ซูเจินกล่าวว่า “ข้าขี่ม้าไม่เป็และข้าก็ไม่มีทักษะการต่อสู้ใดๆ เช่นนั้นเ้าขับรถม้าดีหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อถามกลับว่า “เช่นนั้นเ้าจะส่งข้าไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่งได้อย่างไร?”
ซูเจินกล่าวว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องกังวลเื่นี้”
หลังจากซูเจินพูดจบ เขาก็หลับตาเพื่อพักผ่อน
ซูเจินคิดว่าตราบใดที่เขาไม่ได้ส่งข่าวไป เย่เช่อก็ควรจะเร่งเดินทางมาที่นี่ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็โอกาสใน่เวลาวิกฤติไม่ใช่หรือ?
ถ้าเป็เช่นนั้น แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็ต้องลงมือทำอะไร
ซูเจิน้าให้เย่เช่อกังวล
เขาวางแผนไว้ั้แ่แรกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของอวิ๋นจื่อ ซูเจินเป็คนเหี้ยมโหดและไม่แยแสต่อสิ่งใด ตอนนางเพิ่งกลับจากสำนักชิงซาน นางก็พบว่าเขากลายเป็คนดื้อรั้นและไม่มีเหตุผลไปเสียแล้ว อวิ๋นจื่อไม่เข้าใจว่าคนแบบนี้สามารถเอาชนะใจหญิงงามอย่างม่านอู่ได้อย่างไร
นางลงมือขับรถม้าด้วยท่าทางไม่พอใจ
ใครบอกว่าการที่นางได้เป็น้องสาวของซูเจินถือเป็ความโชคดีอย่างหนึ่ง?
อวิ๋นจื่อไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อฟังซูเจิน
ในูเาและป่าทึบไม่มีร่องรอยของมนุษย์ มีเพียงเสียงกีบเท้าของม้าเท่านั้น อันที่จริงนางเคยใช้เส้นทางนี้มาก่อน
เพราะมันเป็เส้นทางเดียวที่ใช้ในการเดินทางจากเมืองหยงโจวไปยังเมืองอวิ๋นเมิ่ง
เส้นทางนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มันยังคงเงียบสงบและรกร้างเหมือนเดิม
ขณะขับรถม้า อารมณ์ของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ ก็มีเสียงกระบี่ดังขึ้นอีกครั้ง
มีใครอยู่ที่นี่อีก?
รถม้าหยุดกะทันหัน
กระบี่ของอวิ๋นจื่อถูกดึงออกจากฝักอีกครั้ง
ชายชุดดำประมาณยี่สิบคนกระโจนลงมายืนอยู่ด้านหน้ารถม้า พวกเขามีรูปร่างสูงใหญ่ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้มาดี หลังจากชักกระบี่ออกจากฝัก พวกเขาก็พุ่งเข้าหาอวิ๋นจื่อโดยพร้อมเพรียงกัน
ท่าทางของพวกเขาดูหมดจด รวดเร็ว โเี้ และไร้ความปรานี นี่เป็ลักษณะเฉพาะของมือสังหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดี
ควันสีเขียวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ถ้ามองในแง่ของทักษะกระบี่เพียงอย่างเดียว คนเหล่านี้ด้อยกว่าอวิ๋นจื่อชนิดเทียบกันไม่ติด
แต่ในแง่ของประสบการณ์ คนเหล่านี้เหนือกว่านางมาก
กระบี่กวาดออกไปรอบทิศทาง เศษฝุ่นและใบไม้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า อวิ๋นจื่อถูกกักตัวไว้ในค่ายกลกระบี่
หญิงสาวถามอย่างกระอักกระอ่วนว่า “พวกเ้าเป็คนของใคร?”
