สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 36
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ลุงคิดว่ารามคงไม่รู้ และเราก็คงจะรู้พร้อมกันในวันนี้ตอนนี้”
“...”
“พูดตรง ๆ ลุงไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง จริง ๆ แล้วถ้าทางการแพทย์ทำอาจทำได้ แต่ลุงไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“...”
“ม่านหยี่เพื่อนรามท้อง”
“!!!”
“เขาท้องได้สามเดือนแล้ว”
“!!!”
ภายในห้องพักรักษาตัวพิเศษบนชั้นห้าของโรงพยาบาลมีเพียงความเงียบ ม่านหยี่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแผงอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอ คนป่วยนอนหลับไม่ได้สนใจหากว่ารามสูรอดีตคนรักนั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดจนหัวสมองจะแตก กับเื่ที่ตนเองพึ่งได้รับรู้มาเมื่อวานนี้...
“ม่านท้องได้ ม่านหยี่ที่เป็ผู้ชายสามารถท้องได้”
เขาไม่คิดว่านี่จะเป็การสร้างเื่ขึ้นมาหลอกกันอีกครั้ง นี่ไม่ใช่การโกหกแบบที่เด็ก ๆ ชอบทำ มันไม่ใช่เื่น่าขบขันที่จะเอามาโกหกกันได้ และเขาเองก็เชื่อสนิทใจว่าตอนนี้ในท้องของม่านมีเด็กอยู่ ลุงหมอบอกว่าเมื่อวานตรวจพบความผิดปกติของม่านหยี่ทีแรกก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่จนกระทั่งหาสาเหตุและอัลตราซาวนด์ท้องดูก็พบว่ามันไม่ใช่ก้อนเนื้อร้ายหากแต่เป็ก้อนเนื้อที่มีหัวใจกำลังเต้นตุบ ๆ อยู่ เื่นี้ถึงขั้นต้องสั่งให้พยาบาลเก็บเป็ความลับและนำมาปรึกษากับเขาอีกครั้ง รามสูรที่คบกับม่านหยี่มาสี่ปีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าม่านสามารถท้องได้
“ราม”
นายหัวรามสูรที่กำลังคิดหนักอยู่ไม่ได้รับรู้เลยว่าคนป่วยฟื้นแล้ว ม่านหยี่เรียกชื่อคนรักเบา ๆ แต่รามก็ไม่ได้รับรู้เลย จนเขาเริ่มขยับตัวนั่นแหละรามสูรถึงได้หันกลับมามองกัน
ม่านหยี่ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรกับคนตรงหน้า บทสนทนาที่เราเคยมีตอนนี้มันกลับไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่าย ๆ มือสองข้างของเขาถูกเจาะและเต็มไปด้วยสายน้ำเกลือระโยงระยางไปหมด ในหัวเขาเต้นตุบ ๆ รู้สึกราวกับว่ามันกำลังจะะเิออกมา ภายในลำคอแห้งผากและครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด
ถ้าหากว่ารามไม่พูดเขาก็ไม่รู้จะหาเื่ไหนมาพูดกับรามสูรเหมือนกัน ดังนั้นม่านหยี่เลยได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกว่าหลังเริ่มชาเขาเลยพยายามขยับขึ้นนั่ง
“อย่า!...อย่าขยับเยอะ” ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ นั้นมันยิ่งทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นอีกหลายเท่าตัว รามเหมือนอยากจับตัวเขาแต่เมื่อยื่นมือมาใกล้เกือบจะถึงเขาแล้วคนตรงหน้าก็รีบชักมือกลับ แต่ก็พอเข้าใจได้ รามคงไม่อยากยุ่งกับเขาอีกแล้ว
“ขอบคุณนะ” ม่านหยี่คิดว่ารามสูรคงจะพอรู้ว่าเขาขอบคุณเ้าตัวเื่อะไร แต่ทำไมหนอม่านหยี่เลิกกันแล้วยังกลับไปเป็ภาระของอดีตคนรักเก่าอยู่ได้ นี่ขนาดว่าไม่ได้เจอกันเลย ไม่ได้คุยกันเลย แต่สุดท้ายเขาก็ยังต้องพึ่งพารามสูรอยู่ดี เขากระจอกงอกง่อยเสียจนอยู่ด้วยตนเองไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือยังไง
