เล่มที่ 4 บทที่ 110
ทั้งคู่ก้มหน้าลงยอมรับความผิดพลาด หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้รู้สึกตัวอีกหน นางวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะด้วยมือสั่นเทา และแทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอ “คำพูดนี้ ฉิงเอ๋อร์สอนเ้าหรือ?”
“ใช่ สอนในวัด ่สองวันที่ผ่านมา น้องหญิงสอนหลานเกี่ยวกับการเป็มนุษย์มากมาย แม้ว่าหลานชายจะไม่เข้าใจเหตุผลในนั้น แต่น้องหญิงบอกแล้วว่า ไม่กลัวไม่เข้าใจแต่กลัวไม่รู้ ถ้าหลานอยากจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจ ถ้า้าทำให้ท่านแม่และท่านพ่ออุ่นใจ จำต้องเรียนรู้จากพื้นฐาน” คำพูดเ่าั้ช่างเอ่ยได้ลำบาก เขาไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำที่เขาพูด แต่น้องหญิงสอนเขาเป็เวลานาน และยังบอกด้วยว่า ถ้าไม่พูดให้ดี วันข้างหน้าจะไม่พาเขาไปเก็บผลไม้อีกต่อไปแล้ว
เฉินเทียนหยูเศร้ามากเนื่องจากผลไม้เ่าั้ช่างน่าดึงดูดใจ ยามได้เห็นผลไม้จำนวนมากแขวนอยู่บนต้นไม้ เขาคิดว่าตนเองคงเป็คนที่มีความสุขที่สุดในโลก แต่คำพูดเ่าั้ช่างเอ่ยออกไปได้ยากเย็นนัก และเขาก็ไม่อยากท่องเลยจริงๆ แต่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น น้องหญิงพูดแล้วว่า ถ้าเขาไม่ท่อง วันข้างหน้าเขาทำได้แค่ขอผลไม้จากจ้าวจื่อซิน...
เฉินเทียนหยูก้มศีรษะลงด้วยความเศร้าเสียใจ แต่ในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ากลับมีแสงประกายคล้ายหินผลึก ยามได้มองดูทั้งสองคนคุกเข่าอยู่บนพื้นเป็เวลานาน ในที่สุดความตื่นเต้นก็สงบลง จากนั้นนางได้ถามว่า “ในสองวันที่ผ่านมา เ้ากินอะไรหรือ?”
“หมูหัน” เฉินเทียนหยูกำลังเศร้าเสียใจ เมื่อได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า เขาจึงโพล่งตอบโดยไม่ได้คิดอะไร ทว่าฉับพลันนั้นเขาตระหนักได้ว่าน้องหญิงไม่ได้สั่งกำชับเกี่ยวกับคำถามดังกล่าว เขาหันไปมองมู่หรงฉิงอย่างวิตกกังวลใจโดยกลัวว่า ตนเองจะพูดอะไรผิดจนเป็สาเหตุให้น้องหญิงหงุดหงิด และวันข้างหน้าจะไม่ได้เห็นผลไม้มากมายถึงเพียงนั้นอีกแล้ว
เฉินเทียนหยูหันไปมอง และเห็นว่ามู่หรงฉิงมองเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตนเองผิดตรงไหน? แต่สีหน้าเช่นนั้นของมู่หรงฉิง เขาย่อมตระหนักแล้วว่าตนเองได้พูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมควร
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสีหน้าของทั้งสองคน นางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ถ้าผู้หญิงคนนี้สามารถคำนวณทุกอย่างได้จริงๆ นั่นจะทำให้นางยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น แต่มู่หรงฉิงก็แค่ทำผิดและกลัวว่าตนเองจะไม่เป็ที่ชื่นชอบ นางจึงสอนหยูเอ๋อร์ให้พูดคำเ่าั้ คิดว่าในสองวันที่ผ่านมาขณะอยู่ในวัดคงไม่ได้ทำอย่างอื่น นอกจากสอนคำพูดให้หยูเอ๋อร์โดยเฉพาะกระมัง?
