เื่นี้ยิ่งแก้ง่าย เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าหลี่ฮูหยินเห็นด้วยกับแผนแรกแล้ว นางจึงพร้อมที่จะช่วยคิดแผนใหม่ให้อีก
“ท่านบอกเองมิใช่หรือว่าพี่ใหญ่ของตระกูลหลี่กำลังจะมาเยือนที่นี่? หากฮูหยินดูแลเขาเป็อย่างดีแล้ว ท่านก็เพียงต้องให้ลูกของท่านเข้าไปบอกเขาว่าอยากตามไปทำความเคารพท่านปู่ที่บ้านใหญ่ก็พอ” หลินฟู่อินมองหลี่ฮูหยินที่สีหน้าเริ่มดีขึ้นอีกครั้ง “เมื่อเป็เช่นนั้นแม้พี่ใหญ่ของพวกท่านจะไม่้า แต่ก็ไม่มีใครสามารถห้ามหลานไม่ให้ไปพบผู้าุโเพื่อแสดงความกตัญญูได้แน่”
หลี่ฮูหยินตบขาอย่างเริงร่า “ความคิดดียิ่ง เหตุใดข้าถึงไม่เคยคิดได้เลยกันนะ?”
หลินฟู่อินกล่าว “ไม่ใช่ว่าท่านคิดไม่ได้ แต่มันเป็เพราะท่านยังโกรธพ่อสามีของท่านอยู่ ท่านจึงไม่แม้แต่จะเริ่มคิด แต่ตอนนี้เมื่อลูกๆ ของท่านเริ่มโตขึ้นแล้ว ท่านจึงต้องเริ่มคิดหาวิธีกรุยทางให้ลูกๆ”
หลินฟู่อินกล่าวต่ออย่างจริงใจ “หากฮูหยินและท่านหมอตัดสินใจที่จะทำตามนี้แล้ว… ตอนนี้ก็ใกล้สิ้นปีพอดี การส่งให้ลูกๆ ของท่านไปใช้่เวลาปีใหม่ร่วมกับปู่ของพวกเขาเพื่อแสดงความกตัญญูก็ดูเป็เื่ดี”
ที่หลินฟู่อินกล้ากล่าวเช่นนี้เป็เพราะนางรู้ว่าหลี่ฮูหยินมองนางเป็คนสนิท นางจึงไม่คิดปิดบัง หากนี่เป็วังฮูหยินละก็นางคงไม่มีทางกล่าวอะไรเช่นนี้แน่
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลี่ฮูหยินจึงนั่งพิจารณาอย่างจริงจัง แม้สีหน้าจะกระอักกระอ่วนก็ตาม
“ฮูหยิน หากท่านไม่้าก็ถือว่าข้าไม่เคยพูดก็ได้ เพราะมันไม่ใช่เื่ที่จำเป็ต้องทำ” หลินฟู่อินเห็นสีหน้านางแย่ลงเรื่อยๆ จึงรีบเสนอทางเลือก
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่…” หลี่ฮูหยินหยุดพูด
หลินฟู่อินนิ่วหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินไม่สบายใจที่จะให้ลูกๆ ไปยังบ้านใหญ่หรือ?”
อย่างไรก็เป็มารดา การกังวลกับเื่เช่นนี้ถือเป็ปกติ
แต่หลี่ฮูหยินกลับส่ายหน้า “ไม่จริงเลย ถ้าให้พูดตรงๆ ท่านปู่น่ะออกจากบ้านมาั้แ่ยังเด็ก เขาจึงคิดถึงบ้านเดิมของเขามาก เพราะเดิมเขาก็สนิทกับพี่น้องของเขาด้วย หากข้าส่งลูกๆ ไปแล้ว” ฮูหยินถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวต่ออย่างเป็กังวล “ข้ากลัว... ว่าท่านปู่จะอยากให้พวกเด็กๆ อยู่ที่นั่นเลย...”
หลินฟู่อินเข้าใจในที่สุด หลี่ฮูหยินกลัวว่าปู่จะขอเด็กๆ ไว้เลี้ยงเองสักคนจนไม่ยอมพามาส่งคืนนี่เอง!
เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าเป็เื่ใหญ่!