“ครับลุงหมอ ฟื้นแล้วครับ”
ม่านมองอดีตคนรักคุยโทรศัพท์กับคนที่เรียกว่าลุงหมอ เพียงแค่ประโยคเดียวก่อนที่จะวางสายไป สีหน้าของรามสูรไม่สู้ดีนักนั่นทำให้คนป่วยรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจราวกับมีใครเอาหินมาถ่วงไว้ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้รามสูรไม่มีรอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าอีกแล้วทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนนั้นรามยิ้มสู้กับทุกเื่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่สาเหตุทั้งหมดที่รามสูรยิ้มไม่ได้นั่นก็เป็เพราะม่านเองนั่นแหละ อาจพูดได้ว่าตอนเรียนเราสามารถทดลองหรือทำผิดพลาดได้โดยไม่ต้องมีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจมากเท่าไหร่นัก ตอนที่เขายังเรียนอยู่การทำข้อสอบไม่ได้ หรืออ่านหนังสือไม่ทัน มันก็ถือเป็เื่ใหญ่ของการเป็นักเรียนนักศึกษา และผลที่ตามมามันก็หนักหนาเหมือนกันในตอนนั้น แต่ในสถานภาพนักศึกษาแล้วเราสามารถทำผิดได้ ทดลองเื่ใหม่ ๆ ได้โดยที่มีสถานภาพนักศึกษาคอยเป็เกราะป้องกันพวกเราอยู่ แต่พอเรียนจบแล้วนั้นเกราะที่เรียกว่าสถานภาพนักศึกษาจะหายไปทันที เราจะต้องเติบโตขึ้น เขาจะต้องโตขึ้น และรามก็ต้องโตขึ้น โดยที่พวกเราไม่รู้เลยว่าต้องเติบโตอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและไม่เหมือนเดิมเมื่อเราใช้สายตาของผู้ใหญ่มอง ในมหาวิทยาลัยเขาและรามก็เป็เพียงแค่เด็กอายุยี่สิบสอง แต่เมื่อสถานภาพขึ้นว่าเราสองคนเรียนจบแล้ว เรากลับต้องเป็ผู้ใหญ่ในทันที เหมือนชีวิตพลิกล็อกข้ามคืน และผลของการเติบโตโดยไม่รู้วิธีก็ได้ส่งผลต่อเขากับรามสูรตอนนี้
การเติบโตของเราสองคนทำให้รอยยิ้มของรามสูรหล่นหายไป ทำให้ความเข้มแข็งของเขาหล่นหายไป และทำให้มิตรภาพและความรักของเราหล่นหายไปด้วยเช่นกัน
ม่านหยี่อาจพูดได้ว่า
เขาเกลียดการเติบโต...
“สวัสดีม่านหยี่ ลุงเป็หมอและก็เป็ลุงของรามสูรด้วย”
“...สวัสดี...ครับ” คนป่วยกล่าวสวัสดีด้วยสายตาที่ระแวดระวังอย่างถึงที่สุด เขาไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าทำไมรามสูรถึงมีสีหน้าหนักใจขนาดนั้น ทุกอย่างมันกำลังทำให้เขากลัว
“คืออย่างนี้นะม่านหยี่ ลุงคุยกับรามไปแล้วเมื่อวานนี้”
“คุยเื่อะไรเหรอครับ”
“เอาอย่างนี้แล้วกันลุงจะถามม่านว่าม่านคิดว่าในโลกนี้ผู้ชายท้องได้มั้ย”
“...ไม่ครับ” คนป่วยส่ายหัวไม่เพียงแค่ตอบไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวแต่เนื้อตัวม่านหยี่เองก็สั่นสะท้านอยู่เหมือนกัน เมื่อได้ยินคำว่าท้อง
“อืม อย่างนั้นถ้าเกิดวิทยาการทางการแพทย์ล่ะ เชื่อมั้ยว่าวิทยาการทางการแพทย์ทำให้ผู้ชายท้องได้”
“...ก็คงได้มั้งครับ” ม่านไม่รู้เลยว่าตนเองตอบคำตอบคล้ายกันกับที่รามสูรตอบไปเมื่อวานนี้
“อืม อย่างนั้นลุงจะถามม่านตรง ๆ เลยละกันนะ ม่านเคยได้ไปรักษาตัวหรือเข้าร่วมการทดลองทางการแพทย์มั้ย”
“ไม่ครับ” ในหัวของม่านหยี่เริ่มหมุนวน คุณหมอกำลัง้าคำตอบแบบไหนจากเขา ทำไมรามสูรทำหน้าแบบนั้น และทำไมเราต้องคุยเื่ผู้ชายท้องได้หรือวิทยาการทางการแพทย์ที่ทำให้ผู้ชายท้องได้ มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา!!!
