“ฉันสืบทอดชื่อของเขา เพราะฉันสกุลเฉินเช่นเขา!” แม้จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เฉินเฟิงก็ยังตอบกลับด้วยเสียงไร้อารมณ์
เขาไม่คิดว่าปู่ทวดตระกูลเย่จะรู้จักเ้าของนามของเฉินเฟิง ปรมาจารย์หมัดมวยธรรมชาติ
“ท่านพ่อ สำนักหมัดธรรมชาติไม่ใช่ถูกผู้ทรงอำนาจลึกลับกวาดล้างไปแล้วหรือ? จะมีปรมาจารย์สายนี้หลงเหลือได้อย่างไร”
แม้จะอายุมากถึงหกสิบเก้าปี แต่เย่ไท่ป๋ายก็ไม่เคยได้ยินชื่อปรมาจารย์หมัดธรรมชาติอย่างเฉินเฟิงมาก่อน
“แกจะไปรู้อะไร? ปรมาจารย์เฉินเฟิงแห่งสำนักหมัดธรรมชาติ เป็พี่ชายแท้ๆ ของเฉินฉางชิง บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลเฉินในปัจจุบัน พี่น้องสองคนนี้มีศักดิ์สูงกว่าฉันอีกหนึ่งรุ่น ตำนานเล่าขานกันว่า ยอดปรมาจารย์เฉินเฟิงฝากตนเป็ศิษย์สายนอกหุบเขาหมอยาะ และยังมีชีวิตอยู่จวบจนทุกวันนี้” เย่วู่สั่งสอนลูกชายคนโตในวัยหกสิบเก้าปีด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิด
ต่อหน้าพ่อของเขา เย่ไท่ป๋ายย่อมไม่กล้าเถียงอะไร
ไม่อย่างนั้น ชื่อเสียงในฐานะผู้นำตระกูลเย่และอดีตผู้บัญชาการตำรวจเมืองโยวเฉิงคงต้องป่นปี้ต่อหน้าทุกคนเป็แน่
น่าเศร้าที่เขาอายุหกสิบเก้าปีแล้ว แต่ยังต้องถูกพ่อดุด่าราวกับเป็เด็กน้อย
“โอ้เฮ้ คิดไม่ถึงว่าท่านปู่ทวดจะรู้อะไรมากมายขนาดนี้เชียว? เพื่อเป็การให้เกียรติที่ท่านเอ่ยถึงสำนักหมัดธรรมชาติ ฉันจะไม่ทำร้ายผู้าุโเยี่ยงท่าน ขอเพียงแต่ท่านหลีกทางไป”
แม้จะถูกปืนหลายกระบอกจ่ออยู่ แต่น้ำเสียงของเฉินเฟิงกลับฟังดูสงบนิ่ง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาต้องแก้แค้นให้ลูกสาว เขาต้องฆ่าเย่กัง
เย่กังเป็ผู้บงการที่ทำให้ลูกสาวของเขาพบกับความสิ้นหวังในโลกอันโหดร้ายของผู้ใหญ่ มันทำให้เธอไม่อยากมีชีวิตต่อ
เย่กังถูกเธอเรียกเป็ท่านลุงสามมาเนิ่นนานหลายปี แต่สุดท้ายมันกลับไปแอบมีลูกชายกับแม่แท้ๆ ของเธอเสียอย่างนั้น
ถึงขนาดพยายามควักดวงตาของเธอไปให้เด็กที่เธอไม่เคยได้เห็นหน้ามาก่อนด้วยซ้ำ!
“เย่กังคือหลานชายของฉัน เห็นแก่หน้าฉัน ไว้ชีวิตเขาให้ข้าได้หรือไม่?”