เพียงคิดตามร่างก็สั่นสะท้าน ปู่ของตระกูลหลี่เป็คนที่จะลงมือลักพาตัวได้เพื่อคลายความเหงาเลยหรือ
“เช่นนั้นแล้วฮูหยินก็อย่าได้ใช้วิธีนี้ ฟู่อินไม่รู้จักปู่หลี่ดีพอเอง โปรดให้อภัย”
เมื่อฮูหยินเห็นนางเป็กังวลขึ้นมา หลี่ฮูหยินจึงยิ้ม “เ้ากลัวอะไรกัน คนที่หาทางไปไม่ได้น่ะมันคือข้าเองมิใช่หรือ? เ้าน่ะเพียงพยายามทำเพื่อข้าและลูกๆ ของข้าเท่านั้น ข้าจะไปว่าอะไรเ้าได้อย่างไร?”
หลี่ฮูหยินเป็คนมีความเข้าอกเข้าใจ หลินฟู่อินจึงโล่งใจขึ้น
และดูเหมือนหลี่ฮูหยินจะไม่อยากคุยเื่นี้ต่อเท่าใดนัก หลินฟู่อินจึงถือโอกาสเปลี่ยนเื่
หลังจากสนทนากันต่อไปอีกสักพักหลินฟู่อินก็ขอตัวลา โดยหลี่ฮูหยินตามไปส่งนางถึงหน้าโรงหมอสกุลหลี่ แล้วยืนมองแผ่นหลังของนางที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ ด้วยสายตาสั่นไหว ความคิดภายในใจไม่มีใครล่วงรู้
สาวใช้ที่ติดตามหลี่ฮูหยินมานานกล่าวออกมาอย่างเป็กังวล “ฮูหยิน คุณหนูหลินพยายามช่วยท่านก็จริง แต่แผนนั้นไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะอย่างที่นางกล่าว นางไม่รู้จักท่านเ้าตระกูลดีนัก เขาเป็คนขี้เหงา ทั้งยังหัวแข็ง ไม่มีใครเกลี้ยกล่อมเขาได้แน่”
หลี่ฮูหยินกล่าวอย่างหมดแรง “แต่ก็ใช่ว่าทำไม่ได้ มันไม่มีวิธีดีๆ อื่นแล้วด้วย ท่านปู่เองก็เคยบอกข้าเื่นี้ แต่ตอนนั้นข้ายังเด็กและอารมณ์ร้อน จึงปฏิเสธเขาอย่างรุนแรง พอคิดย้อนไปแล้ว ตอนนั้นข้าไม่น่าทำเช่นนั้นเลย... เอาเถอะ ข้าจะลองปรึกษาเื่นี้กับท่านปู่อีกครั้งดู”
ไม่ว่าจะเป็ตระกูลไหนต่างก็มีปัญหาภายในที่ยากจะแก้ไขกันทั้งนั้น แม้แต่สกุลใหญ่ของเมืองชิงหยางอย่างหลี่ฮูหยินเองก็เช่นกัน
เมื่อหลินฟู่อินออกมาจากโรงหมอสกุลหลี่แล้ว นางจึงไปภัตตาคารหลิวจี้ต่อ
นางคิดมานานแล้ว หากเริ่มต้นจับมือกับภัตตาคารหลิวจี้ แม้จะไม่สามารถบีบภัตตาคารเยว่เค่อให้หลุดออกไปจากเมืองชิงหยางได้ แต่อย่างน้อยกิจการของภัตตาคารเยว่เค่อก็ต้องดิ่งลงเหวเป็แน่ และนี่ก็เป็สิ่งที่นางควรจะลงมือทำเอง เพียงสนับสนุนภัตตาคารหลิวจี้ต่อไปก็พอ
เมื่อคิดดูมันก็เป็เื่ง่ายๆ
แต่สุดท้าย หลินฟู่อินก็เป็เพียวชาวบ้านตัวจ้อยที่ไร้คนหนุนหลังและไร้อำนาจ ที่นางทำได้จึงมีเพียงการพยายามทำให้ภัตตาคารเย่วเค่อต้องพบความสูญเสียมหาศาลโดยไม่เคยนึกฝันว่ามันจะเป็ฝีมือนางเท่านั้น!