“คืออย่างนี้ม่าน ม่านฟังหมอให้ดี ๆ นะ ม่านท้องอยู่ในตอนนี้ ม่านหยี่เป็ผู้ชายที่ท้องได้”
“!!!”
เ้าของชื่อนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ถ้าม่านบอกว่าม่านไม่ได้เข้าร่วมการทดลองวิทยาการทางการแพทย์ อย่างนั้นลุงคิดว่าม่านน่าจะมีรังไข่แต่โดนฮอร์โมนเพศชายกดเอาไว้”
“ไม่” ม่านหยี่เถียงหมอ
“อืม จริง ๆ เื่แบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย แต่มันมีน้อยมาก ๆ ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในโลกก็ไม่แปลกที่เราจะใกัน ทีแรกลุงก็ใเหมือนกัน”
“ไม่หรอก ม่านไม่ได้ท้อง” ม่านหยี่จะท้องได้อย่างไร ก็ม่านหยี่เป็ผู้ชาย เหตุผลที่ลุงหมอยกมาก็ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย ั้แ่เกิดจนกระทั่งตอนนี้เรียนจบแล้วไม่เห็นมีตำราเรียนเล่มไหนเขียนบอกเอาไว้เลยว่าผู้ชายสามารถท้องได้ นี่ไม่ใช่นิยายนะ หรือแม้กระทั่งนิยายผู้ชายยังท้องไม่ได้เลย อย่างนี้สองคนตรงหน้านี้กำลังพยายามโกหกเขาเพื่ออะไร
“ม่านไม่ได้ท้องใช่มั้ยราม ผู้ชายท้องไม่ได้และม่านก็ไม่ได้ท้อง” ม่านหยี่หันไปขอความช่วยเหลือให้รามสูรยืนยันสิ่งที่ตนเองเชื่อมาตลอดชีวิต
“ม่านท้อง” เสียงทุ้มพูดขึ้นมาหลังจากที่ยืนเงียบอยู่นาน รามสูรเป็คนสุดท้ายบนโลกที่จะโกหกเขา ดังนั้นวลีที่บอกว่าม่านท้องนั่นคงไม่ใช่เื่โกหก
“ไม่จริงหรอก ม่านไม่ได้ท้อง สองคนกำลังโกหกม่านใช่มั้ย”
“ม่าน...ฟังนะ”
“ราม...” ลุงหมอส่ายหน้าเป็การบอกว่าต่อให้พูดไปตอนนี้ม่านหยี่ก็ไม่รับ และก็เป็อย่างที่คิดจริง ๆ ไม่มีผู้ชายคนไหนบอกว่าตนเองท้องทั้ง ๆ ที่เป็ผู้ชายหรอกนะ มันน่าเหลือเชื่อและเกินจริงเกินไป ใครมันจะไปเชื่อว่ามีเด็กอยู่ในท้องของเขาตอนนี้ ไม่จริงหรอกนะ มันไม่มีผู้ชายที่ท้องได้บนโลกใบนี้
ลุงหมอกับรามเดินออกไปจากห้องพักไม่นานหลังจากนั้นรามสูรก็เดินกลับมาเพียงคนเดียว ร่างสูงนั่งลงที่ข้างเตียงคนป่วยและนิ่งเงียบเหมือนก่อนหน้านี้ บรรยากาศหนักอึ้งต่างจากไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนคนจมน้ำ ทุกอย่างมันทะลักทลายเข้าไหลเข้ามาในปอดของเขา เื่ไหนคือเื่จริง เื่ไหนคือเื่โกหกม่านหยี่ไม่สามารถรู้ได้อีกแล้ว รามคงรู้สึกอย่างนี้ในตอนที่รู้ความจริงว่าเขาโกหก มันทรมานอย่างนี้นี่เอง
“ราม...ม่านไม่ได้ท้อง หมอวินิจฉัยผิด รามต้องไปบอกหมอนะ”
เนิ่นนานกว่าจะหาเสียงตนเองเจอ แต่ก็พบว่ามันแหบพร่าและสั่นไหว แกว่งไกวไปไม่ต่างจากหัวใจในตอนนี้
“ม่าน ฟังดี ๆ นะ ม่านท้องได้”
“ไม่...”