เย่วู่ััได้ว่าเฉินเฟิง้าฆ่าเย่กังจริงๆ ไม่ใช่เพียงตบให้จมดิน เขาจึงคุกเข่าหนึ่งข้างเพื่อก้มหัวขอร้อง
การจะตบคนที่ยังนั่งอยู่บนรถเข็นให้ติดพื้นคงไม่เหมาะเท่าไร
“ไม่! เมื่อวานนี้ฉันมีเมตตาแล้ว ฉันไม่ได้ใช้ถังออกซิเจนเอาชีวิตมัน เพียงทำลายกล่องดวงใจเท่านั้น แต่มันกลับยิงปืนใส่ฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะบุญวาสนาทำให้ฉันฟื้นความทรงจำได้ทันการณ์ คงถูกมันยิงตายไปแล้ว วันนี้ยังคิดจะคว้านดวงตาลูกสาวฉัน และยังพูดความจริงอันแสนโหดร้ายกับเธอที่อายุเพียงห้าขวบ ว่าแม่แสนเลวทรามของเธอมีลูกชายกับลุงสามอีก แม่ที่ไม่เพียงแต่จะคว้านดวงตาของเธอ แถมยัง้าบีบคอเธอให้ตายอีก เดิมทีลูกสาวของฉันมีเวลาอีกสี่วัน แต่ถูกพวกมันทำร้ายาเ็สาหัสจนมีชีวิตอยู่ได้ถึงแค่เที่ยงคืนของวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เธอรู้สึกสิ้นหวังกับโลกใบนี้แล้ว แม้ฉันจะรักษาลูคีเมียของเธอได้ แต่เธออาจจะไม่อยากตื่นขึ้นมาลืมตาดูโลกอีกแล้วก็เป็ได้”
เฉินเฟิงพูดเสียงลอดไรฟัน น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ไร้ซึ่งความโกรธ มีเพียงแววตาอันเต็มไปด้วยจิตสังหารหมายมั่นเอาชีวิตเย่กังให้จงได้
ได้ยินเช่นนั้น เย่วู่ ผู้าุโจากหลายรุ่นก่อนก็รู้ตัวว่าเย่กังเป็ฝ่ายผิด ไม่มีเหตุผลให้ต่อล้อต่อเถียง จึงหันหลังเดินจากไปทันที
อย่างไรก็ตาม
ทางด้านเย่กังซึ่งเห็นปู่ของเขาหันหลังเดินจากไปโดยไม่ร้องขอความเมตตาให้เขา เขาก็หัวเราะเสียงดังอย่างเสียสติ
“เฉินเฟิง ที่แท้ไอ้ลูกหมาพันทางเฉินเชียนก็เป็ลูกของแกกับจู้เจินฉิงนี่เอง อา หลายปีที่ผ่านมา ฉันมีความสุขมากที่ได้ร่วมเตียงกับผู้หญิงคนนั้น แต่แกรู้มาตลอดว่าหล่อนเคยเป็ผู้หญิงของแก แต่แกกลับนิ่งเฉย มองดูลุงสามอย่างฉันมีความสัมพันธ์กับหล่อน คงรู้สึกไม่ดีสินะ ขนาดตอนที่แกแต่งงานกับหลานคนโตของฉัน แต่เธอดันเป็หญิงสาวหินผาเสียได้ แกคงไม่มีโอกาสได้แตะต้องเธอเลยละสิ เกิดเป็ผู้ชายแบบนี้ ถ้าฉันเป็แกนะ คงหาเต้าหู้มาทุบหัวตัวเองให้ตายๆ ไปเลยเสียดีกว่า”
เมื่อเฉินเฟิงฟังจนจบ เขาส่งเสียงหัวเราะฮ่าๆ กับตัวเอง พลางโต้กลับอย่างมีวาทศิลป์
“รู้ได้ยังไงว่าฉันแต่งเข้าตระกูลเย่ห้าปีนี้ไม่เคยแตะต้องหญิง? หน้าฉันเหมือนพานอัน [1] ปานนี้ หญิงใดเลยจะอดใจไหว ลืมลูกชายคนโตและลูกสาวคนรองที่ตายจากอุบัติเหตุบนรถไปแล้ว? หน้าอกลูกสาวคนรองแกมีปานรูปดอกกุหลาบอยู่ไม่ใช่รึ? ฮะๆ แกร่วมเตียงกับผู้หญิงที่ฉันไม่้า ส่วนฉันร่วมเตียงกับลูกสาวแก ก็ว่ายุติธรรมดี”
เฉินเฟิงพูดทีเล่นทีจริง แต่แม้จะไม่จริงอยู่ครึ่งหนึ่งแต่ก็ทำให้เย่กังโกรธเป็ฟืนเป็ไฟได้
"ลูกชายคนโตเย่เทียนกับลูกสาวคนรองของฉัน เป็ฝีมือของแก? แล้วยังเื่ที่แกร่วมเตียงกับลูกสาวฉัน?! ยิง ตำรวจทุกนาย ยิงมันเดี๋ยวนี้รออะไรอยู่วะ ยิงให้มันพรุนเป็รังผึ้งไปเลย"
เย่กังฝืนพยุงตัวขึ้นจากรถเข็น ชักปืนประจำกายหมายจะยิงเฉินเฟิงอีกครั้งในระยะเผาขน
