“พระ...พระสนมไม่ตำหนิหลิวสิ่งหรือเพคะ?” ทิงเยว่ปาดน้ำตาเอ่ยถามพลางสะอึกสะอื้น
“เื่มันผ่านไปแล้ว เราควรมองไปข้างหน้าถึงจะถูกป่วยการเปล่าที่จะยึดติดกับอดีต เพียงแต่นับจากนี้เป็ต้นไป หากพวกเ้าสองคนคิดทำการใดต้องบอกให้เปิ่นกงรู้ด้วย เข้าใจหรือไม่?” เหยาโม่หว่านเก็บงำความรู้สึกไว้เบื้องลึกก่อนทอดสายตาไปที่บ่าวชายผู้ภักดี การเกิดใหม่ของนางหาใช่เพื่อมาหลั่งน้ำตาร่ำไห้ หรือเศร้าโศกกับความสูญเสียที่ไม่อาจหวนคืน
“หลิวสิ่งจะจดจำไว้พ่ะย่ะค่ะ” หลิวสิ่งผงกศีรษะอย่างหนักแน่นรอยยิ้มบาง ๆ แทนคำมั่นปรากฏบนดวงหน้า
อาหารเช้าตระเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ เหยาโม่หว่านสั่งให้ทิงเยว่จัดชามและตะเกียบเพิ่มอีกหนึ่งชุดแต่จนกระทั่งถึงเวลารับประทานอาหาร เย่จวินชิงก็ยังไม่มาปรากฏตัว
“พระสนมจะให้บ่าวไปเชิญซู่ชินหวางที่เรือนรับรองปีกบูรพาหรือไม่”ทิงเยว่เดินเข้าไปหาเหยาโม่หว่าน พลางถามความเห็น
“ช่างเขาเถิด ส่ง ''ปุกปุย'' มาให้เปิ่นกง” เหยาโม่หว่านเอ่ยปากอย่างไม่นำพาก่อนหมุนตัวไปรับแมวน้อยจากมือหลิวสิ่ง “ปุกปุย” เป็ชื่อที่เหยาโม่หว่านตั้งให้ ไม่มีความหมายอื่นแอบแฝงเพราะความสามารถในการตั้งชื่อแมวของนางมีเพียงเท่านี้จริง ๆ
“พระสนมจะออกไปข้างนอกหรือเพคะ?” พอเห็นเหยาโม่หว่านอุ้มแมวน้อยเดินไปที่ประตูตำหนักทิงเยว่กับหลิวสิ่งก็รีบตามมา
“พวกเ้าเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่ที่นี่แหละ เปิ่นกงอยากออกไปเดินเล่นคนเดียวมากกว่า”เหยาโม่หว่านรั้งบ่าวทั้งสอง ก่อนอุ้มเ้าปุกปุยออกจากตำหนักกวานจี มุ่งไปยังอุทยานบุปผา
ยามเหยียบย่างไปบนพื้นที่ลาดด้วยหินกรวดหลากสี เหยาโม่ซินคล้ายได้ยินเสียงหัวใจกะเทาะร่อนนี่คือทางที่ตนเองเคยเดินผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าความรู้สึกในเพลานี้กลับมีแต่ความเหน็บหนาวและร้าวราน
เมื่อไปถึงศาลาในอุทยานกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยโดยไม่คาดคิดเย่จวินชิงยังคงสวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะ เรือนผมสีน้ำหมึกพลิ้วไสวไปตามสายลม ดวงเนตรดุจหยกสีนิลจดจ้องหนูชางสู่ในกรงสำริดที่ถืออยู่ในมือนิ่งนาน
“โม่ซิน ไยเ้าถึงได้เืเย็นนัก จากกันไปไม่ร่ำลาสักคำทิ้งทั้งมัน ทิ้งทั้งข้าเอาไว้เยี่ยงนี้...” เย่จวินชิงเอื้อมมือเข้าไปลูบตัวหนูชางสู่ในกรงอย่างทะนุถนอมประกายจากก้นบึ้งดวงตาวูบไหว
หัวใจนาง...เจ็บมาก ดั่งถูกหนามแหลมทิ่มแทงจนหลั่งโลหิตในทุกจังหวะที่ตุบเต้นวงแขนรัดแน่นขึ้นจนแมวน้อยในอ้อมแขนรู้สึกไม่สบายตัว ร้องประท้วงออกมา
“ใครน่ะ?” เย่จวินชิงเงยหน้าขึ้น แววตาคมกล้าพุ่งมาทางต้นเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ข้าเอง ท่านชอบหนูชางสู่ตัวนี้เหมือนกันหรือ ข้าก็ชอบมันนะ”เหยาโม่หว่านรู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจหลบเลี่ยง จึงก้าวออกมาเสียเลย ดวงหน้างามพิลาสเชิดขึ้นมองชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มละมุนละไม
“เ้าสะกดรอยข้ามา?” เย่จวินชิงย่นคิ้วน้อย ๆ แยกไม่ออกว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าคือเหยาโม่หว่านหรือจิ้งซินที่เคยพบในครานั้น
“ไยข้าต้องทำเช่นนั้น ในเมื่อสามารถมาดูเ้าหนูตัวนี้ได้เหมือนกันหรือว่าดูไม่ได้? ท่านนี่แปลกคนเสียจริง” ขณะที่เหยาโม่หว่านจะเข้าไปใกล้ขึ้นอีก กลับถูกเย่จวินชิงขวางไว้ก่อน
“อยู่ให้ห่างหน่อย มันไม่ชอบเดียรัจฉานที่อยู่ในอ้อมแขนเ้า”เย่จวินชิงพยายามปกป้องกรงสำริดในอ้อมแขนของตนเองเต็มกำลัง สายตาจดจ้องเหยาโม่หว่านหรืออีกนัยหนึ่งคือกำลังเฝ้าระวังแมวน้อยที่นางอุ้มอยู่
“ข้าไม่ชอบที่ท่านเรียกมันว่าเดียรัจฉาน มันมีชื่อเรียกว่าปุกปุย” ริมฝีปากน้อย ๆ ยู่ย่น นิ้วมือเรียวลูบไล้ไปบนเส้นขนเรียบลื่นของแมวน้อยสีขาวที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน
“เ้าคือตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ ?” เมื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาของเหยาโม่หว่านดูผิดจากหญิงสาวนามว่าจิ้งซินราวกับเป็คนละคน เย่จวินชิงจึงรั้งสายตากลับมา แต่ยังอดถามขึ้นไม่ได้ทว่าเหยาโม่หว่านยังไม่ทันให้คำตอบ กลับมีเสียงร้องทักของเหยาซู่หลวนดังมาจากตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก
“โม่หว่าน ที่แท้เ้ากับซู่ชินหวางก็ ''อยู่ด้วยกัน''นี่เอง ฝ่าาทรงตามหาพวกเ้าจนทั่ว” เย่จวินชิงหันมามองด้านข้าง เหยาซู่หลวนจงใช้เน้นหนักคำว่าอยู่ด้วยกันสีหน้ายิ้มย่องใคร่อยากจะเห็นหายนะของผู้อื่นอย่างปิดไม่มิด
“ฝ่าาทรงมาหาหว่านเอ๋อร์หรือเพคะ” ทันทีที่มองเห็นเย่หงอี้เหยาโม่หว่านก็วิ่งซอยเท้าเข้ามาหาโดยไม่ลังเล ดวงเนตรคู่งามโค้งราวกับจันทร์เสี้ยวทอยิ้มสดใสงามตระการ