เผยฉางชิงในชาติก่อนเป็ขุนนางโหวแห่งอันกั๋วผู้เลื่องชื่อ ทั้งยังเป็ศัตรูตัวฉกาจในการครองราชย์ของเซี่ยยู่จาง ซึ่งเื่ราวเกี่ยวกับเขานั้น เฉินจิ้งเจียพูดไม่ได้ว่ารู้มากมาย ถึงอย่างนั้นก็คุ้นเคยกว่าคนอื่นอยู่บ้าง
นางรู้ว่าแท้จริงแล้วบิดามารดาบุญธรรมมิได้ถือว่าเลวร้ายต่อเผยฉางชิง ทว่าเนื่องด้วยสภาพความเป็อยู่อันข้นแค้นของครอบครัวตอนนั้น จึงมิอาจเลี้ยงดูทารกแรกเกิดได้ จึงตกลงแลกบุตรของตนไป
กระนั้นถึงเผยฉางชิงจะมิใช่บุตรของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังทำดีต่อเผยฉางชิงยิ่ง สองสามีภรรยาอดมื้อกินมื้อเพื่อเก็บหอมรอมริบให้เผยฉางชิงได้เล่าเรียน โดยไม่เคยคาดคั้นหวังให้เขาต้องสอบติดได้เป็จวี่เหริน[1]
ก้าวต่อไปของจวี่เหรินนั้น ย่อมเป็การเข้าเมืองหลวงเข้าร่วมการสอบต่อ จากนั้นก็คอยกระทั่งสอบติดรับราชการ ไม่ก็มาสู้ใหม่ในปีหน้า ไม่เว้นแม้แต่เผยฉางชิงเช่นกัน
แต่เขาไม่คิดฝันมาก่อนว่า บิดามารดาที่สนับสนุนตนให้ร่ำเรียนมาเสมอนั้นกลับเงียบงันไปยามเขา้าเข้าเมืองมาสอบ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาไปทั้งสิ้น
เขาเองก็นิสัยหัวรั้น เื่ที่ตนตั้งใจไว้ต้องไปทำให้ลุล่วงให้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ที่สถานศึกษายังบอกว่าเขามีโอกาสสอบติดสูงมาก ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาและมารดาถึงไม่ยอมให้เขาไป
ภายหลังทั้งสองฝั่งมีปากเสียงใหญ่โต เผยฉางชิงเก็บข้าวของใส่ห่อของตนเตรียมเดินทางเข้าเมืองหลวง ยามจากบ้านก็ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวบิดามารดาสักนิด
ทว่าออกบ้านได้ไม่นาน เขากลับพบว่าในห่อมีเงินใส่ไว้มากมาย นอกจากบิดามารดาแล้ว จะยังมีใครให้เงินเขาอีก?
หากแต่น่าเสียดาย กระทั่งเมื่อตัวตนที่แท้จริงของเผยฉางชิงเปิดเผย บิดามารดาบุญธรรมของเผยฉางชิงก็รู้ว่าบุตรที่ตนแลกมามิใช่แค่เด็กจากสกุลมั่งมี แต่เป็ถึงบุตรของฮ่องเต้ ที่มีโอกาสเป็ไท่จื่อและกลายเป็ฮ่องเต้พระองค์ต่อไป
เพื่อมิให้สร้างความลำบากแก่เขา บิดามารดาบุญธรรมจึงเลือกอัตวินิบาตกรรมตนเองเสีย คำขอเดียวจากพวกเขาคือแค่ขอให้ดูแลเมตตาลูกสาวที่ใช้ตัวตนอยู่ในสถานะของเขาแทน ซึ่งก็คือองค์หญิงอิงหนิงในราชวงศ์ยุคนั้นนั่นเอง
เผยฉางชิงเองก็ทำตามคำขอ ไม่เคยลงไม้ลงมือกับองค์หญิงอิงหนิง เรียกได้ว่าดูแลอย่างดีเลยทีเดียว
ครั้นนึกถึงตรงนี้ ดวงตาเฉินจิ้งเจียเปล่งประกายวาบ เงยหน้ามองเผยฉางชิงด้วยท่าทางสงสัย นางยิ้มแย้มพลางเอ่ย “ท่านบอกว่าข้ามีพ่อมีพี่ชายคอยปกป้อง เช่นนั้นครอบครัวท่านก็คงเป็เหมือนกัน พวกเขาเองก็คงปกป้องท่านเช่นกันสินะ?”
เมื่อนึกถึงบิดามารดาตัวเอง ชาวนาผู้ซื่อสัตย์และจริงใจทั้งสองนั้นทำเอาสีหน้าเผยฉางชิงอ่อนโยนลง “อืม พวกเขาเองก็ปกป้องข้าเช่นกัน แม้นมิได้เก่งกาจดั่งพ่อและพี่ชายท่าน แต่พวกเขาก็พยายามช่วยข้าเท่าที่จะทำได้”
เขาบอก ก่อนเป็ฝ่ายเริ่มพูดเื่ราวในบ้านของตนขึ้นบ้าง
เขาเล่าอยู่เนิ่นนาน นานกระทั่งชาหนึ่งกาหมดเกลี้ยง จึงทำให้เขาหยุดลง
“เช่นนั้นท่านเล่า? คุณหนูผู้สูงศักดิ์จากสกุลผู้ดี ย่อมต่างไปจากลูกของครอบครัวอัตคัดอย่างเราใช่หรือไม่?”
