เื่นี้ทำให้มู่เยี่ยนและเจียงเซิ่งหลิงมีสีหน้าดูไม่ได้ พวกเขาคืออัจฉริยะชั้นยอดแห่งอาณาจักรจ้าว แต่บัดนี้กลับถูกผู้คนหัวเราะเยาะ โดยเฉพาะมู่เยี่ยน เขาเป็ถึงผู้บัญชาการองครักษ์หลวง เขาร่วมมือกับเจียงเซิ่งหลิงเพื่อจัดการเย่เฟิงหลานชายอีกคนของตระกูลมู่ เื่นี้ไม่ใช่เื่ของเขามู่เยี่ยนเพียงคนเดียว แต่ยังเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของตระกูลมู่
“ช่างเถอะ!” เมื่อมู่เยี่ยนเห็นผู้คนวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งสัญญาณสงบศึก เจียงเซิ่งหลิงไม่เต็มใจ แต่เขาก็หยุดมือเพื่อเห็นแก่มู่เยี่ยน
“เห็นแก่สายสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับตระกูลมู่ข้า วันนี้ข้ามู่เยี่ยนจะไม่ฆ่าเ้า แต่งานชุมนุมหวงปั่งในอีกสามวันข้างหน้า หากเ้ากับข้าเจอกันบนเวทีประลอง ข้าจะไม่เกรงใจอีกต่อไป!” มู่เยี่ยนกล่าวเสียงเย็นราวกับว่าการที่เขาไม่จัดการเย่เฟิงตอนนี้ ถือเป็พระคุณอันใหญ่หลวง
“ฆ่าข้า? เ้าทำได้งั้นหรือ” เย่เฟิงเหยียดยิ้มขณะมองมู่เยี่ยน “ในเมื่อเ้าพูดเช่นนี้ งั้นเจอกันที่งานชุมนุมหวงปั่ง ยามนั้นข้าเย่เฟิงก็อยากดูว่าเ้ามู่เยี่ยนจะมีน้ำยาสักแค่ไหนกันเชียว?”
เมื่อกล่าวจบ เย่เฟิงหันไปมองฉินเยียนหรานที่เพิ่งเอาชนะหลิวถิงถิง แล้วกล่าวต่อ “เยียนหราน เราไปกันเถอะ”
“อืม!” ฉินเยียนหรานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางปรายตามองหลิวถิงถิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามเย่เฟิงไป
ขณะที่มู่เยี่ยนมองพวกเย่เฟิงเดินออกไปก็กัดฟันแน่น ส่วนเจียงเซิ่งหลิงเห็นสภาพของศิษย์น้องตนก็ะเิโทสะออกมา แต่กระนั้นก็ทำได้เพียงรอชำระแค้นในงานชุมนุมหวงปั่ง
ทันทีที่เย่เฟิงและฉินเยียนหรานกลับถึงสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ก็ถูกฉินเจิ้นถิงเรียกตัว
ภายในเรือนพักแห่งหนึ่ง ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ฉินเจิ้นถิงก็อยู่ที่นั่น ทั้งยังมีชายชราหลังค่อมนั่งบนตำแหน่งสูงสุดอยู่ข้าง ๆ แต่เมื่อเย่เฟิงเห็นชายชราผู้นั้นก็อดใไม่ได้
“เฒ่าจิง!” ชายผู้นี้ก็คือเฒ่าจิงผู้ดูแลหอวิชา แต่บัดนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“เ้าหนู เ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ ไม่ถึงหนึ่งปีก็คว้าอันดับหนึ่งในรายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียนมาครองได้ ทั้งยังได้รับมรดกจากาาเสวียน ตามหลักแล้วข้าและคนอื่น ๆ ควรอยู่ใต้อาณัติเ้า เพราะฉะนั้นเ้าไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้” เฒ่าจิงกล่าวพลางยิ้ม และยังคงมีท่าทางเกียจคร้านเฉกเช่นเมื่อก่อน
“ไม่เจอกันเสียนาน เฒ่าจิงสบายดีหรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถาม ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็พอจะคาดเดาตัวตนของเฒ่าจิงได้บ้างแล้ว โดยคิดว่าเฒ่าจิงไม่มีทางเป็ชายชราที่ดูแลหอวิชาง่าย ๆ เช่นนั้น บัดนี้ภาพตรงหน้าก็พิสูจน์ว่าเย่เฟิงคาดเดาถูกแล้ว
“อาจารย์เพิ่งออกจากปิดด่าน ก่อนที่จะเรียกเ้ามา ย่อมสบายดีแน่นอน” ฉินเจิ้นถิงกล่าว
“อาจารย์?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกใ ก่อนจะกล่าวว่า “สถานะแท้จริงของเฒ่าจิงผู้นั้นคือ?”
