หลิวจื้อเซิ่งจําได้ว่าก่อนหน้านี้ที่หลิวฉีซื่อสั่งให้หลิวเต้าเซียงไปซื้อเนื้อก็เช่นกัน เพียงแค่เงินไม่กี่สิบอีแปะ ก็รั้นจะทำให้วุ่นวายจนทุกคนรับรู้ เขาเริ่มกระวนกระวาย ท่านย่าแท้ๆ ผู้นี้ช่างต่างจากท่านย่าที่ท่านพ่อกับท่านแม่ได้เคยกล่าวถึง
เขาคิดไม่ถึงว่าหลิวฉีซื่อจะหยาบโลนและไม่เห็นถึงส่วนรวมเช่นนี้!
“ยากเย็นจริง ดังนั้น เฉี่ยวเอ๋อร์ เราต้องโน้มน้าวให้ท่านย่าไปที่จังหวัดให้ได้”
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์คิดว่าวิธีนี้ไม่เลว ที่บ้านนอกเกิดเื่มากมายเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงก็มีมาก อีกทั้งท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ห่างไกลเกินไป แน่นอนว่าผลประโยชน์ก็ได้รับน้อยลง บุตรชายในตระกูลหลิวคนอื่นๆ ก็ไม่อยู่ในขอบเขตตนเอง และต่างก็อยากแตะต้องกิจการที่ครอบครัวของนางควรจะได้รับสืบทอดต่อ
“ข้าคิดว่าท่านย่าน่าจะไป”
“เพราะเหตุใด?”
“ท่านพี่ก็ลองนึกถึงท่านแม่สิ!”
หลิวจื้อเซิ่งจึงยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายและได้ใจ เป็รอยยิ้มที่กุมชัยชนะไว้
“เฉี่ยวเอ๋อร์ เื่นี้ยกให้เ้าไปจัดการ ข้านั้นไม่สะดวกที่จะเอ่ยปาก”
“เข้าใจแล้ว วันรุ่งขึ้นข้าจะใช้คำพูดเป็ห่วงเป็ใยกับท่านย่าเอง”
คำพูดเป็ห่วงเป็ใยคือเื่อะไรนั้นหรือ?
แน่นอนก็ต้องเป็เื่การพาหลิวเสี่ยวหลันไปเปิดหูเปิดตา
ในจังหวัดมีจวนตระกูลหวง มีตระกูลชนชั้นสูง
ส่วนหมู่บ้านสามสิบลี้มีผืนนา และมีแต่พวกเท้าเปื้อนโคลน!
สองวันต่อมา ในรุ่งเช้าที่เต็มไปด้วยน้ำค้างปกคลุม ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงยืนโบกมืออยู่หน้าประตูบ้าน ส่งหลิวฉีซื่อและคนอื่นๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่วัน สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงก็มีหลิวซานกุ้ยพาไปยังหมู่บ้านห้าสิบลี้ ไปยังบ้านมารดาของจางกุ้ยฮัว
หลิวซานกุ้ยอาศัยจังหวะที่มารดาของตนเดินทางไกล เขาได้เกริ่นกับหลิวต้าฟู่อย่างชาญฉลาด โดยแสดงท่าทีว่าหลายปีมานี้ไม่เคยได้ตอบแทนบุญคุณแม่ยายของตนมาก่อน และ้าให้ลูกๆ ไปเที่ยวเล่น จึงบอกเล่าเื่ที่เฉินซื่อใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านห้าสิบลี้โดยลำพังอย่างน่าสงสารจับจิต จนหลิวต้าฟู่เองก็หวั่นไหว
พอเป็เช่นนี้จึงต้องปล่อยให้เป็ไปตามนั้น
สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงไปอาศัยอยู่ที่นั่นเป็เวลาครึ่งเดือน ถัดจากนั้นจางกุ้ยฮัวก็พาหลิวชุนเซียงไปพักอีกครึ่งเดือน ประจวบเหมาะกับกัวซิวฝานมีธุระต้องออกบ้านไปหลายวัน
หลิวซานกุ้ยไปพักค้างคืนที่บ้านแม่ยายอย่างถูกต้องเปิดเผยหลายวัน ช่วยนางซ่อมรั้วไม้ไผ่ให้เป็ระเบียบ แล้วเปลี่ยนหลังคาหญ้าฟางที่เก่าและทรุดโทรมให้ใหม่ทั้งหมด