เผยฉางชิงดื่มชาอึกสุดท้ายในถ้วย ช้อนสายตามองใบหน้าเปี่ยมความอ่อนโยนของเฉินจิ้งเจีย
คำถามนี้ เป็สิ่งที่เฉินจิ้งเจียไม่อยากตอบที่สุด
นางต้องพูดอะไรเล่า? บอกว่าชาติก่อนท่านพ่อโดนโทสะย้อนเข้าตัวจนกระอักเื ป่วยจนไม่ฟื้นอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?
หรือจะบอกว่า พี่ชายต้องไปเข่นฆ่าศัตรูของสามีไร้น้ำยาของตนผู้นั้นที่ชายแดน ท้ายที่สุดสู้จนตัวตายในสนามรบ แม้แต่ร่างยังมิอาจกู้คืนกลับมาได้อย่างนั้นหรือ?
“ข้าจะพูดอะไรดีล่ะ อยู่ในสกุลสูงศักดิ์แสนร่ำรวยนั้น คนนอกเห็นเพียงเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆ อาหารการกินดีๆ เตียงสูงฟูกอุ่นนุ่มเท่านั้น ความจริงแล้วภายในกลับมีเื่สกปรกมากมายที่ใครอื่นไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำ”
ยิ่งนางพูด เสียงก็ยิ่งเบา ราวกับความคิดกำลังพัดผ่านไปไกลตามกระแสลม
เผยฉางชิงรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนช่างอยู่ห่างไกลจากเฉินจิ้งเจียยิ่ง กระนั้นเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าปี เหตุใดถึงได้มีท่าทางเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแล้วอย่างไรอย่างนั้น?
เขาขมวดคิ้ว “เื่สกปรกในจวนป๋อชางโหวนั้น ข้องเกี่ยวกับแม่นางที่เพิ่งออกไปคนนั้นใช่หรือไม่ขอรับ?”
เฉินจิ้งเจียเลิกคิ้วมองเผยฉางชิง
เขามิได้เหมือนตนที่มีความทรงจำจากชาติก่อนติดมา เฉินจิ้งโหรวเป็คนเช่นไรนางรู้ยิ่ง หากแต่เผยฉางชิงเขาหาได้รับรู้มากนัก
“ที่ออกไปเมื่อครู่นั้น คือลูกอี๋เหนียงผู้ซึ่งเป็น้องสาวของข้า เป็คุณหนูรองแห่งจวนป๋อชางโหว เฉินจิ้งโหรวนั่นเอง”
นางบอกเพียงสถานะเท่านั้น ส่วนความขัดแย้งระหว่างพวกนางกลับมิได้บอกคุณชายเผยแต่อย่างใด
แม้นจากนี้จะลงเรือลำเดียวกันแล้ว ทว่ายามนี้เขายังไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับจวนป๋อชางโหว นางเองก็ไม่มีทางดึงเขาเข้าร่วมาเร็วขนาดนี้แน่
“ท่านคือบุตรสาวฮูหยิน นางคือบุตรสาวของอนุ” เผยฉางชิงหัวเราะ “ลูกฮูหยินกับลูกอนุนั้นปรับตัวเข้ากันได้ยากมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว ในจวนป๋อชางโหวก็คงเหมือนกันสินะขอรับ?”
เฉินจิ้งเจียหลุบสายตาลงแทนการพูด
เมื่อเห็นท่าทางของนาง เผยฉางชิงนึกถึงท่าทางเร่งรีบของเฉินอี้เหอก่อนหน้านี้ ก็อดที่จะยกมุมปากขึ้นเสียมิได้ “ดูท่าพวกท่านคงไม่ถูกกันอย่างหนัก มิเช่นนั้นเมื่อครู่ท่านแม่ทัพเฉินคงไม่รีบปรี่มาที่นี่ด้วยความร้อนรนแน่”
เขาเพิ่งพูดจบ ก็เห็นเฉินจิ้งเจียเงยหน้าจ้องเขา “ในเมื่อท่านรู้แล้ว ไยถึงยังถามข้าอีก?”