“เ้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน” ฉินเจิ้นถิงกล่าว
“เ้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ที่แท้เฒ่าจิงก็คือเ้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน” คำพูดของฉินเจิ้นถิงทำให้เย่เฟิงกระจ่างชัดแจ่มแจ้ง
“เ้าสำนักเป็เพียงเื่เท็จ ที่จริงข้าก็คือผู้พิทักษ์มรดกาาเสวียน ข้าปกปักที่นี่มานานหลายทศวรรษ ตามหาผู้สืบทอดของาาเสวียนเสมอมา แต่ไม่คิดว่าผู้สืบทอดจะปรากฏตัวตอนที่ข้าปิดด่านครั้งล่าสุด” เฒ่าจิงกล่าวพลางมองเย่เฟิงด้วยสายตาชื่นชม จากนั้นพูดต่อไปว่า “งานชุมนุมหวงปั่งในอีกสามวันข้างหน้าจะได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก เ้า อวิ๋นเจี๋ย นี่จ้านเทียนและคนอื่น ๆ จะเข้าร่วมในนามตัวแทนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนข้า ในฐานะกองกำลังที่าาเสวียนเป็ผู้สร้าง ย่อมต่อสู้มาเพื่ออำนาจ เ้าหนู เ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?”
“เวลาไม่เคยคอยใคร ข้าต้องแข่งกับเวลา!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมแววตาฉายความเชื่อมั่น บัดนี้กองกำลังทุกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ดังนั้นงานชุมนุมหวงปั่งในครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา
หลังจากเย่เฟิงกลับถึงที่พักก็เริ่มบำเพ็ญตบะอย่างบ้าคลั่ง เพื่อใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่า และพยายามยกระดับตบะของตัวเองอย่างสุดความสามารถ
คืนถัดมา ด้วยการช่วยเหลือจากยาลูกกลอนหลายเม็ดที่กลืนเข้าไป ในที่สุดตบะของเย่เฟิงก็เลื่อนไปอยู่จุดสูงุสดของขั้นรวมชี่ที่ 7 เหลือเพียงอีกก้าวก็จะบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 8
วันเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานสามวันก็ผ่านพ้นไป
รุ่งเช้า คนกลุ่มหนึ่งรวมทั้งเย่เฟิงเดินทางออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน มุ่งหน้าสู่ลานประลองราชวงศ์ วันนี้ก็คือวันงานชุมนุมหวงปั่ง ซึ่งหนึ่งเดือนก่อน ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวมารวมตัวที่เมืองหลวง ก็เพื่อเตรียมเข้าร่วมงานชุมนุมนี้
ลานประลองราชวงศ์นั้นตั้งอยู่ที่ตีนเขาทางตอนเหนือของเมืองหลวง ลานประลองแห่งนี้กว้างใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และบรรจุคนได้จำนวนมาก ซึ่งมีเพียงกองกำลังระดับราชวงศ์เท่านั้นถึงจะสร้างลานประลองขนาดนี้ได้ ทั้งยังมีทหารที่ออกรบมารักษาการณ์อยู่ที่นี่ ดังนั้นลานประลองแห่งนี้จึงดูน่าเกรงขามเป็อย่างมาก
บัดนี้ลานประลองเนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งล้วนมาจากทั่วสารทิศของอาณาจักรจ้าว พวกเขาต่างนั่งบนอัฒจันทร์ของฝั่งตัวเอง