ในตอนที่หลินฟู่อินไปถึงภัตตาคารหลิวจี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ภัตตาคารหลิวจี้จึงอยู่ในสภาพเนืองแน่นไปด้วยภาพของลูกค้าที่กำลังสั่งอาหาร
ทันทีที่นางก้าวเข้าร้าน นางก็ได้ยินเสียงชายกลางคนที่แต่งตัวเหมือนพ่อค้า โดยสวมชุดที่ทำจากผ้าไหม กำลังะโ “ผู้ดูแล เหตุใดหลังๆ มานี้อาหารจึงเหมือนเดิมทุกวันไม่มีเปลี่ยนเลยเล่า กินแต่จานเดิมๆ ซ้ำกันทุกวันเช่นนี้พวกข้าก็เบื่อนะ!”
ทันทีที่เสียงนี้ดังก้องขึ้น เหล่าลูกค้าโต๊ะอื่นก็พากันบ่นตามเป็เสียงจอแจทันที
ผู้ดูแลรีบวิ่งออกมาดับไฟทันที แต่ไฟของความไม่พอใจกลับไม่ดับ เหล่าลูกค้าจึงพากันะโต่อ บ่นไม่หยุดว่าความหลากหลายของอาหารมันลดน้อยลงเรื่อยๆ
ผู้ดูแลของภัตตาคารหลิวจี้เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ลูกค้าเหล่านี้ต่างก็เป็ลูกค้าประจำที่จ่ายค่าอาหารเครื่องดื่มที่ภัตตาคารหลิวจี้เป็เงินปริมาณมหาศาลทุกปี พวกเขาล้วนเป็คนมีเงิน ทั้งยังคุยง่าย แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
ผู้ดูแลเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ หากทำให้ลูกค้าพอใจไม่ได้ เช่นนั้นแล้วต้นเงินต้นทองเหล่านี้คงได้หนีไปหาภัตตาคารเยว่เค่อหมดเป็แน่ เขาจะยอมให้เป็เช่นนั้นได้อย่างไร?
แล้วลูกค้ารายหนึ่งก็กล่าวออกมา “หากไม่ใช่เพราะภัตตาคารเยว่เค่อเอาแต่มั่นใจว่าภัตตาคารตัวเองมีชื่อเสียง แล้วให้อาหารมาเพียงอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จาแล้ว พวกข้าก็คงย้ายไปกินที่นั่นแทนนานแล้ว อย่างไรเสีย สุราที่นั่นก็เลิศรส!”
ก็จริง ภัตตาคารเยว่เค่อนั้นมีชื่อเสียง และมีสุรามากมายให้เลือก ต่างจากภัตตาคารหลิวจี้ที่มีแต่สุราท้องถิ่น ตัวที่มีชื่อหน่อยก็มีเก็บไว้น้อยอีก
กำไรจากการขายเครื่องดื่มเหล่านี้เองก็ใช่ว่าจะน้อย และไม่ใช่ว่าภัตตาคารหลิวจี้ไม่อยากขาย แต่มันหามาขายได้ยากต่างหาก!
เหล่าลูกค้าเริ่มส่งเสียงจอแจกันดังขึ้น พร้อมโทสะที่เริ่มปะทุ
ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่ต่างก็เป็พ่อค้าผู้ร่ำรวยและพร้อมจ่ายเพื่อให้ได้สินค้า แต่ตอนนี้พวกเขากลับหาซื้ออาหารดีๆ ไม่ได้เลย!
แต่ทางภัตตาคารเองก็ผิด เพราะทางตอนเหนือต่างจากทางใต้ มันมีทั้งสภาพแวดล้อมที่ดี อุณหภูมิที่เหมาะสมและวัตถุดิบมากมาย
เมื่อได้ยินเหล่าลูกค้าส่งเสียงไม่พอใจติดต่อกันเช่นนี้ ผู้ดูแลของภัตตาคารหลิวจี้จึงต้องพยายามปลอบเหล่าลูกค้าไม่หยุด
จะปล่อยให้คนเหล่านี้อารมณ์เสียต่อไปไม่ได้ เพราะอีกประเดี๋ยวก็เป็เวลามื้อเที่ยงจริงๆ แล้ว จะปล่อยให้เื่นี้มากระทบกับยอดขายในวันนี้ไม่ได้
เสี่ยวเอ้อร์ที่ได้เห็นภาพศึกนี้ก็หวาดกลัวจนพูดไม่ออก