“ม่านท้องได้ ม่านมีเด็กอยู่ในนี้”
“...”
“...”
เขารับมือกับความจริงเื่นี้ได้แย่ ม่านหยี่ไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้ ก็ใช่น่ะสินะ ใครมันจะไปยอมรับได้
“ไม่หรอก หมอ...”
“ม่าน...”
“...”
วันนี้รามสูรเรียกชื่อเขาไปกี่ครั้งแล้วนะ เขาน่าจะรู้สึกดีสิที่รามยังเรียกชื่อเขาอยู่ แต่ทำไม...
“ม่านท้อง ม่านมีเด็ก ม่านท้องได้”
“...”
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันกลับเนิ่นนานกว่าครั้งไหน ๆ
“ถ้าอย่างนั้นม่านจะทำยังไงดี”
ไม่มีคำว่าเราในประโยคนี้ มีแค่คำว่าม่านเท่านั้น
“ไม่รู้”
และในเมื่อไม่มีคำว่าเรา นายหัวรามสูรก็ไม่สามารถให้คำตอบกับเื่ที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน
“จะทำยังไงดี” ม่านหยี่ถามตัวเองเป็ครั้งที่สอง เขาก็เป็แค่คนที่เพิ่งเรียนจบและผ่านเื่หนักหนาในชีวิตเท่านั้น ไม่มีเวลาให้พักหายใจหายคอเลย เขาไม่ได้มีเงินเก็บหรือเงินถุงเงินถัง ม่านหยี่เป็คนไร้ญาติขาดมิตรด้วยซ้ำ และเขาก็เป็ผู้ชายเขาไม่คิดว่าการมีลูกมันง่ายโดยเฉพาะกับผู้ชายที่ต้องอุ้มท้องอย่างเขาเอง
“ราม...” ม่านไม่กล้าเอ่ยขอความคิดเห็นจากอดีตคนรักที่เลิกรากันไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นรามสูรก็อยู่ใกล้เขาที่สุดในตอนนี้
“รามไม่รู้ม่าน ขอรามคิดก่อน”
“ม่านไม่พร้อม”
“เราก็เหมือนกัน”
เด็กคนนี้เกิดจากเราสองคน นั่นเป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้ว รามสูรไม่ได้ติดใจในเื่นี้ เราสองคนมีอะไรกันและมันก็บ่อยพอที่จะทำให้เด็กเกิดมาได้ แต่ใครจะคิดว่าเด็กจะเกิดกับม่านหยี่ที่เป็ผู้ชาย แต่เขาแค่คิดไม่ออกว่าต่อไปจะต้องทำยังไง นี่ไม่ใช่เื่ร้ายแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือเื่น่ายินดีในเมื่อเราสองคนไม่ได้มีสถานะเป็คนรักกันดังเช่นที่ผ่านมาแล้ว และม่านหยี่ก็ทำร้ายเขาเอาไว้มากเหลือเกิน ถ้ามารดารู้เื่นี้เข้าแม่คงรับไม่ได้และที่แย่ที่สุดคงไม่รับเอาทั้งม่านและลูกเข้าไปอยู่ในครอบครัวแน่ ๆ แม่ของเขาเกลียดม่านหยี่ไปแล้ว
“ราม...”