เย่เฟิงและกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็มาถึงแล้วเช่นกัน ซึ่งนำขบวนโดยฉินเจิ้นถิงและมีผู้าุโหลายสิบคนติดตามอยู่ข้างกาย แม้ว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะมีรากฐานลึกซึ้ง แต่ลักษณะการทำงานไม่ค่อยดีเลิศเท่าไร ดังนั้นกระบวนทัพที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนส่งมาเข้าร่วมงานชุมนุมหวงปั่งครั้งนี้จึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
นอกจากผู้ฝึกยุทธ์จากทุกกองกำลังในอาณาจักรจ้าว เหล่าคณะทูตจากอีกหกอาณาจักรก็ทยอยกันมาแล้ว พวกเขานั่งที่อัฒจันทร์หลักร่วมกับคนของราชวงศ์จ้าว เพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษนี้
“งานชุมนุมหวงปั่งมักจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั่วสารทิศ แล้วนี่ยังมีทูตจากอีกหกอาณาจักรมาร่วมด้วยอีก ช่างยิ่งใหญ่ยิ่งนัก”
“ใช่ ทุกกองกำลังจากอาณาจักรจ้าวมาถึงกันแล้ว ด้านนั้นคือมู่เยี่ยนอันดับหนึ่งแห่งสำนักศึกษาเสินเจียง หลงเซ่าเจี๋ยอันดับหนึ่งแห่งหอชิงหลง ิเสวียนอันดับหนึ่งแห่งสำนักอี่เทียน” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยตาเป็ประกายขณะมองสามกองกำลังอย่างสำนักศึกษาเสินเจียง สำนักอี่เทียน และหอชิงหลง ในนั้นมีมู่เยี่ยนที่ดูโดดเด่นมาก เขาสวมชุดเกราะา ท่วงท่าสง่าผ่าเผย แววตาเฉียบคมราวกับเทพาก็ไม่ปาน
หลงเซ่าเจี๋ยอันดับหนึ่งแห่งหอชิงหลง เขาบรรลุขั้นยุทธ์แท้ในการปิดด่านเมื่อไม่นานมานี้ พลังจึงเปลี่ยนไปแกร่งขึ้นอีกครั้ง หลังจากตบะก้าวหน้า ตำแหน่งอันดับที่ 7 ในรายนามเฟิงอวิ๋นของหลงเซ่าเจี๋ยก็มั่นคงขึ้นกว่าเดิม กระทั่งมีโอกาสชิงอันดับที่ดีกว่านี้
ิเสวียนอันดับหนึ่งแห่งสำนักอี่เทียนก็เช่นเดียวกัน ด้วยการสนับสนุนจากสำนักอี่เทียน ทำให้เขาบรรลุขั้นยุทธ์แท้ เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือห้าอันดับแรก ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็เช่นไร เขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถ
สามคนนี้มีพลังใกล้เคียงกัน อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาคืออัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาด
“อัจฉริยะอันดับหนึ่งทั้งสามสำนักนี้ล้วนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ มีเพียงเย่เฟิงจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 7 เห็นทีงานชุมนุมหวงปั่งครั้งนี้ สำนักยุทธ์เทียนเสวียนคงไปได้ไม่ไกล!” ผู้คนคิดในใจ พวกเขาไม่เห็นความหวังในตัวสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเลย รวมถึงกับเย่เฟิงเอง แม้่นี้เย่เฟิงจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งเมืองหลวง แต่ตบะของเขายังคงต่ำต้อย ไม่มีทางแข่งขันกับอัจฉริยะเ่าั้ที่บรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้วได้อย่างแน่นอน