เฉินจิ้งเจียเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ท่าทางเมื่อครู่ไม่เหมือนกำลังโกรธ แต่กลับเหมือนสลัดความหยิ่งยโสทิ้งไปดูน่ารักน่าเอ็นดูแทน
เผยฉางชิงโตมาขนาดนี้แล้ว เป็คราแรกที่เห็นเด็กสาวผู้สงวนท่าทางไว้ปล่อยตัวปล่อยใจ ความสุขุมคร่ำเคร่งในเวลาทั่วไปอันตรธานหายอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ใบหูยังขึ้นริ้วแดงก่ำตาม
เขากระแอมไอครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบของบางอย่างวางไว้บนโต๊ะ “เมื่อครู่ข้าเก็บได้ที่หน้าประตู ข้าคิดว่าคงมีประโยชน์ต่อท่าน ท่านอยากจะดูหรือไม่?”
เฉินจิ้งเจียหันขวับกลับมาด้วยความประหลาดใจ มองเผยฉางชิงที่พูดจาตะกุกตะกักเล็กน้อย
ชาติก่อนนางเคยเจอหนุ่มรูปงามแสนอ่อนโยนอย่างเผยฉางชิง เบื้องหน้าสุขุมสงบนิ่ง หากแต่วิธีการกลับดุร้ายเด็ดขาดยิ่งยวด ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชั่ววินาทีที่เขายิ้มให้จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง
ครั้นได้พานพบในชาตินี้ เป็เผยฉางชิงที่ยังไม่ได้เข้าราชการ แม้นมิได้เ้าแผนการขนาดนั้น แต่กลับสุขุมเยือกเย็นเกินหยั่งถึง
ทุกครั้งที่เจอกันล้วนเอาแต่ทำความเคารพ จากนั้นจะเรียกนางว่าคุณหนูเฉิน ไม่เคยเห็นเขาลุกลี้ลุกลนจนกลายเป็แบบนี้มาก่อน แม้แต่ชื่อยังไม่เรียกแล้ว เรียกแค่เ้ากับข้าเท่านั้น
เฉินจิ้งเจียพยายามนึกถึงท่าทางที่ตนเพิ่งพูดไปอย่างละเอียด คงมิใช่ว่าท่าทางโกรธกริ้วของนางสร้างความหวาดกลัวต่อเผยฉางชิงเข้าใช่หรือไม่?
พูดเช่นนี้ก็เหมือนพอเฉไฉไปต่อได้ อย่างไรเสียยามนี้เผยฉางชิงก็เป็เด็กหนุ่มอายุอานามสิบแปดปี ทั้งยังไม่เคยเจอโลกภายนอก ไม่รู้ว่าควรรับมือกับโทสะคุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อชางโหวเช่นไร
เมื่อเห็นนางเงียบงันไปนาน เผยฉางชิงค่อยๆ ช้อนสายตามองหน้าเฉินจิ้งเจีย แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะสบเข้ากับสายตาของนางที่มองมาพอดีเช่นกัน
ริ้วแดงที่หยุดอยู่แค่ใบหูลามไล้ขึ้นใบหน้าชายหนุ่มทันใด ดวงหน้าขาวสะอาดแดงก่ำในชั่วพริบตา
ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับอ้าราวกับอยากพูดบางอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร จึงทำได้เพียงปิดปากก้มหน้างุดลงเล็กน้อย
กำลังเขินอายหรือ?
ไหนเล่าท่าทีไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดเหมือนชาติที่แล้ว ขุนนางโหวแห่งอันกั๋วผู้ไม่เคยหวั่นเกรง?
ไหนเล่าท่าทางต่อต้านเซี่ยยู่จางที่เคยทำต่อพระพักตร์ไท่จื่?
นางละสายตาจากใบหน้าเผยฉางชิง มองของที่เผยฉางชิงบอกว่ามีความจำเป็ต่อนางบนโต๊ะด้วยความสงสัย
“นี่หรือ?” เฉินจิ้งเจียใช้สองนิ้วหยิบของบนโต๊ะ พลางมองเผยฉางชิงอย่างเหนือความคาดหมาย
------
[1] คือคุณวุฒิของคนที่สอบระบบราชการถึงรอบสองในระดับภูมิภาค
ระบบการสอบเข้ารับราชการของจีนนั้นเรียกว่า “คอจวี่” (科举) ซึ่งประกอบด้วยการสอบทั้งหมดสามรอบ
- รอบแรกเป็การสอบระดับท้องถิ่น (หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด) ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิระดับเรียกว่า “ซิ่วไฉ” (秀才) การสอบรอบนี้จึงเรียก ว่า “การสอบซิ่วไฉ” จัดสอบทุกปี ปีละครั้ง
- รอบที่สอง เป็การสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค (มณฑล, ภาค) เงื่อนไขคือ ผู้เข้าสอบจะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิ “จวี่เหริน” (举人) การสอบรอบนี้จึงเรียก ว่า “การสอบจวี่เหริน” จัดสอบทุกสามปี
- รอบที่สาม เป็การสอบรอบสุดท้าย ผู้สอบผ่านรอบนี้จะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการ ผู้เข้าสอบทุกคน จะถูกเรียกว่า “ก่งเซิ่ง” (貢生) ก่งเซิ่งทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าสอบรอบสุดท้ายในพระราชวัง