หลินฟู่อินเดินเข้าประตูร้านมาแล้วเห็นเหล่าลูกน้องตัวจ้อยพากันหัวหดกันหมด นางจึงขมวดคิ้ว ดูท่าต้องยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว
นางจึงไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์สองคนมา แล้วกล่าว “พวกเ้ามัวทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบนำชาไปให้ลูกค้าอีก แล้วอย่าลืมกล่าวชมลูกค้าด้วย เข้าใจหรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นก็เป็คนฉลาด เมื่อได้ยินคำของหลินฟู่อินแล้วจึงรีบสั่งงานต่อๆ กัน “ได้ยินคำของคุณหนูหลินหรือไม่? รีบๆ ไปเสียสิ! แล้วหยอดคำน่าฟังไปด้วย อย่างพวก ่นี้ได้ยินว่ากิจการของท่านไปได้สวยนะขอรับ เพราะอย่างนั้นใจเย็นๆ แล้วรับชานี้ไปก่อน อะไรเช่นนั้น”
หลินฟู่อินเห็นว่าพวกเขามีหนทางกันแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย
เสี่ยวเอ้อร์หลายคนที่ดูมีหน่วยก้านก็ไปลงมือกันแล้ว หลินฟู่อินจึงจับตามองต่อ
เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งหันมามองหลินฟู่อิน เขาความจำดี จึงจำได้ว่าหลินฟู่อินคือคุณหนูหลินที่นำไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนมาขายให้ภัตตาคารพวกเขา
และเพราะไข่เ่าั้เอง ที่ทำให้ยอดขายของภัตตาคารในครึ่งปีหลังนี้ก้าวข้ามยอดขายเมื่อปีก่อนไปได้
ผู้ดูแลเองก็ดีใจมาก จนประเมินค่านางไว้สูง โดยเฉพาะคุณชายใหญ่ที่นับถือนางมากนัก
และตอนนี้เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้เองก็ให้ความเคารพหลินฟู่อินเป็อย่างมาก “คุณหนูหลิน ท่านมาพบผู้ดูแลหรือคุณชายใหญ่เพื่อเจรจาธุรกิจหรือ?”
การที่เขาจะคิดว่าหลินฟู่อินมาเพื่อเจรจาธุรกิจนั้นไม่น่าแปลกใจ เพราะเขาคิดเหตุผลอื่นที่นางมาไม่ออกแล้ว
เมื่อเห็นว่าเขาถามอย่างหวาดๆ หลินฟู่อินก็พอใจขึ้นมา “จะเป็ผู้ดูแลหรือคุณชายใหญ่ก็ได้ทั้งนั้น ช่วยไปแจ้งให้ข้าที”
เสี่ยวเอ้อร์ไม่เสียเวลา พยักหน้ารับทันที “คุณหนูหลินโปรดรอสักครู่ แล้วข้าจะกลับมา”
หลินฟู่อินพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองโถงที่เริ่มเงียบเสียงลงช้าๆ
เหล่าลูกค้าในร้านต่างก็กินอาหารกันด้วยรอยยิ้มเพราะคำหวานจากเหล่าเสี่ยวเอ้อร์แล้ว
โดยเฉพาะพ่อค้าคนต้นเื่ ใบหน้าเดือดดาลนั้นหายไปแล้ว เขาดื่มชาไปพลางหยอกล้อกับเสี่ยวเอ้อร์ไป “ฮ่าฮ่า เ้าปากหวานนัก ในเมื่อเ้ามีฝีปากยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่ว่าอะไรก็แล้วกัน”
เสี่ยวเอ้อร์เองก็มีไหวพริบ รีบยิ้มแล้วกล่าว “นายท่านมีสายตาของเทพแห่งเม็ดเงินจริงๆ หากมิใช่คนใจกว้างเช่นท่านแล้ว คงไม่มีใครมาทานที่ภัตตาคารของเราที่บริการไม่ดีนักแน่”
สิ่งใดที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจน่ะหรือ? ก็เงินน่ะสิ!