“เจียงเซิ่งหลิงอันดับหนึ่งแห่งสำนักจื่อจี๋มาถึงแล้ว เขาได้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้เมื่อครึ่งปีก่อน บัดนี้ตบะเสถียรภาพขึ้น น่าจะทำคะแนนในการแข่งขันได้ดีเยี่ยม” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองทางฝั่งสำนักจื่อจี๋
เจียงเซิ่งหลิงเหมือนกับมู่เยี่ยนที่บางครั้งก็มองเย่เฟิงทางฝั่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียนด้วยสายตาเย็นเยือก งานชุมนุมหวงปั่งครั้งนี้เขาเจียงเซิ่งหลิงจะต้องทำให้เย่เฟิงชดใช้ให้จงได้ หลิวถิงถิงยังคงอยู่ข้างกายเจียงเซิ่งหลิง รอยแผลที่ถูกไฟเผาในวันนั้นจางหายไปแล้ว ผิวกลับมาเรียบเนียนเช่นเดิม เห็นชัดว่าใช้ยาลูกกลอนที่มีประสิทธิภาพสูง
นอกจากคนเหล่านี้แล้วยังมีเสียชางต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ผู้อยู่อันดับที่ 7 ในรายนามเฟิงอวิ๋น จ้าวซิงบุตรแห่งเซิ่งอ๋องผู้อยู่อันดับที่ 3 ในรายนามเฟิงอวิ๋น โอวหยางเจินจากสำนักหลิวอวิ๋นผู้อยู่อันดับที่ 2 ในรายนามเฟิงอวิ๋น พวกเขามาถึงกันแล้ว ซึ่งจ้าวซิงและโอวหยางเจินอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ส่วนเสียชางอยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 แต่พลังมิอาจดูถูกได้เลย นอกจากนี้ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ก็มาถึงแล้วเช่นกัน
บนอัฒจันทร์หลัก องค์ชายใหญ่จ้าวหยางและองค์ชายรองจ้าวเยี่ยแบ่งนั่งเป็สองฝั่ง จ้าวหยางสวมอาภรณ์สีเหลืองลายอสรพิษ ทั้งยังสวมมงกุฎ ดูสง่าผ่าเผยอย่างเห็นได้ชัด แม้อายุยังน้อย แต่กลับมีท่วงทีของาา ส่วนจ้าวเยี่ยยังคงดูอ่อนโยนและอบอุ่น แต่ผิดกลับจ้าวหยางที่มีร่างกายแข็งแรงดูน่าเกรงขาม รอบกายรายล้อมด้วยกลิ่นอายเฉียบคม ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตามอง
พวกเขาสองคนคือทายาทที่โดดเด่นที่สุดขององค์าาแห่งอาณาจักรจ้าว และภายภาคหน้าหนึ่งในสองคนนี้จะเป็ผู้สืบทอดตำแหน่งาาองค์ต่อไป แต่บัดนี้องค์ชายทั้งสองมิได้นั่งอยู่ตำแหน่งหลัก ผู้ที่นั่งในตำแหน่งหลักคือชายวัยกลางผู้หนึ่ง มีลมปราณแกร่งกล้า ตบะของเขาคือขั้นยุทธ์แท้ระดับสูง ซึ่งขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงถือว่าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอดสำหรับอาณาจักรจ้าว แต่คนผู้นี้มิใช่องค์าา เป็คนแปลกหน้าที่ไม่รู้ที่มาที่ไป
แต่ด้วยตบะของเขา ทำให้สถานะของเขาสูงส่งขึ้น แม้แต่องค์ชายทั้งสองแห่งอาณาจักรจ้าวและทูตทั้งเจ็ดอาณาจักรแห่งแดนชิงอวิ๋นยังให้ความเคารพเขา และพวกเขายังเรียกชายวัยกลางผู้นั้นว่าผู้าุโเฉียน