ไม่ง่ายกว่าจะมีเวลาพักผ่อน หลิวซานกุ้ยไม่ได้ละทิ้งคุณธรรมอันสูงส่งของตนเองเพียงเพราะได้เล่าเรียนแล้ว เขายังคงอ่อนน้อมถ่อมตน
เนื่องด้วยงานเกษตรค่อนข้างว่าง อีกทั้งที่บ้านก็มีคนทำกับข้าวและทำงานบ้าน หลิวต้าฟู่เองก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับหลิวฉีซื่อที่อาละวาดตลอดเวลา ทันใดนั้นเขาก็พบว่าวันเวลาเช่นนี้ช่างผ่อนคลายและสุขใจยิ่งนัก
เขาถูกหลิวฉีซื่อเหยียบย่ำมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต จู่ๆ ก็คิดว่าหากหลิวฉีซื่อไม่กลับมาคงเป็เื่น่ายินดีเพียงใด
ใน่ที่หลิวฉีซื่อไม่อยู่ เขาแทบจะไม่เคยคิดถึงนางเลย
หลิวเต้าเซียงเป็เด็กประพฤติตัวดี หลิวต้าฟู่ไม่ได้เป็คนดูแลบัญชี จึงเอาเงินไม่กี่อีแปะให้หลิวเต้าเซียงไปซื้อสุรามา และนางก็มักจะจ่ายเพิ่มเล็กน้อยเพื่อเอากลับมาเพิ่มอีกหนึ่งเท่า กระนั้นชีวิตของหลิวต้าฟู่จึงสุขสบายกว่าเดิม
มื้ออาหารมีทั้งปลาและไข่ทุกวัน!
วันเวลาที่สงบสุข ไม่ขาดแคลนอาหารการกิน นี่คือสิ่งที่เขา้าที่สุด
เขานึกเสียดายกับวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ไปสวน วันๆ เอาแต่คาบปล้องยาสูบทองแดงเก้าเดินวนเวียนอยู่ในหมู่บ้าน พอเหนื่อยก็จะนั่งงีบตรงเก้าอี้หินใต้ต้นไม้หน้าหมู่บ้าน
ในปลายฤดูใบไม้ร่วง นาข้าวส่งกลิ่นหอม ขณะที่เด็กเลี้ยงแกะเดินเลียบถนนในหมู่บ้าน
วันนี้หลิวเต้าเซียงปากหวานเป็พิเศษ เมื่อพบปะผู้คนก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“นี่ ผมว่าเซียงเซียง คุณเลิกยิ้มเสียทีได้ไหมครับ?” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดรับไม่ได้แล้วจริงๆ
“นายควรจะมีความสุขมากกว่าฉันไม่ใช่หรือ?” นางถามมันกลับ
ถูกต้อง ในวันนี้หลิวเต้าเซียงได้ส่งมอบแม่ไก่อีกสามร้อยตัว จากนั้นสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดก็หายไปครึ่งชั่วยามแล้วกลับมา พร้อมกับข่าวที่น่าตื่นเต้น
พื้นที่เพาะเลี้ยงของหลิวเต้าเซียงมีความก้าวหน้าอีกก้าวใหญ่ ตอนนี้นางมีพื้นที่เพาะเลี้ยงเป็จำนวนสี่ไร่แล้ว
สี่ไร่ หมายความว่านางสามารถขายไข่ได้เงินห้าสิบสองตำลึง
แินี้คืออะไรนั้นหรือ?
แม้ว่าจะมีไข่มากขึ้น แต่ช่องทางการจำหน่ายยังเป็ปัญหา ก่อนที่จะคิดหาทางออกได้ หลิวเต้าเซียงตั้งใจจะเก็บไว้ในห้วงมิติที่เวลาหยุดนิ่งก่อน
นางยังไม่ได้มีเวลาหาคำตอบว่าเหตุใดเวลาจึงหยุดนิ่ง เพราะรู้สึกว่านี่เป็การสิ้นเปลืองเงินทอง เพราะเวลาก็คือเงินทอง
เงินออมของนางน่าจะมีหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึงเศษแล้ว
นางใช้นิ้วคำนวณ หากพยายามอีกสองเดือน นางก็จะมีเงินสองร้อยกว่าตำลึง
ในสถานที่กันดารเช่นนี้ นับว่ามีเงินจำนวนไม่น้อยแล้ว
ขณะที่นางกำลังคิดว่าจะจัดการกับไข่ไก่จำนวนมากเช่นนี้อย่างไรดี เสียงร้องมอๆ ของวัวก็ดังขัดจังหวะความคิด เดิมทีนางที่หงุดหงิดอยู่แล้ว เมื่อเห็นคนที่ลงจากเกวียนวัว อารมณ์ก็แย่ยิ่งนัก
“ท่านย่า อาเล็ก!”