อยู่ ๆ รามสูรก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ม่านหยี่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้วันนี้ ม่านไม่รู้ว่ารามสูรรู้สึกยังไงในตอนนี้ สับสน กลัว หรือกระทั่งขยะแขยงและมองเขาเป็ตัวประหลาดอย่างนั้นใช่มั้ย ไม่มีใครรับได้หรอกนะ กับที่เขาท้องได้ใครจะไปยอมรับได้
มือเรียววางแนบลงไปยังหน้าท้องของตนที่ตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งอยู่ในนั้น ช่างเป็อะไรที่น่าสงสัยและเกินจินตนาการไปจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่พร้อมยอมรับกับเื่นี้หรอกนะ ม่านหยี่ปล่อยโฮออกมา เขาร้องไห้เหมือนครั้งที่กำลังขอโทษรามสูรกับเื่ที่ตนโกหกลงไป เขาร้องเหมือนครั้งที่รู้ว่าแม่เป็มะเร็ง ดวงหน้าหวานเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ร่างบางสั่นเทา เสียงสะอึกสะอื้นดังก้องอยู่ในห้องนอนสี่เหลี่ยม เสียงร้องไห้นั้นฟังดูใจจะขาดและน่าสงสารจับใจ
ม่านหยี่นอนร้องไห้ทั้งคืน เขากลายเป็คนอ่อนแอทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นบอกกับมารดาเอาไว้ว่าตนเองจะไม่อ่อนแอเด็ดขาด เสียงร้องไห้สงบลงใน่ดึกของวันทว่าน้ำตากลับไม่หยุดไหลเลยตลอดทั้งคืน ม่านเปิดเข้าไปดูในบัญชีธนาคารของตนพบว่ามีเงินอยู่จำนวนหนึ่งแสนบาท มันเป็เงินที่เขาพยายามเก็บหอมรอมริบมาั้แ่ตอนเป็นักศึกษาทั้งจากการขอทุนและการทำงานพิเศษหลังจากเวลาเลิกเรียนหรือในวันหยุด เพราะเขาเรียนรู้แล้วว่ารามสูรจะยื่นมือเข้ามาช่วยตนเสมอในยามที่มีปัญหาและนั่นมันเป็เื่ที่น่าสมเพชเกินไปหากเขาจะหวังพึ่งแต่ราม ดังนั้นม่านหยี่เลยทำงานอย่างหนัก หากวันใดวันหนึ่งที่รามยื่นมือเข้ามาช่วยเขาไม่ได้อีกแล้วอย่างเช่นวันนี้ เขาก็ต้องพึ่งพาตนเองให้ได้
ม่านเปิดดูบันทึกที่ตนแอบทำเอาไว้ว่าอดีตคนรักเคยให้เงินหรือของขวัญอะไรแก่ตนเองบ้าง หลายครั้งที่เขาพยายามจะโอนเงินเ่าั้คืนรามสูร แต่เ้าตัวกลับปฏิเสธและทำเมินไป แต่วันนี้รามคงปฏิเสธเขาไม่ได้อีกแล้ว...
“ม่านหยี่ หมอขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
ในขณะที่ม่านหยี่โอนเงินทั้งหมดคืนรามสูรไป ลุงหมอซึ่งเป็นายแพทย์ที่รักษาเขาก็เข้ามาในห้อง
“ครับ ได้ครับ”
“ลุงเข้าใจว่าเื่นี้มันยาก” นายแพทย์กล่าวสั้น ๆ ก่อนที่จะนั่งลงข้างเตียง หลังจากเห็นใบหน้าซูบตอบและดวงตาที่บวมช้ำของม่านหยี่
“...ครับ ยาก”
“แล้วนี่รามไปไหน”
“กลับไปแล้วครับ” ลุงหมอคงไม่รู้ว่าเขากับรามสูรเป็อะไรกัน อย่างนั้นก็ดีแล้ว เื่ยุ่งยากทั้งหมดนี้มันควรจะจบลงด้วยตัวเขาเองเพียงคนเดียว ในเมื่อเขากับรามเลิกกันไปแล้วเขาก็ควรหยุดเอาเื่น่าปวดหัวไปใส่หัวรามสักที
“เมื่อคืนลุงติดต่อไปหาเพื่อนที่เป็แพทย์เฉพาะทางที่อยู่อเมริกา ทางนั้นบอกว่าเขาจะรับเอาม่านเข้าไปดูแล แต่ม่านต้องไปอยู่ที่นั่นจนกว่าจะคลอด เขาจะทำเื่ให้”
“แต่ผมไม่มีเงิน”
“ไม่ ๆ เื่นี้ทางนั้นเขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายหมดทุกอย่าง”
“...”