ฮูหยินผู้เฒ่าพลอยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เห็นปฏิสัมพันธ์ทางสายตาระหว่างพวกเขาทั้งสอง นางจึงกระแอมไอ “พวกเ้าช่างเก่งจริงๆ เหล่าพระสงฆ์ในวัดยังให้พวกเ้ากินหมูหันด้วยหรือ? เกรงว่าพวกเ้าคงซ่อนตัวกินบนูเาใช่หรือไม่?”
เมื่อเฉินเทียนหยูได้ยินก็ตกตะลึงอีกหน คำถามดังกล่าวน้องหญิงเคยพูดมาก่อน น้องหญิงอยากให้เขาตอบอย่างไรแล้วนะ? เขาเพิ่งตอบคำถามไปโดยไม่รู้ว่าน้องหญิงจะหงุดหงิดหรือไม่? ถ้าตอบผิดอีกหนจะทำให้น้องหญิงโกรธหรือไม่?
เฉินเทียนหยูมองมู่หรงฉิงอย่างลำบากใจด้วยหวังว่านางจะให้คำแนะนำได้บ้าง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ให้โอกาสเขา และหลังจากเรียกเขาว่า “หยูเอ๋อร์” นางก็ขอให้เขาบอกว่าหมูหันนั้นได้มาจากที่ใด?
เฉินเทียนหยูไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว น้องหญิงเคยพูดว่า ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าถามมากกว่าสองหนก็ต้องตอบ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบคำถามดีหรือไม่? เขาลังเลสักพักหนึ่ง และครั้นฮูหยินผู้เฒ่าถามเป็หนที่สาม เขาถึงได้ตอบอย่างลำบากใจว่า “จ้าวจื่อซินล่ามาได้ ข้าไม่กินอาหารในวัด มันไม่อร่อยเกินไป ดังนั้นจ้าวจื่อซินจึงออกไปล่าสัตว์ป่า ไม่คิดว่ามันจะเป็หมูป่าย่าง เขาย่างหมูบนูเา หลังจากนั้นก็เอามันไปที่ด้านหลังวัดหลังูเา คนอื่นไม่รู้ว่าพวกเรากิน และกระดูกก็ถูกฝังไว้อย่างดี”
หลังจากพูดจบ เฉินเทียนหยูก็เหลือบมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความรู้สึกผิด เขาพูดพึมพำในใจ เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้ไปวัด แต่ทำไมน้องหญิงถึงต้องให้เขาบอกว่าไปที่วัดด้วย?
สีหน้าของเฉินเทียนหยูปรากฏความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วยเพราะกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ไปที่วัด แต่สำหรับในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าที่มองมา มันเหมือนกับการทำผิดแต่กลัวว่าจะถูกดุ ฮูหยินผู้เฒ่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดด้วยสีหน้าเ็าว่า “ช่างพาลหาเื่ ในวัดสามารถกินเนื้อได้เสียที่ไหนกัน? ทั้งยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำผิดกฎในวัด ข้าไม่สามารถไม่ลงโทษพวกเ้าได้ พวกเ้าจงไปคุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษเป็เวลาสามวัน จึงจะนับได้ว่าเป็การลดความผิดนี้”
แค่คุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษก็นับได้ว่าเป็การลดความผิดทุกสิ่งอย่างก่อนหน้าได้แล้ว มู่หรงฉิงรู้สึกปีติยินดีเป็อย่างยิ่ง พลางรีบคำนับฮูหยินผู้เฒ่า “ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่าที่ลงโทษสถานเบาในคราวนี้ ฉิงเอ๋อร์จะไม่ปล่อยท่านพี่ให้ทำตามใจตัวเองอีกต่อไป คราวนี้จะต้องคุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษเป็เวลาสามวัน และจะกินอาหารเจเพื่อชำระความผิด”