ในบรรดาชายชุดดำทั้งหมด มีชายคนหนึ่งสวมหน้ากากสีทองซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่สวมผ้าโพกศีรษะสีดำ ชายสวมหน้ากากสีทองดูเหมือนจะเป็ผู้นำของคนกลุ่มนี้
ชายผู้นั้นยิ้มอย่างเ็าและกล่าวว่า “รู้ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะเ้ากำลังจะตาย”
จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้ชายชุดดำคนอื่นๆ กระชับวงล้อมเข้ามา วิชากระบี่ของสำนักชิงซานสามารถเอาชนะการต่อสู้รูปแบบนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การปิดล้อม ต่อให้อวิ๋นจื่อแข็งแกร่งกว่านี้ก็เป็เื่ยากที่นางจะทะลวงออกจากวงล้อมได้
ในที่สุดแขนของอวิ๋นจื่อก็ได้รับาแจากกระบี่ ความรู้สึกเ็ปและความอ้างว้างพรั่งพรูออกมาเหมือนแสงตะวันยามเช้า
แขนเสื้อสีฟ้าอ่อนปกคลุมไปด้วยเืสีดำ
มันดูงดงามราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เสียงกระบี่ปะทะกันส่งเสียงแหลมเสียดแทงแก้วหู
วิชากระบี่ของสำนักชิงซานกลับกลายเป็ไร้ประโยชน์เมื่อต้องต่อสู้กับคนกลุ่มนี้
ในขณะนั้นกระบี่ของชายสวมหน้ากากสีทองก็ตัดผ่านความว่างเปล่าและพุ่งเข้าหาลำคอของอวิ๋นจื่ออย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากหลบได้อย่างทุลักทุเล กระบี่ในมือของนางก็ตวัดออกไปตามสัญชาตญาณ
ด้วยเคล็ดกระบี่ที่มีชื่อว่า “งดงามไร้เทียมเทียบ” เพียงกระบวนท่าเดียว การต่อสู้อันดุเดือดก็จบลง
อวิ๋นจื่อก้าวไปข้างหน้าและถอดหน้ากากสีทองของชายคนนั้นออกโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
ภายใต้หน้ากากสีทองคือใบหน้าขาวซีดที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น่าเกลียด
ชายคนนั้นตกตะลึงและอุทานด้วยความใว่า “กระบี่ขงถง!”
หญิงสาวไม่ตอบ กระบี่ในมือของนางลื่นไหลเหมือนสายน้ำ นางจ่อกระบี่ไปที่ลำคอของอีกฝ่ายและกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า
“ผู้คนในูเาขงถงก็้าให้ข้าตายเหมือนกันสินะ บอกข้าทีว่าเ้าเป็ใคร?”
ดวงตาของชายคนนั้นทอประกายลึกล้ำ เขาไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามว่า
“เ้ามีคุณสมบัติใดถึงกล้าสอบปากคำข้า?”
อวิ๋นจื่อแค่นเสียงด้วยความโกรธ “เ้ามีสองทางเลือก นั่นคือ ตอบคำถามของข้าแต่โดยดีหรือไม่ก็ให้ข้าส่งเ้าออกเดินทางตอนนี้”
ชายคนนั้นยิ้ม “ลองหันไปมองที่รถม้าของเ้าสิ”
ปรากฎว่าในขณะที่นางกำลังต่อสู้ ชายชุดดำคนอื่นๆ ได้จับตัวซูเจินไว้แล้ว
ชายท่าทางดุร้ายสองคนจ่อกระบี่ไปที่ลำคอของซูเจิน
อวิ๋นจื่อตกตะลึงไปชั่วขณะ ทำให้ชายที่มีแผลเป็พยายามฉวยโอกาสหลบหนี
แต่การกระทำของเขาได้กระตุ้นความอำมหิตของอวิ๋นจื่อ กระบี่ในมือของนางตวัดออกไปและปลายกระบี่ที่คมกล้าก็ตัดผ่านลำคอของชายผู้นั้นด้วยความเร็วไม่ต่างจากสายฟ้า
เหล่าชายชุดดำส่งเสียงเรียกผู้นำของตนเองด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งชายสองคนที่จับตัวซูเจินไว้ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