“เราจะเป็คนไข้ให้เขาศึกษา จริง ๆ มันมีเคสแบบนี้อยู่นะเคสผู้ชายท้องได้ แต่เขาไม่เปิดเผยกันสักเท่าไหร่ อย่างว่าแหละเื่แบบนี้มันเป็เื่ยากและค่อนข้างจะซับซ้อน ทางการแพทย์ไทยเรายังไม่มีทุนวิจัยในเื่นี้แต่อเมริกาเขาศึกษากันอย่างจริงจังเลย ถ้าม่านตกลง อาจะได้ทำเื่ให้เลยวันนี้”
“หมายความว่าผมต้องเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ใช่มั้ยครับ”
“ใช่”
“...ครับ ได้ ผมจะไป”
ร่างแกร่งยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูสีขุ่นบานใหญ่ มือหนาจับแน่นอยู่ที่ลูกบิดเย็นเยียบส่วนมืออีกข้างทิ้งลงที่ข้างลำตัว เขาหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ คิดว่ามันคงจะดีหากเขาได้คิดเื่นี้เงียบ ๆ เขาพยายามคิดว่าจะให้มารดารู้เื่นี้ดีไหม และจะทำอย่างไรให้ทุกคนในครอบครัวยอมรับม่านหยี่อีกครั้ง หากเขาจะรับเอาม่านกลับมา แม่คงไม่ยอม ไอ้อัสก็คงไม่ยอม เขาจะทำอย่างไรดีต่อจากนี้ เด็กในท้องของม่านหยี่เป็ลูกของเขานั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่...น่าแปลกที่ตอนนี้ชีวิตของนายหัวรามสูรดำเนินไปด้วยคำว่าแต่ มีแต่คำว่าแต่อยู่เต็มไปหมด
“ม่าน...”
ภายในห้องพักคนไข้เงียบกริบ ผ้าห่มและเตียงนอนถูกเก็บเรียบร้อยราวกับว่าไม่เคยมีคนพักรักษาตัวอยู่ที่นี่เลย
ก๊อก ๆ ๆ
“ม่าน” รามสูรเคาะประตูห้องน้ำหากว่าคนป่วยอาจทำธุระอยู่ในนั้น แต่รอแล้วรอเล่าม่านหยี่ก็ไม่เปิดประตูออกมา
“ไม่อยู่นี่แล้วจะอยู่ไหน” ร่างแกร่งเดินเตร่ไปทั่วห้อง เปิดประตูออกไปยังระเบียงก็พบกับความว่างเปล่า
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ คนไข้ที่ชื่อม่านหยี่ที่อยู่ในห้องนี้ไปไหนครับ” รามสูรพบกับพยาบาลคนเดิมที่รับตัวม่านไปวันนั้น เธอเปิดดูแผ่นกระดาษที่ถืออยู่ในมือสักครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขา
“คุณม่านหยี่ไปแล้วนะคะ”
“ไป...ไปไหนครับ” คำว่าไปทำให้เขารู้สึกกลัวจับใจขึ้นมา
“อืม คุณหมอย้ายคุณม่านไปแล้วค่ะ บอกว่าเป็เื่สำคัญและด่วนที่สุดแต่ไม่ได้บอกว่าไปไหน”
“รามสูรรีบดึงเอาโทรศัพท์ของตนเองออกมาแล้วติดต่อไปยังลุงหมอที่เป็เ้าของไข้ของม่านทันที เสียงสัญญาณดังขึ้นสักพัก ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือวันนี้มันเนิ่นนานกว่าทุกวัน
“ลุง! ลุงให้ม่านไปไหน!”