เมื่อได้ยินเสี่ยวเอ้อร์บอกว่าตนมีสายตาของเทพแห่งเม็ดเงินแล้ว พ่อค้าผู้นั้นก็ยิ่งดีใจขึ้นอีก ก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบพวงเงินออกมา “เ้านี่ยอดเยี่ยมนัก เอาเงินพวงนี้ไปเป็รางวัลเสีย”
เสี่ยวเอ้อร์ที่ได้เงินก้อนใหญ่โดยไม่คาดคิด ก็ได้แต่ยิ้มกว้างออกมา
เมื่อลูกค้าโต๊ะอื่นเห็นเสี่ยวเอ้อร์คนนี้ได้รางวัล ก็คิดว่าเสี่ยวเอ้อร์ที่ดูแลพวกตนอยู่ก็ไม่เลว จึงไม่ยอมน้อยหน้า แล้วพากันให้รางวัลเช่นกัน
มือเท้าของเหล่าเสี่ยวเอ้อร์พากันสั่นสะท้านไปด้วยความดีใจ ใบหน้าฉีกยิ้มกว้าง เป็ผลให้คนให้ยิ่งพอใจกันขึ้นไปอีก
ผู้ดูแลที่เครียดอยู่ในตอนแรกก็ผ่อนคลายลง
และเมื่อเขาหันมาเห็นหลินฟู่อิน เขาก็รีบเข้ามาทักทายนางทันที “คุณหนูหลินก็มาด้วยหรือ ต้องให้ท่านได้เห็นภาพไม่น่าดูเสียแล้ว”
เขาไม่รู้ว่าเป็หลินฟู่อินเองที่ช่วยจัดการสถานการณ์ให้ จนเกิดบรรยากาศดีๆ เช่นตอนนี้
และก็เริ่มมีลูกค้าใหม่เดินเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ หลินฟู่อินจึงกล่าว “ท่านผู้ดูแลไม่ต้องใส่ใจ ข้าขอให้คนไปแจ้งเถ้าแก่แล้ว”
ผู้ดูแลเองก็เห็นว่ามีลูกค้าใหม่เข้าร้านมาเพิ่มพอดี แต่ความหม่นหมองในสีหน้าก็ยังไม่จางหายไปจนหมด หลินฟู่อินเดาได้ว่าเขากังวลเื่อะไรอยู่
เพราะที่นางมาภัตตาคารหลิวจี้ในวันนี้ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน จากนั้นไม่นาน เสี่ยวเอ้อร์คนที่ไปแจ้งเื่การมาของหลินฟู่อินก็กลับลงมา แล้วกล่าวกับหลินฟู่อินอย่างเคารพ “คุณหนูหลิน เถ้าแก่และคุณชายใหญ่พร้อมแล้วขอรับ จึงเชิญให้ท่านขึ้นไปพูดคุยกันที่ชั้นบน เชิญคุณหนูทางนี้!”
เมื่อหลินฟู่อินขึ้นไปถึงชั้นสอง ก็ได้พบเถ้าแก่หลิวผู้เป็เ้าของภัตตาคารและหลิวฉินผู้เป็คุณชายใหญ่ที่นั่งรอนางอยู่
หากเป็เมื่อก่อน ไม่ว่าเถ้าแก่หลินจะใจกว้างเพียงใด เขาก็ไม่มีทางทำท่าทีสุภาพและจริงจังขนาดนี้ในการพบเด็กสาวคนหนึ่งแน่
แต่เ้าลูกชายที่ยืนด้วยลำแข้งตัวเองไม่ได้เสียทีของเขาเอาแต่กรอกหูเขาอยู่นั่นว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดา
เมื่อรวมกับความคิดและแผนการต่างๆ ที่หลินฟู่อินบอกกับหลิวฉิน ที่หลิวฉินนำมาบอกต่อแก่เขาแล้ว เขาจึงเผลอประเมินค่านางสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
การที่นางมาวันนี้ก็แปลว่านางมีข้อเสนออะไรอยู่ เขาจึงค่อนข้างตั้งตารอมาก
หลินฟู่อินเข้าพบกับคู่พ่อลูก หลังทักทายกันพอเป็พิธีแล้ว เถ้าแก่หลิวก็ะโเรียกให้คนนำชาและขนมมาให้ ก่อนเชิญให้นางทานอย่างสุภาพ
ใช่ การเจรจามันต้องเป็เช่นนี้ละ
ทำงานกับคนฉลาดนี่มันง่ายจริงๆ
เถ้าแก่หลิวนั่งพินิจหลินฟู่อินอย่างถี่ถ้วน เขารู้ว่านางมาวันนี้เพราะมีเื่อยากคุย และถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันเป็เื่อะไร แต่เขาก็ตั้งตารออย่างมาก
และแน่นอนว่าหลินฟู่อินเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน และเสี่ยวเอ้อร์ที่นำขนมขึ้นมาก็เป็คนเดิมกับที่ขึ้นมารายงานเื่การมาของนางเมื่อครู่ เถ้าแก่หลิวจึงถามเขาว่าข้างล่างโหวกเหวกอะไรกัน
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้เล่าเื่ที่เกิดขึ้นที่ชั้นหนึ่งพร้อมสาเหตุ และเมื่อเถ้าแก่ตั้งท่าจะลงไปแก้ปัญหา เสี่ยวเอ้อร์จึงบอกว่าคุณหนูหลินที่อยู่ตรงนี้สอนวิธีรับมือให้กับพวกเขาแล้ว
ตอนนี้สถานการณ์จึงดีขึ้นแล้ว เพียงเงี่ยหูฟังเสียงหัวเราะและเสียงคนทานอาหารดู ก็รู้ได้ทันทีว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว
เถ้าแก่หลิวได้ยินแล้วจึงหยุดลงทันที เด็กคนนี้ฝีมือร้ายกาจนัก หากมีใจรู้จักการทำธุรกิจขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องกลัวอีกว่าธุรกิจจะไปได้ไม่สวย?