หลังจากมู่หรงฉิงพูดจบ เฉินเทียนหยูก็โขกศีรษะคำนับฮูหยินผู้เฒ่าและพูดซ้ำอีกหน
“ยังคุกเข่าทำไมอยู่หรือ? ลุกขึ้นยืนเถอะ” นางรู้สึกโล่งใจ บนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าประดับด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นชุ่ยเอ๋อร์และปี้เอ๋อร์ถือตะกร้าอาหารเข้ามา นางจึงเอ่ยถามมู่หรงฉิงว่า “พวกเ้านำอะไรมาหรือ? อยู่ในตะกร้าก็ได้กลิ่นหอมแล้ว”
“นี่เป็ขนมปังมังสวิรัติที่ฉิงเอ๋อร์ทำด้วยตัวเอง เป็อาหารว่างคลายร้อนและทำให้สดชื่น ฉิงเอ๋อร์ทำอย่างอื่นไม่เป็ แต่ทำขนมของว่างได้เล็กน้อย และไม่รู้ว่าจะถูกปากของฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่?” ระหว่างพูด ปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์วางขนมจากตะกร้าบรรจุของว่างลงบนโต๊ะ จานขนมหกจาน ด้านในประกอบด้วยขนมของว่างสีเขียวและสีแดง และอากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นขนมของว่างมีขนาดเล็กและมีความประณีตจึงรู้สึกชื่นชอบเป็อย่างมาก หลังจากกินขนมปังถั่วเขียว ภายใต้การดูแลรับใช้ของฟางเอ๋อร์ นางก็พยักหน้าจากใจจริง “ขนมของเ้านั้นค่อนข้างไม่เลวเลย ขนาดเล็กและมีความประณีต สีก็สวยน่ามอง รสหวานแต่ไม่เลี่ยน ทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่นมาก ไม่ว่าจะรูป รส กลิ่นหรือสี มีครบไปหมดในทุกด้านจริงๆ เปรียบฝีมือได้เท่ากับพ่อครัวทุกคนในจวน”
“ฮูหยินผู้เฒ่าชมเกินไปแล้ว ฉิงเอ๋อร์ไม่เก่งงานฝีมือ ทำได้แต่ขนมธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”
“น้องหญิงกำลังพูดโกหก ขนมของว่างที่น้องหญิงทำนั้นอร่อยมาก” มู่หรงฉิงพูดถ่อมตน แต่เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจ ยามได้ฟังมู่หรงฉิงบอกว่าขนมของว่างที่นางทำนั้นธรรมดาทั่วไป เขาจึงกลืนขนมของว่างชิ้นหนึ่งที่ขโมยมา และเริ่มพูดพึมพำด้วยความไม่พอใจว่า “เป็ที่ชัดเจนว่าน้องหญิง...”
“ท่านพี่อย่าเพิ่งพูด ดื่มน้ำก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นจะสำลักเอาได้” มู่หรงฉิงยกถ้วยชาไปจ่อที่ปากของเฉินเทียนหยูเพื่อปิดกั้นคำพูดถัดจากนั้นของเขา
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินคำพูดของเฉินเทียนหยู นางย่อมข้าใจโดยธรรมชาติว่าสิ่งที่เฉินเทียนหยู้าจะพูดนั้นคือ ‘เป็ที่ชัดเจนว่า น้องหญิงทำขนมของว่างอร่อยมาก’ แต่ทางด้านมู่หรงฉิงถึงกับซับหยาดเหงื่อ และ้ารีบจากไป ไม่เช่นนั้นถ้อยคำของเฉินเทียนหยูที่ว่า ‘เป็ที่ชัดเจนว่า น้องหญิงได้พูดไว้แล้วว่า ขอแค่โกหกฮูหยินผู้เฒ่าว่าไปที่วัด น้องหญิงก็จะทำขนมให้ข้าจำนวนมาก' ถ้าเกิดพูดเช่นนั้นออกไป ทุกอย่างที่นางทำคงสูญเปล่า
เพื่อไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าสงสัย มู่หรงฉิงจึงแสร้งทำถ้วยชาหลุดมือจนทำให้ถ้วยชาตกลงบนโต๊ะ ก่อนมันจะกลิ้งหนึ่งรอบและหยุดลง ปี้เอ๋อร์รีบประคองมู่หรงฉิง “ฮูหยินน้อย เกิดอะไรหรือ?”