หลิวฉีซื่อไม่ได้มองตามเสียงของนางแม้แต่น้อย เพียงแต่หันะโเข้าไปในเกวียนวัว “ชุ่ยหลิว ลงรถ!”
นางเชิดคางขึ้นแล้วกวาดตามองชาวบ้านด้วยหางตา เห็นได้ชัดว่านางกำลังโอ้อวด!
เพียงแต่ในใจก็มีความไม่นิ่งนอนใจ ไม่รู้ว่าความกังวลนี้มาจากไหน?
หลิวฉีซื่อไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงคิดว่าการได้คนมาโดยเปล่าๆ ประหยัดเงินไปสิบตำลึง
ม่านรถถูกเลิกขึ้นอีกครั้ง สตรีผู้มีใบหน้างดงามดุจดอกซากุระเดือนสามเผยออกมา!
นางก้มตัวและค่อยๆ เดินลงจากเกวียนวัว ท่วงท่าที่อ่อนหวานนั้นบดบังรัศมีของหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันจนหมดสิ้น
หลิวเต้าเซียงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
ดวงตาสดใสคู่นั้นจดจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้าที่กำลังเดินมา ชุดกระโปรงสีสาหร่ายเขียวอ่อน คลุมด้วยผ้าคลุมลายต้นหลิวและเมฆ อายุราวสิบห้าถึงสิบหกปี
ทันใดนั้น นางก็เข้าใจว่าเหตุใดสตรีนางนี้ถึงชื่อชุ่ยหลิว
คิ้วเหมือนต้นหลิวในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาดุจสายฝนและเมฆหมอกที่สร้างความอิจฉาแก่ผู้อื่น ท่วงท่าการก้าวย่างดุจดอกบัว สร้างความชื่นชอบแก่ผู้พบเห็น
นางสูดลมหายใจที่เย็นเยือก ั์ตาที่ใสบริสุทธิ์เผยความสงสัยเล็กน้อย
“นี่คือบ้านของเ้าต่อจากนี้ไป อย่าได้เกรงกลัว หากมีความ้าอะไรก็เรียกใช้สองพี่น้องเต้าเซียง ลืมบอกไปว่า พี่สาวของนางคือชิวเซียง”
เดิมทีชื่อชุ่ยหลิวนั้นมีความเป็บทกวี แต่พอออกจากปากของหลิวฉีซื่อ กลับกลายเป็ชื่อของสาวรับใช้ที่มีอยู่ทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาของชุ่ยหลิวเผยแววประหลาดใจ
นางตอบอย่างเชื่อฟังแล้วจึงเดินช้าๆ ไปหาหลิวเต้าเซียง เมื่อก้มศีรษะเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของสาวน้อยก็เอ่ยเสียงหวาน “น้องเต้าเซียง ได้ยินฮูหยินชมเชยเ้าบ่อยครั้ง บอกว่าเ้าคือเด็กที่ขยันหมั่นเพียร”
ด้วยรอยยิ้มของนาง ฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็น ทันใดนั้นก็เหมือนมีดอกไม้บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ
ความคลางแคลงใจของหลิวเต้าเซียงยิ่งทวีมากขึ้น เข้มข้นยิ่งกว่าความหนาวเหน็บกลางฤดูใบไม้ร่วง
“ท่านคือ?”