//คืองี้นะราม ม่านหยี่เป็เคสที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด//
“ลุงให้ม่านไปไหน! ลุงพาม่านไปไหน!”
//ม่านหยี่ขอร้องเอาไว้ไม่ให้ลุงบอกราม//
“ลุงอย่า...อย่าพาม่านไป”
//มันเป็ความลับของคนไข้ รามต้องเข้าใจลุงในเื่นี้นะ//
“ลุงอย่าพาม่านไปจากผม ได้โปรด...”
คำขอร้องนั่นมันไร้ประโยชน์ ทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว...
“คุณรามคะ ได้รับเมลจากส้มแล้วใช่มั้ยคะ”
“ครับได้แล้วครับ”
“วันนี้มีนัดกับคุณไมเคิลตอนบ่ายสองนะคะ คุยเื่งานรับรางวัลอาทิตย์หน้า ส้มจองตั๋วกับที่พักไว้ให้แล้ว แต่อาทิตย์หน้าส้มลาคุณรามคงต้องไปคนเดียวนะคะ”
“ผมจะหลงอเมริกามั้ยครับคุณส้ม”
“ถ้าหลงคุณรามก็ถามทางเอานะคะ ส้มช่วยไม่ได้แล้วนะคะ” เลขาพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องทำงานของเขาไป
ผ่านไปกว่าสามปีแล้วที่รามสูรเข้ามาบริหารโรงแรมอันดามันเพิร์ลที่เกาะอย่างเต็มตัว นายหัวรามสูรที่ใครต่อใครต่างบอกว่าเป็คนหนุ่มไฟแรง และเก่งกาจสามารถพาอันดามันเพิร์ลซึ่งเป็รีสอร์ตบนเกาะแห่งนี้ไปได้ไกลจนกระทั่งมีโอกาสได้รับรางวัลจากต่างประเทศ เขากำลังจะบินไปที่อเมริกาในอาทิตย์หน้าเพื่อเข้าร่วมงานสัมมนาและรับรางวัลในฐานะที่เป็ผู้บริหารอันดามันเพิร์ล
และสามปีแล้วเช่นกันที่ม่านหยี่เดินออกไปจากชีวิตของรามสูร
หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
ม่านไปพร้อมกับลูกในท้อง ลูกของเขาและม่าน ม่านไม่เคยติดต่อกลับมาหาเขาอีกเลย และเช่นเดียวกันนั้นเขาก็ติดต่อม่านไม่ได้อีกเลย
“ลุงตี๋ ถ้าลุงไม่ให้ผมเจอม่านหยี่ ลุงให้เบอร์หรือให้ที่อยู่ม่านกับผมก็ได้ แล้วผมจะไปเอง”
“มันเป็ความลับของคนไข้นะราม ม่านขอเอาไว้ไม่ให้ลุงบอกราม ถ้าลุงบอกลุงจะทำผิดจรรยาบรรณทันที”
“แต่ผมกับม่าน...”
