงพยักหน้า
ฉับพลันนั้นสายตาของผู้ช่วยหญิงพลันเปลี่ยนไปในทันที ท่าทีของนางก็ดูให้เกียรติมู่เฟิงมากยิ่งขึ้น “คุณชาย ขอเรียนถามท่านได้หรือไม่ ท่านเป็นักสลักลายเส้นหรือเ้าคะ?”
“ไม่ใช่ นี่เป็ลายเส้นของอาจารย์ข้า ข้าเป็เพียงตัวแทนมาเพื่อขายมันเท่านั้น”
มู่เฟิงส่ายหน้า เขาไม่้าให้ผู้อื่นทราบว่าเขาสามารถวาดลายเส้นได้
“ข้าจำเป็ต้องเชิญเถ้าแก่มาที่นี่ คุณชายโปรดรอสักครู่ เสี่ยวซิ่ว รีบพาคุณชายไปพักยังห้องรับรองก่อนเร็วเข้า”
ผู้ช่วยหญิงรีบสั่งการสาวใช้อย่างรวดเร็ว จากนั้นนางได้เดินออกไปเชิญเถ้าแก่ร้านด้วยตัวเอง ส่วนสาวใช้ผู้นั้นรีบเชิญให้มู่เฟิงไปยังห้องรับรอง พร้อมกับนำน้ำชาชั้นดีออกมาต้อนรับ
ผู้ช่วยหญิงในชุดคลุมสีเหลืองรีบเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคารอย่างรวดเร็ว โดยภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองนั้น ขณะนี้เถ้าแก่หลี่กำลังพูดคุยสนทนากับชายชราผู้หนึ่ง
ชายชราผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมสีดำ แถบแขนเสื้อทั้งสองข้างมีลายปักเมฆาแดง ชุดคลุมลายปักเมฆาแดงนี้คือสัญลักษณ์บ่งบอกสถานะของนักสลักลายเส้น และลายปักเมฆาแดงจำนวนสองก้อนนั้นก็หมายถึงนักสลักลายเส้นขั้นที่สอง
“เถ้าแก่หลี่ ต้องขอรบกวนสักครู่ คุณชายท่านนั้นกลับมาอีกแล้วเ้าค่ะ คราวนี้เขานำเอาของสิ่งนี้มาด้วย”
สตรีผู้นั้นก้าวเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม พร้อมกับมอบปึกแผ่นยันต์ให้กับอีกฝ่าย
“นี่คือแผ่นยันต์!”
เมื่อเถ้าแก่หลี่และชายชราเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายนำมา พวกเขาต่างก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“ผู้าุโเฉียน ท่านลองดูนี่สิ”
แน่นอนว่าเถ้าแก่หลี่ย่อมไม่ค่อยรู้เื่เหล่านี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงส่งต่อแผ่นยันต์เ่าั้ให้กับชายชราอีกคน
หลังจากได้รับมันมา ชายชราผู้นั้นก็มองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เผยแววดีใจออกมา “บนแผ่นยันต์นี้คือลายเส้นเครื่องรางขั้นหนึ่ง ผู้ใดเป็คนสลักลายเส้นนี้ขึ้นมากัน? รูปแบบลายเส้นนี้มีความลึกลับซับซ้อนอย่างมาก กระทั่งตาเฒ่าอย่างข้าก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดูจากลายเส้นนี้แล้ว อย่างน้อยคงเป็นักสลักลายเส้นเครื่องรางขั้นสองหรืออาจจะขั้นสาม?”
จากนั้นชายชราได้มองไปยังแผ่นยันต์อีกแผ่นหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า “ช่างน่าแปลก เป็ลายเส้นเครื่องรางแบบเดียวกัน แต่เหตุใดจึงรู้สึกว่าลายมือของสองแผ่นนี้แตกต่างกันนะ”
“คุณชายมู่ผู้นั้นเล่า? รีบพาข้าไปพบเขาเร็วเข้า”
เมื่อเถ้าแก่หลี่สามารถยืนยันได้แล้วว่าปึกกระดาษเหล่านี้คือแผ่นยันต์แบบสำเร็จจริง เขาก็รีบกล่าวขึ้นในทันที
“เขากำลังรออยู่ที่ห้องรับรองด้านล่างเ้าค่ะ”
สตรีในชุดคลุมสีเหลืองรีบพาคนทั้งสองลงไปในทันที
เพียงไม่นานเถ้าแก่หลี่และผู้าุโเฉียนก็เดินเข้ามาภายในห้องรับรอง เถ้าแก่หลี่พลันกำหมัดคำนับอีกฝ่ายอย่างให้เกียรติ “คุณชายมู่ ไม่ได้พบกันหลายวันเลย”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว เขาลุกขึ้นยืนก่อนกำหมัดคำนับอีกฝ่ายกลับอย่างมีมารยาท “เถ้าแก่หลี่ ท่านสืบประวัติข้ามารึ?”