“ข้าชื่อชุ่ยหลิว เ้าเรียกข้าว่าพี่สาวก็ได้” ดูท่าทางแล้วนางจะคุยด้วยง่าย
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พอคิดอย่างละเอียด ใช่แล้ว นางไม่เห็นความสนิทสนมผ่านสายตาของชุ่ยหลิว แม้ว่ารอยยิ้มของนางจะสร้างความตราตรึงอย่างชัดเจนก็ตาม
นางไม่ใช่ผู้ชาย และไม่ได้หลงใหลชุ่ยหลิวที่มีความสดใสร่าเริง
นางจึงหันศีรษะมองไปทางหลิวฉีซื่อ เผยความไม่กระจ่างผ่านสายตาให้หลิวฉีซื่อได้เห็นตรงๆ
“ต่อไปชุ่ยหลิวจะเป็คนในครอบครัวเรา เรียกนางว่าท่านน้า!”
ท่านน้า?
ญาติทางฝั่งครอบครัวมารดาของหลิวฉีซื่อหรือ?
หลิวเต้าเซียงพินิจดูคนมาใหม่ั้แ่หัวจรดเท้า แต่หาความคล้ายหลิวฉีซื่อไม่ได้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม นางเป็คนหลักแหลม การมาของหญิงสาวคนนี้ชัดเจนว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวฝั่งของนาง
“นางตัวดี ยังยืนโง่อยู่อีก รีบไปรินน้ำชาร้อนมาให้ข้าเร็ว หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว” หลิวเสี่ยวหลันไม่พอใจที่มีคนแย่งความโดดเด่นไป โดยเฉพาะการที่ชุ่ยหลิวปรากฏตัวก็กลายเป็ศูนย์รวมความสนใจ
หลิวเต้าเซียงไม่ได้พูดอะไรมากแล้วหันหลังเดินไปที่ห้องครัว
ตอนนี้น้ำร้อนจำต้องต้ม นางจึงก่อไฟในห้องครัว จากนั้นล้างหม้อให้สะอาด แล้วตักน้ำใส่ลงไปสองขัน ก่อนจะเริ่มนั่งเหม่ออยู่ข้างเตา
ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มหนาวเย็น ความอบอุ่นเวลานั่งหน้าเตาไฟทำให้รู้สึกอบอุ่นสบายเข้าไปถึงในกระดูก
ควันสีขาวโชยขึ้นมาจากหม้อ พร้อมด้วยเสียงเดือดปุดๆ ดังขึ้นตามหลัง
ชุ่ยหลิวเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “หลานเต้าเซียง น้ำเดือดแล้ว”
หลิวเต้าเซียงเงียบ ก่อนหน้านี้ยังให้นางเรียกน้าอยู่เลย พอตอนนี้กลับทำสนิทสนมขึ้นมาเสียเอง
“พี่ชุ่ยหลิว พี่ชุ่ยหลิว รีบมานั่งพักก่อน เื่เล็กแค่นี้ให้เต้าเซียงทำไปเถอะ!”
หลิวเสี่ยวหลันะโมาจากห้องทิศตะวันออกอย่างสนิทสนม
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมองนาง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้เพียงแค่ชั่วระยะเวลาอันสั้นก็ทำให้หลิวเสี่ยวหลันกลายเป็คนว่าง่ายได้ทันที
“แม่นาง ไม่เป็ไร เ้ากับฮูหยินนั่งพักกันก่อน ข้าจะยกน้ำชาร้อนไปให้พวกเ้า”
ดูเหมือนว่าชุ่ยหลิวจะมีทักษะในเื่นี้มาก นางหยิบกระเป๋าผ้าที่เย็บปักอย่างประณีต แล้วจับใบชาออกมาใส่ในถ้วยชาสองใบบนเตาดิน ก่อนจะถามหาขันน้ำที่สะอาดจากหลิวเต้าเซียง จากนั้นก็ตักน้ำใส่ถ้วยชาอย่างคล่องแคล่ว ปากก็พึมพำว่าหากมีกาน้ำชาทองแดงปากัคงดี
หลิวเต้าเซียงต้มน้ำ สะบัดก้นเล็กๆ สองทีแล้วออกจากห้องครัวเพื่อไปดูหลิวชุนเซียงที่ห้องปีกตะวันตก เด็กน้อยอายุเจ็ดเดือน วันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่พยายามพลิกตัว สิ่งที่นางชอบทำเป็ที่สุดคือการพลิกตัวจากขอบคั่งอีกฝั่งไปยังฝั่งตรงข้าม
เนื่องจากนางต้องก่อไฟต้มน้ำ จึงเสียเวลาไปนาน
เมื่อนึกถึงเช่นนี้ นางก็เร่งฝีเท้าเดินกลับห้องปีกตะวันตก จางกุ้ยฮัวกับหลิวชุนเซียงกลับมาถึงบ้านได้ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด กลับมาได้เพียงสองวัน หลิวฉีซื่อต้องกลับมาถึงบ้านวันนี้พอดี
หลิวชุนเซียงเพิ่งทำเื่ดีอีกแล้วคือปัสสาวะออกมา นางจึงเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลิวชุนเซียงอย่างเชี่ยวชาญ
หลิวชิวเซียงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่งงงวย “น้องรอง บ้านเรามีแขกหรือ?”