“รามกับม่านทำไม”
“ผมเป็พ่อของเด็กในท้องม่าน ลูกของม่านเป็ลูกของผม”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสองคนจดทะเบียนแต่งงานกันแล้ว อย่างนั้นลุงจะถือลูกของม่านหยี่มีพ่อเพียงคนเดียวนั่นก็คือม่านหยี่เอง”
นั่นเป็ประโยคที่ลุงหมอพูดกับเขา ก่อนจะเดินจากไป รามสูรเที่ยวแวะเวียนไปยังโรงพยาบาล บ้าน หรือแม้กระทั่งหาโอกาสเจอลุงของเขาทุกเทศกาลหรือทุกครั้งที่มีการรวมญาติ แต่คำตอบที่ได้มาตลอดสามปีนั้นก็คือไม่ ลุงหมอไม่ให้เขาติดต่อกับม่านหยี่ แต่ถึงอย่างนั้นรามสูรก็ไม่ย่อท้อเขาจ้างนักสืบเอกชนสามคนตามสืบเื่นี้อย่างลับ ๆ โดยที่ไม่ให้มารดารู้ แต่เื่นี้ไม่อาจเล็ดลอดหูตาของพี่ชายไปได้ ไอ้อัสรู้เื่นี้และรู้ด้วยว่าม่านหยี่ท้องลูกของเขา เด็กในท้องเป็หลานของมัน พี่ชายของเขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับและบอกว่าตนเองจะไม่ยุ่งแล้วในเื่นี้ ไม่ยุ่งก็เท่ากับว่าไม่ขัดขวางหากว่าเขาอยากเจอม่านหยี่หรือพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้พบม่านหยี่อีกครั้งไอ้อัสก็จะไม่ว่าอะไรและไม่บอกมารดาด้วย หากแต่มันก็ไม่ช่วยเขาเหมือนกัน
นั่นก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว รามสูรตามสืบอยู่เงียบ ๆ เขาเริ่มต้นจากประวัติของม่านหยี่ั้แ่เด็กจนโต พอลองมาอ่านและทบทวนดูอีกครั้งก็พบว่าม่านหยี่ก็ยังเป็ม่านหยี่ของเขาอยู่เสมอ แต่ด้วยเพราะนายหัวศิลาผู้เป็พ่อบีบบังคับอย่างนั้นความเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาคงจะโทษม่านได้ไม่เต็มปาก นั่นยิ่งทำให้รามสูรรู้สึกผิดมากขึ้นอีกเท่าตัว เขาพยายามอย่างสุดความสามารถแต่จนกระทั่งตอนนี้ สามปีที่เสียม่านกับลูกไป...
“ไม่ใช่ว่าไปเจอกันที่นู่นนะ”
“...อะไร”
“ก็มึงกับเขา”
อยู่ ๆ พี่ชายก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของเขาแล้วพูดประโยคที่ยากจะเข้าใจขึ้นโดยไม่มีปีไม่มีขลุ่ย
“ใคร”
“อย่ามาทำเป็โง่ มึงกับม่านหยี่ไง ไม่ใช่ว่าไปเจอกันที่นู่นนะ”
“หึ! มึงพูดเหมือนเมกามันแคบ”
“ใครจะไปรู้ พูดเหมือนไม่มีความหวังไม่อยากเจอเขาอย่างนั้นแหละ”
“อยากเจอสิวะ อยากเจอฉิบหาย” แต่เจอไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ว่าม่านหยี่กับลูกไปอยู่ไหน ป่านนี้จะเป็อย่างไรบ้าง ลูกคงโตแล้ว ม่านก็เช่นกัน ขนาดเขายังเติบโตขึ้นเลย
“วันนั้นแม่มาถามกู ว่ามึงมีเื่เครียดอะไรรึเปล่า”
“หึ ๆ แปลก ๆ นะ”
“แต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนนะกูว่า อ่อนลงเยอะหลังจากที่ป่วย” ที่พี่ชายของเขาพูดนั้นไม่เกินจริง มารดาเปลี่ยนไปหลังจากที่ป่วยโรคมะเร็งและเข้ารับการรักษา แม่กลายเป็คนที่ใจเย็นขึ้น ใจดีขึ้นและเลิกยัดเยียดคนอื่นเข้ามาในชีวิตของเขากับพี่ชายแล้ว นั่นถือว่าเป็เื่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้
“ทำไมจะหาลูกสะใภ้ให้แม่เหรอ”
“เหอะ รอไปก่อนนะอีกซักสิบปี”
“ระวังไม่ทันใช้”
“ไอ้ที่มีก่อนกูก็ใช่ว่าจะได้ใช้นะ ป่านนี้ยังหาเขาไม่เจอเลย”
“มึงพูดอย่างนี้เอาปืนมายิงกูดีกว่า”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ” อัสนีหัวเราะลั่น
“มึงว่า...แม่จะรับได้มั้ยวะ”
“อืม...ถ้าเป็แต่ก่อนคงยาก แต่ตอนนี้ก็อาจไม่แน่”
“...”
“หาม่านหยี่กับหลานกูให้เจอก่อนแล้วเราค่อยมาคิดเื่นี้กันทีหลัง”