ผู้าุโเฉียนกวาดมองลานประลองด้วยสายตาเฉียบคมแฝงความเชื่อมั่น ราวกับว่างานชุมนุมหวงปั่งแห่งอาณาจักรจ้าวอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ซึ่งที่นั่งถัดลงมาจากผู้าุโเฉียน นอกจากองค์ชายจ้าวทั้งสองแล้วยังมีชายหนุ่มอีกคน ชายผู้นี้อายุประมาณ 17 ปี แววตาสุกสกาวสดใสดุจดวงดาวและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขาแค่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกน่าทึ่ง แม้แต่อัจฉริยะที่โดดเด่นเ่าั้ในลานประลองก็ยังดูด้อยกว่า
ชายผู้นี้อายุยังไม่เกิน 17 ปี แต่กลับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ พร์ล้ำเลิศ แล้วจะไม่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ประหลาดใจได้อย่างไรกัน การก้าวหน้าของตบะเช่นนี้เรียกได้ว่าวิปริต แม้จะเป็องค์ชายใหญ่จ้าวหยางที่เก่งกาจก็ยังบรรลุขั้นยุทธ์แท้ตอนอายุ 18 ปี แตกต่างกับชายผู้นี้มาก เห็นได้ชัดว่าผู้าุโเฉียนและชายหนุ่มที่ติดตามเขามาจากกองกำลังที่อยู่เหนือกว่าเจ็ดอาณาจักรแห่งแดนชิงอวิ๋น
สำนักชิงอวิ๋นคือผู้ปกครองแดนชิงอวิ๋น เบื้องหน้าสำนักชิงอวิ๋น เจ็ดอาณาจักรที่อยู่ใต้การปกครองก็ทำได้เพียงเชื่อฟังสำนักชิงอวิ๋น แม้แต่องค์าาทั้งเจ็ดอาณาจักรก็ยังต้องเกรงใจผู้าุโเฉียน
โลกแห่งการบำเพ็ญ ความแข็งแกร่งคือตัวแทนของทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเบื้องหน้าความแข็งแกร่ง ทุกคนจักต้องยอมศิโรราบ แม้สำนักชิงอวิ๋นจะเป็เพียงกองกำลังหนึ่ง แต่กลับปกครองเจ็ดอาณาจักร นี่ก็คือหลักทำนองคลองธรรม
“ผู้าุโเฉียน ท่านว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของอาณาจักรจ้าวข้าเป็อย่างไรบ้าง?” องค์ชายใหญ่จ้าวหยางกล่าว
“นอกจากองค์ชายใหญ่ ก็มีหลายคนที่ดูไม่เลว อย่างเช่นโอวหยางเจินจากสำนักหลิวอวิ๋น จ้าวซิงจากจวนเซิ่งอ๋อง ต้าเซิ่งจื่อจากนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ พวกเขาล้วนมีศักยภาพที่จะเข้าสำนักชิงอวิ๋น แต่ก็ยังต้องรอดูกันต่อไป” ผู้าุโเฉียนกล่าวพลางลูบเคราของตน
“อืม” จ้าวหยางพยักหน้าจากนั้นกล่าวว่า “ผู้าุโเฉียนพูดถูก สองสามคนนี้ไม่ว่าด้านพลังหรือพร์ก็ล้วนอยู่ระดับหัวกะทิของอาณาจักรจ้าว”
“จ่านเฉิน เ้าคิดว่าคนรุ่นเยาว์ของอาณาจักรจ้าวเป็ไงบ้าง?” ผู้าุโเฉียนเอ่ยถามชายหนุ่มข้างกาย
“อาณาจักรเล็ก ๆ ที่ติดพรมแดนอย่างอาณาจักรจ้าว คนเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็อัจฉริยะชั้นยอด แต่ถ้าอยู่ที่สำนักชิงอวิ๋น มันก็ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะได้เป็ศิษย์สายนอก ต่อให้เข้าสำนักชิงอวิ๋นได้จริง ๆ ก็คงเป็ได้เพียงศิษย์ธรรมดา”
ชายหนุ่มนามว่าจ่านเฉินผู้นั้นกล่าวช้า ๆ แม้ว่าน้ำเสียงจะเรียบเฉย แต่กลับมิอาจปกปิดความทะนงตัวและหยิ่งผยอง