เด็กหนุ่มจำได้ว่าเขาไม่เคยบอกอีกฝ่ายว่าเขาแซ่มู่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายได้ทำการสืบประวัติของเขามาแล้ว
เพียงแต่เถ้าแก่หลี่ทราบแค่ว่าเด็กหนุ่มเป็คนตระกูลมู่ และไม่ได้ทราบถึงรายละเอียดเื่อื่นเลย เนื่องจากทางตระกูลมู่สายรองนั้นได้ปิดข่าวเื่ของมู่เฟิงเอาไว้อย่างดี
“แฮะๆ เื่นี้... ช่างก่อนเถิด แผ่นยันต์ทั้งหมดนี้ท่าน้าขายหรือไม่ขอรับ?”
เถ้าแก่หลี่ยิ้มเจื่อนอย่างเก้อเขิน เขารีบหยิบแผ่นยันต์ออกมาและเอ่ยถามมู่เฟิงขึ้นทันที
“ถูกต้อง แต่ข้าขอดูก่อนว่าท่านจะเสนอราคาอย่างไร”
มู่เฟิงไม่ได้สนใจที่จะถามเอาความ เขากล่าวเข้าประเด็นการค้าในทันที
“คุณชายมู่ ข้าขอเรียนถามท่านสักครู่ ลายเส้นเหล่านี้... ท่านเป็คนทำขึ้นมาเองหรือไม่?”
เวลานี้ใบหน้าของเถ้าแก่หลี่และผู้าุโเฉียนต่างก็แสดงออกถึงความสงสัยใคร่รู้
“เถ้าแก่หลี่ท่านช่างมีคำถามมากมายนัก หากว่าท่านไม่รับ ข้าจะไปยังร้านอื่น”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง
“ทะ ท่านอย่าได้โมโหไปเลยขอรับ ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น แน่นอนว่ารับ ทางร้านว่านเป่าของข้าต้องรับซื้ออยู่แล้ว แผ่นยันต์เหล่านี้ข้าล้วนตรวจสอบดูแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจ่ายให้ท่านสองร้อยเหรียญตำลึงทองต่อหนึ่งแผ่น ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?"
เถ้าแก่หลี่เอ่ยถาม
หลังจากได้ยินมูลค่าของมัน มู่เฟิงก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง แน่นอนว่าราคานี้เกินความคาดหวังของเขา เดิมทีแล้วเพียงแผ่นยันต์ธรรมดาก็มีมูลค่าหลายสิบเหรียญตำลึงทองแล้ว และเมื่อลงลายเส้นเพิ่มเข้าไป มูลค่าของมันจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ทว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มยังคงเรียบเฉย เขาเพียงพยักหน้าและกล่าวขึ้นว่า “ตกลง และข้า้าซื้อแผ่นยันต์ธรรมดาอีกห้าโหล”
“ขอรับ แผ่นยันต์ลงลายเส้นนี้มีทั้งหมดสิบสองแผ่น เป็เงินสองพันสี่ร้อยเหรียญตำลึงทอง หักลบหนึ่งพันเหรียญตำลึงทองจากค่าแผ่นยันต์ธรรมดาจำนวนห้าโหลออก โปรดนำป้ายของท่านมาเชื่อมต่อกับของเราด้วยขอรับ"
เถ้าแก่หลี่นำป้ายทองออกมาหนึ่งแผ่น ในขณะที่มู่เฟิงก็นำป้ายทองของตัวเองออกมาเช่นกัน จากนั้นป้ายทองทั้งสองแผ่นได้ทำการเชื่อมต่อกัน แสงไฟบนรอยขีดส่องกระพริบ บ่งบอกว่าธุรกรรมระหว่างพวกเขาได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
“อ้อจริงสิ ข้าได้ส่งมอบแผ่นยันต์เพิ่มให้กับคุณชายอีกหนึ่งโหล หากต่อไปคุณชายมีแผ่นยันต์แบบสำเร็จเช่นนี้อีก สามารถมาหาพวกเราที่นี่ได้เสมอ ทางเราจะจ่ายราคาที่ดีที่สุดให้กับคุณชายอย่างแน่นอน”