เมื่อสบโอกาสซูเจินก็รีบวิ่งไปซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่
เมื่ออวิ๋นจื่อเห็นว่าชายตรงหน้ากำลังจะตาย นางก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
นางไม่เคยฆ่าใครมาก่อน
ขณะที่ลังเลว่าจะลงมืออีกครั้งดีหรือไม่ นางก็เหลือบไปเห็นสภาพทุลักทุเลของซูเจินที่กำลังวิ่งหนี อวิ๋นจื่อไม่มีเวลาครุ่นคิด กระบี่ของนางตวัดออกไปอีกครั้งและตัดศีรษะของชายที่เป็ผู้นำให้หลุดออกจากร่าง
ชายชุดดำต่างพากันร้องะโด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ จากนั้นพวกเขากระโจนเข้ามาด้วยท่าทีที่้าเอาชีวิตของอวิ๋นจื่อ
ร่างกายของอวิ๋นจื่อเปียกชุ่มไปด้วยเื นางเหนื่อยล้าจากการต่อสู้เป็เวลานาน เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีจากมือสังหารมากมายนับไม่ถ้วน กระบี่ชิงซานในมือของนางจึงฟาดฟันออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
วิชากระบี่ของสำนักชิงซานแม้จะดุดันแต่ก็มีความยืดหยุ่นเหมาะแก่การถ่วงเวลา ในขณะที่วิชากระบี่ของสำนักขงถงเหมาะแก่การปิดบัญชีและมักสังหารศัตรูได้ในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น หากวิชากระบี่ของทั้งสองสำนักสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ย่อมเป็เื่น่ายินดีอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นนกที่มีขนสีครามและคอสีขาวก็บินลงมาจากท้องฟ้า เมื่อเห็นเช่นนั้นเหล่าชายชุดดำก็หยุดความเคลื่อนไหวและหลบหนีออกจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว
อวิ๋นจื่อรู้สึกหมดแรง
เสื้อผ้าของนางอาบไปด้วยเื สภาพของนางตอนนี้ทั้งงดงามและดุร้าย เมื่อทุกอย่างจบลงนางก็รีบออกตามหาซูเจินด้วยความกังวล
หลังจากเดินได้เพียงสองก้าว อวิ๋นจื่อก็ตระหนักได้ว่านางแทบจะยืนต่อไปไม่ไหวแล้ว
นางะโ “ซูเจิน!”
แต่เสียงของนางกลับเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
นางพยายามเดินเข้าไปในป่าทึบโดยไม่รู้ทิศทาง นางไม่เห็นซูเจินและไม่เห็นใครเลย ความเ็ปจากาแรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกว่าตนเองกำลังจะหมดสติ
ในที่สุดนางก็ได้ยินเสียงที่อบอุ่นและคุ้นเคย
“อวิ๋นจื่อ”
ก่อนที่สติของอวิ๋นจื่อจะดับวูบ นางมองเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเสด็จแม่ นางจำได้ว่าจินเหนียงมักนำขนมดอกชบาที่นางโปรดปรานมาให้นางทานเสมอ และเสด็จแม่ก็ไม่เคยบังคับให้นางฝึกกู่ฉิน ใน่เวลานั้นกิจวัตรประจำวันของนางค่อนข้างเรียบง่ายและสะดวกสบาย แผนการหรือความยากลำบากใดๆ ล้วนอยู่ห่างไกลออกไปราวกับอยู่คนละโลก
ช่างเป็่เวลาที่ชวนให้คิดถึงอย่างแท้จริง
รอยยิ้มของเสด็จแม่ยังคงอบอุ่นและอ่อนโยน ขนมของจินเหนียงมีรสชาติอร่อยเหมือนเดิม และ่เวลาในตำหนักเหวินฮวาก็ทำให้นางมีความสุขอยู่เสมอ
“เสด็จแม่ อาจื่อคิดถึงท่านเหลือเกิน” หญิงสาวกระซิบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้