ที่เป็เช่นนี้เพราะมีพี่สาวรูปงามที่ดูคุ้นเคยกับคนในครอบครัวยิ่งนักอยู่ในบ้าน
“แขกหรือ? ไม่ใช่ ท่านย่าบอกว่าต่อไปน้าชุ่ยหลิวจะอยู่ที่บ้านเรา”
“หา?” หลิวชิวเซียงพลันเข้าใจในขณะเดียวกันว่า ที่เมื่อครู่หญิงสาวคนนั้นเรียกตนเองว่าหลานสาวนั้นไม่ได้ฟังผิดไป
“คนผู้นั้นชื่อชุ่ยหลิว ชื่อฟังดูเหมือนเด็กรับใช้ ท่านย่าไม่ได้บอกหรือว่านางแซ่อะไร” หลิวชิวเซียงเอ่ยถาม
หลิวเต้าเซียงไม่ได้ตอบอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดดูแล้วจึงเอ่ย “ท่านพี่ เรารอดูไปก่อนเถิด”
“อืม!” เสียงของหลิวชิวเซียงฟังดูไม่สดชื่นนัก
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมองนาง “มีอะไรผิดปกติหรือ?”
หลิวชิวเซียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “เมื่อครู่นางบอกให้ข้าไปทำอาหาร”
“ข้าไม่รู้ว่านางเป็ใคร แต่ข้ารู้ว่านางไม่ได้แซ่หลิว อย่าไปสนใจนาง หิวแล้วทำเองไม่เป็หรือ” หลิวเต้าเซียงมีเงินอยู่ในมือมากขึ้น ก็ยิ่งไม่อยากสนใจคนเ่าั้ แน่นอนว่า ไม่อยากฟังคำสั่งใช้งานจากคนเ่าั้ด้วย
ด้วยความสามารถของนางในตอนนี้ จึงไม่ได้สนใจที่ดินเล็กน้อยในมือของหลิวฉีซื่อแม้แต่น้อย
ถูกต้อง ตอนนี้ทรัพย์สินของหลิวเต้าเซียงนับว่าใช้ได้ บ้านเอ้อร์จิ้นย่วนที่มีมูลค่าสามร้อยตำลึงเศษ แล้วในมือยังมีเงินอีกหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง
“น่าเสียดายที่เรายังไม่ได้แยกบ้านกัน”
หลิวชิวเซียงยิ้ม “นั่นสิ ครอบครัวเราตั้งตารอที่จะแยกบ้าน ไม่ต้องเอ่ยถึงคนรอบข้าง ด้วยความสามารถของข้าเองก็สามารถเลี้ยงดูพวกเ้าได้” ในเวลานี้นางรู้สึกภูมิใจยิ่งนัก
หลิวเต้าเซียงมองไปที่พี่สาวที่กำลังยิ้มอย่างมั่นใจ จู่ๆ นางก็นึกถึงดอกไม้บานยามฤดูใบไม้ผลิและน้ำค้างรุ่งอรุณที่เกาะบนยอดหญ้า ดูธรรมดา บอบบาง แต่เด็ดเดี่ยวและมั่นใจ
“พี่สาวของข้านับวันก็ยิ่งสวยขึ้น!”
“ปากหวานเชียวนะ” แม้ว่าหลิวชิวเซียงจะไม่ได้เข้าใจความหมายของหลิวเต้าเซียงทั้งหมด แต่นางก็มีความสุขและหยิกแก้มน้อยๆ ของน้องสาวด้วยความหมั่นเขี้ยว
ทำเอาหลิวเต้าเซียงร้องจ๊ากและหลบหนีไป
-----