ในใจของเถ้าแก่หลิวประเมินค่าหลินฟู่อินสูงขึ้นไปอีกขั้น
ทั้งเถ้าแก่หลิวและหลิวฉินต่างก็คิดเช่นเดียวกันว่าอยากร่วมงานกับหลินฟู่อินต่อ ยิ่งนางเติบใหญ่มากเท่าไร ชีวิตของพวกเขาก็จะยิ่งดีขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีวิสัยทัศน์ที่ดีเลิศ!
ไม่แน่ว่าในอนาคต สกุลหลิวของพวกเขาอาจจะสามารถยกสถานะขึ้นไปสู่ระดับถัดไปได้จริงๆ ก็เป็ได้!
หลินฟู่อินที่มิอาจล่วงรู้ถึงความคิดของพวกเขาก็ปล่อยให้พวกเขามองพินิจนางต่อไป
นางเป็ผู้มาเยือนในการพูดคุยครั้งนี้ ดังนั้นต้องทำตัวให้โปร่งใสเข้าไว้
นางเรียบเรียงคำพูด ยกชาขึ้นจิบ แล้วจึงยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวกับเถ้าแก่หลิว “ตอนที่ฟู่อินมาถึงเมื่อครู่ ข้าได้ยินเหล่าลูกค้าส่งเสียงบ่นกันว่าอาหารไม่ค่อยมีความหลากหลาย ดังนั้นข้าต้องขออนุญาตถามลุงหลิว เสียงบ่นเช่นนี้มิได้เพิ่งเกิดเมื่อวันสองวันนี้ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
นางจงใจเรียกเขาว่าลุงหลิว เพื่อแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจและย้ำถึงความสนิทสนม
เถ้าแก่หลิวและหลิวฉินได้ยินก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ฟู่อินคาดเดาได้ถูกต้อง! ร้านเราได้รับเสียงบ่นเช่นนั้นมากว่าสิบวันแล้ว ใช่หรือไม่?” เถ้าแก่หลิวส่งสายตาให้บุตรชายพลางกล่าวด้วยท่าทีเจือความไม่มั่นใจเล็กน้อย
หลิวฉินพยักหน้ารับ “ก็มีมาเกือบตลอดเดือน เริ่มมาั้แ่ต้นฤดูใบไม้ร่วง และเสียงบ่นเช่นนั้นก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ” จากนั้นจึงหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ที่เจอปัญหานี้ก็มิได้มีแค่พวกข้า เพราะภัตตาคารในเมืองต่างก็ถูกบ่นเช่นนี้เหมือนกันหมด”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหม่อะไร ปีก่อนเรายิ่งโดนกันหนักกว่านี้อีก ปีนี้อย่างน้อยเราก็มีจานใหม่อย่างน้อยสองจานมาช่วยเสริม ทั้งไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสน จึงยังดีกว่าปีที่แล้ว ทั้งเรายังได้ยอดขายดีกว่าภัตตาคารเยว่เค่อด้วย!” เถ้าแก่หลิวกล่าว
นี่ไม่ได้กล่าวเพื่อเอาใจหลินฟู่อิน เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็มีสองจานใหม่นี้มาช่วยสงบอารมณ์ลูกค้าบ้าง ทั้งยังเป็จานที่ลูกค้าชอบมากอีกด้วย
“แต่ก็นั่นละ จะพึ่งแค่สองจานนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้” หลิวฉินเกาศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่แล้วเขาก็พลันหันหน้ามามองหลินฟู่อิน
เดี๋ยวนะ เด็กสาวผู้นี้มาที่ภัตตาคารหลิวจี้ในวันนี้ ทั้งยังถามถึงเื่นี้ หรือว่า...