ตำรวจสายตรวจในโรงแรมครึ่งหนึ่งต่างพร้อมใจกันปลดล็อกเซฟตี้ กำปืนแน่นและหันปากกระบอกปืนเข้าหาเฉินเฟิง
ตำรวจอีกครึ่งหนึ่งพากันมองไปทางเย่ไท่ป๋าย รอฟังคำสั่งจากเขาผู้เป็ถึงอดีตผู้บัญชาการกรมตำรวจ
เย่ไท่ป๋ายเห็นว่าพ่อของเขาปลีกตัวออกไปแล้ว ตอนนี้เขามีอำนาจสูงที่สุดในโรงแรมเย่แห่งนี้
เขาจึงเลือกระบายความอับอายที่ถูกพ่อดุด่าเมื่อก่อนหน้า และความโกรธแค้นที่หลานชายอันเป็ที่รักอาจต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือไอ้เฉินเฟิง
"ฉันขอสั่งให้เหล่าตำรวจทุกนายทั้งตำรวจสายตรวจและหน่วยรักษาความปลอดภัย ฟังคำสั่งให้ดี วันนี้อย่าให้ไอ้ฆาตกรเฉินเฟิงเดินออกจากโรงแรมเย่แม้แต่ก้าวเดียว"
เมื่อได้ยินคำสั่งจากผู้มีอำนาจสูงสุดในตระกูลเย่พ่วงด้วยตำแหน่งอดีตผู้บัญชาการกรมตำรวจเมืองโยวเฉิงแห่งนี้อย่างเย่ไท่ป๋าย เหล่าตำรวจ ตำรวจสายตรวจ และหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ลังเลอยู่ก่อนหน้านี้ ต่างก็หยิบอาวุธประจำกายขึ้นมาจ่อไปที่เฉินเฟิง
กลายเป็ว่าทั่วทั้งโรงแรมต่างเต็มไปด้วยเ้าหน้าที่ติดอาวุธนานาชนิดที่กำลังเล็งเป้าไปที่เฉินเฟิง
แม้บริเวณหน้าโรงแรม เหล่าตำรวจและเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เข้ามาไม่ได้ก็ยังล้อมโรงแรมจนแน่นขนัด
เมื่อเย่กังเห็นพ่อเข้าข้างเขา เย่กังรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที
"เด็กน้อย ถ้าแกคุกเข่าลงกราบขอขมาฉันสามครั้ง เหมือนกับลูกสาวง่อยๆ ของแก แล้วเรียกฉันว่า ท่านลุงสาม แล้วส่งศิษย์พี่ดาราไร้ประโยชน์ของแกทั้งสองคนมาให้ฉันกอดเล่นคืนนี้ ฉันปล่อยไอ้หมาจรอย่างแกไปมีชีวิตต่อ"
ทั้งจ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนต่างรู้สึกโกรธ แต่ก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน ทั้งสองเห็นแก่หน้านายน้อยแห่งหุบเขาอย่างเฉินเฟิงจนไม่กล้าลงมือฆ่าใครสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่ตอนนี้กลับถูกเย่เซียวและเย่กังหมายปองให้ไปอุ่นเตียงให้คนแล้วคนเล่า
ดังนั้นทั้งสองจึงปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมา โดยไม่ต้องรอคำสั่งเฉินเฟิง
ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนร่างกลายเป็เงาดำเบลอๆ และแล้วขมับของเย่กังและเย่เซียวก็ปรากฏนิ้วแทงทะลุ
“ศิษย์น้องเป็ห่วงความรู้สึกเธอ เย่ชิงโหรว เขาเลยไม่ได้ลงมือฆ่าไอ้หมาสองตัวที่เห่าไม่หยุดทั้งเย่เซียวกับเย่กัง แต่ไอ้หมาสองตัวนี้ คิดว่าพวกเราพี่น้องไม่กล้าลงมือหรือไง? ไปทักทายพญายมไป!”
จ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนพูดด้วยน้ำเสียงเ็าในขณะที่เช็ดเศษสมองเศษเืที่ติดบนอยู่ปลายนิ้วเรียวยาว พลางมองไปที่เย่ชิงโหรวด้วยสายตาอาฆาต
เชิงอรรถ
[1] พานอัน เชื่อกันว่าเป็ชายหนุ่มที่รูปงาม หล่อเหลาที่สุดในตำนานจีน หล่อแบบหล่อที่สุดตลอดกาลประวัติศาสตร์ชาติจีน เกิดในสมัยราชวงศ์จิ้น เป็นักกวีชื่อดัง หล่อระดับที่สำนวนจีนมีคำพูดหนึ่งพูดไว้ว่า 'หล่อเหมือนพานอัน' (貌似潘安)