เถ้าแก่หลี่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
มู่เฟิงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนกล่าวขึ้นว่า “เถ้าแก่หลี่ ท่านช่างเก่งเื่การค้ายิ่งนัก แน่นอนว่าย่อมได้ เอาละ วันนี้ข้าคงต้องขอตัวลาก่อน”
มู่เฟิงกำหมัดคำนับอีกฝ่าย ก่อนจะรับเอาแผ่นยันต์จากผู้ช่วยหญิงมา และออกจากห้องรับรองไปพร้อมกับมู่จง
“ผู้าุโเฉียน คนผู้นี้ใช่นักสลักลายเส้นหรือไม่?” หลังจากมู่เฟิงจากไป เถ้าแก่หลี่ได้หันไปถามผู้าุโเฉียนในทันที
ผู้าุโเฉียนส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “บนนิ้วมือของเขาไม่มีรอยด้านจากการใช้มีดแกะสลักเป็เวลานานเลยสักนิด ดูท่าคงจะไม่ใช่ แต่เื้ัของเขาจะต้องมีนักสลักลายเส้นอยู่อย่างแน่นอน สมควรผูกมิตรเอาไว้ คงต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็ฝีมือของผู้ใดกันแน่ หากมีโอกาสเห็นทีว่าข้าคงต้องไปเยือนตระกูลมู่เสียหน่อย”
เถ้าแก่หลี่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขาทราบดีว่าหากทำให้นักสลักลายเส้นผู้หนึ่งขุ่นเคืองขึ้นมาสุดท้ายแล้วจะมีจุดจบเช่นไร
“นักสลักลายเส้นนี่สามารถทำเงินได้มากเสียจริง การจะหาเงินให้ได้มากเท่านักสลักลายเส้นนั้นไม่ง่ายเลย”
มู่จงทอดถอนใจ
มู่เฟิงไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงเื่นี้ได้ เวลานี้เขาไม่จำเป็ต้องกังวลเื่เงินอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้ทางตระกูลมู่ได้นำเอาอาวุธปราณที่มู่เฟิงเป็คนลงลายเส้นมายังร้านค้าอาวุธของตระกูลแล้ว และภายในวันนั้นเองอาวุธปราณทั้งหมดก็ล้วนถูกส่งมอบให้กับลูกค้าอย่างรวดเร็ว ส่วนอาวุธปราณที่ยังขาดตกไป ทางตระกูลมู่ก็ได้ส่งอาวุธธรรมดาไปให้มู่เฟิงลงลายเส้นเพิ่ม เมื่อการลงลายเส้นเสร็จสิ้น อาวุธเ่าั้ก็ถูกส่งไปถึงมือของลูกค้าจนครบตามจำนวน คราวนี้ถือว่าวิกฤตของตระกูลมู่ได้รับการคลี่คลายแล้ว
เพียงไม่นานข่าวเื่นี้ก็ไปถึงหูตระกูลหวง
“ว่าอย่างไรนะ ตระกูลมู่สามารถส่งมอบสินค้าตามคำสั่งซื้อได้ครบทั้งหมดแล้ว!”
หลังจากได้ยินคำรายงานจากคนในตระกูล หวงไท่พลันหยัดกายลุกขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
“ถูกต้องแล้วขอรับ พวกเขาสามารถส่งมอบสินค้าได้ครบทั้งหมด ข้าเห็นเองกับตาว่าคนเ่าั้ได้นำอาวุธปราณจากไปแล้วขอรับ”
ลูกศิษย์กล่าวรายงานด้วยความเคารพ
“ท่านพ่อ เช่นนี้ควรทำอย่างไรดี?”
หวงอี้ขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม
หวงไท่หรี่ตาลงพลางกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “ไม่ต้องกังวล ข้ายังมีวิธี คราวนี้ตระกูลมู่จะไม่มีวันฟื้นคืนมาได้อีกตลอดกาลแน่!”