“ฟู่อิน ในเมื่อเ้ามาถามเื่นี้ ก็แปลว่าเ้ามีวิธีที่จะช่วยให้พวกข้าผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างนั้นหรือ?” หลิวฉินถามอย่างมีความหวัง
หลินฟู่อินมองเขาพลางคิด คนผู้นี้หัวไวจริงๆ ถึงรู้สึกตัวได้เร็วเช่นนี้
แต่มันก็เป็ความหัวไวนี้เองมิใช่หรือที่ทำให้นางอยากร่วมงานกับเขา?
เมื่อเถ้าแก่ได้ยินที่บุตรของตนกล่าวแล้ว เขาจึงตวัดสายตาไปมองหน้าหลินฟู่อิน หากเป็เช่นนั้นจริง ก็แปลว่าเทพแห่งความมั่งคั่งได้มาเยือนภัตตาคารหลิวจี้ของพวกเขาแล้ว!
แต่เดิมก็เป็เพราะไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนที่ซื้อมาจากหลินฟู่อิน ที่ทำให้ยอดขายในเดือนนี้สูงกว่า่เดียวกันของปีที่แล้วถึงสามเท่า
หากนางช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ให้ได้อีก เขาก็จะตบอั่งเปาซองโตให้นางแน่!
นอกจากนี้ เขายังรู้สึกมั่นใจในตัวหลินฟู่อินอย่างบอกไม่ถูก แม้เด็กคนนี้จะมิได้ดูโดดเด่น แต่คำพูดและการกระทำของนางกลับไม่เคยผิดพลาด!
เถ้าแก่หลิวตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงมีท่าทีสุภาพกับหลินฟู่อินมากยิ่งขึ้น “ฟู่อิน หากเ้ามีความคิดดีๆ ก็บอกลุงมาเถอะ! แล้วข้าจะมอบอั่งเปาให้อย่างงามเลย!”
เมื่อเห็นสัญญาให้รางวัลเช่นนี้ หลินฟู่อินจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วกล่าวออกมาตรงๆ “ข้ามิได้ทำเพื่อรางวัลเ้าค่ะท่านลุง แต่ที่จริงแล้ว พี่หลิวฉินนั้นสนใจจะร่วมธุรกิจกับฟู่อิน และในตอนที่เขามาเยือนหมู่บ้านหูลู่เมื่อคราวก่อน เขาก็ได้พูดถึงความกังวลเกี่ยวกับกิจการของภัตตาคาร ข้าจึงเพียงพยายามคิดหาทางช่วยเท่านั้น...”
นี่เป็ความจริงเพียงกึ่งหนึ่ง เพราะจะให้นางกล่าวไปตรงๆ ว่าข้าอยากสนับสนุนพวกท่าน เพื่อใช้พวกท่านไปถล่มภัตตาคารเยว่เค่อก็คงไม่ดี จริงหรือไม่เล่า?
และการคิดจะใช้ประโยชน์จากพวกเขา หลินฟู่อินก็มิได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะนางรู้ว่าเถ้าแก่หลิวก็อยากให้ภัตตาคารนี้เติบโตขึ้นเช่นกัน
เช่นนั้นแล้วนางก็พร้อมมอบโอกาสนั้นให้เขา และนางเชื่อว่าเขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือแน่ เพื่อชนะภัตตาคารเยว่เค่อ ขอเพียงเขาทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา แม้ภัตตาคารเยว่เค่อจะอยากเตะตัดขาพวกเขาเพียงใดก็ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ แน่
“ฟู่อินช่างมีความคิดที่หาได้ยากนัก เช่นนั้นแล้วลุงก็สบายใจเื่แนวร่วมธุรกิจของเ้ากับหลิวฉิน” ในตอนนี้เถ้าแก่หลิวได้วางใจอย่างเต็มที่แล้ว จากที่ก่อนหน้ายังคงมีความกังวลในใจว่าดูไปแล้วไม่น่าจะปลอดภัยนัก หลิวฉินกับหลินฟู่อิน เด็กสองคนนี้รวมกันอายุเพียงสามสิบกว่า จะทำอะไรได้กัน?
แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาห่วงที่สุดก็ยังเป็ภัตตาคารของเขาเอง “ฟู่อิน เ้าหาทางออกได้หรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้