มู่หรงฉิงยกมือจะนวดหน้าผาก ฮูหยินผู้เฒ่าพลอยคิดว่า ใน่สองวันที่ผ่านมา มู่หรงฉิงต้องเดินทางไปมาทั้งยังต้องดูแลเฉินเทียนหยู นางคงจะเหนื่อยแล้วจึงพูดกับมู่หรงฉิงว่า “เวลานี้เดิมควรจะให้เ้าทานอาหารที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับเรือน แต่ในสองวันที่ผ่านมา เกรงว่าเ้าคงจะเหนื่อยแล้ว ข้าจะไม่รั้งเ้าไว้ เ้าควรกลับไปพักผ่อนที่เรือน และวันพรุ่งนี้เ้าจงไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษกับหยูเอ๋อร์เพื่อรับโทษเถอะ”
เฉินเทียนหยูเห็นว่ามู่หรงฉิงกำลังจะเป็ลม เขาก็ผลักปี้เอ๋อร์ออกไปและเข้าไปช่วยประคองมู่หรงฉิงด้วยสีหน้าวิตกกังวล ครั้นได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า เขาจึงพูดตามมู่หรงฉิงว่า ‘รับทราบ’ จากนั้นอุ้มมู่หรงฉิงวิ่งไปที่เรือนม่อเหอราวกับบินได้
ปี้เอ๋อร์ไม่เป็ไรเนื่องจากนางมีทักษะการต่อสู้ แม้ว่าทักษะวิชาตัวเบาของนางไม่ดีเท่าเฉินเทียนหยู ถึงกระนั้นนางก็ไม่เหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ชุ่ยเอ๋อร์วิ่งพลางก้าวะโกลับไปที่เรือนม่อเหอ นางวิ่งจนแทบหายใจไม่ออกภายใต้แสงแดด
หลังกลับไปที่เรือนม่อเหอ มู่หรงฉิงถึงได้โล่งใจ
วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดอะไร? จะถามอย่างไร นางแค่เตรียมการหลังจากคิดพิจารณา นางเตรียมคำพูดไว้หลายชุดสำนวน และคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็บทสนทนาในชุดสำนวนชุดแรกด้วย สาเหตุที่เฉินเทียนหยูเปิดเผยข้อบกพร่อง ก็เพื่อปัดเป่าความระแวดระวังของฮูหยินผู้เฒ่า
แม้ว่าเฉินเทียนหยูจะโง่ แต่กระนั้นเขาก็เป็หลานรักของจวนเฉิน หากหลานรักถูกบีบอยู่ในกำมือของนาง ภายใต้ความสมดุลในอำนาจของฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมต้องไม่เก็บนางไว้ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าผู้ที่เฉลียวฉลาดมีความสามารถอย่างแน่นอน สิ่งที่นางต้องทำคือฉลาดเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับฉลาดเกินไป สามารถใช้ลูกเล่นเล็กน้อยได้ แต่ก็ไม่สามารถไม่มีข้อบกพร่องได้ คนไม่มีจุดบกพร่องเลยจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่วางใจ
กลับมาที่เรือนม่อเหอ ปี้เอ๋อร์สั่งให้ชุนรุ่ยและชิวเหอเตรียมอาหารกลางวัน จากนั้นนางก็เข้าไปในเรือนพร้อมกับมู่หรงฉิง
เฉินเทียนหยูงุนงงมากเพราะมู่หรงฉิงกลับมาเป็ปกติทันทีที่เข้ามาในเรือน ทว่าถึงแม้จะนึกกังขา แต่ตราบใดที่มู่หรงฉิงไม่เป็อะไร เขาก็รู้สึกโล่งใจ
มู่หรงฉิงหยิบตำราแพทย์ออกมาและนั่งที่โต๊ะโดยหวังว่าจะพบชนิดยาที่ดีกว่านี้เพื่อบรรเทาอาการปวดของชิงยวี่
“คุณหนูใหญ่ช่างเก่งกาจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะคิดได้แล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะให้คุณหนูใหญ่และคุณชายรองไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อคิดทบทวน” ปี้เอ๋อร์หยิบพัดก่อนโบกวีให้มู่หรงฉิง นางถอนหายใจ มู่หรงฉิงฉลาดขึ้นมาก มิหนำซ้ำยังฉลาดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นายหญิงของนางสามารถคิดคำนึงถึงทุกอย่างได้
มู่หรงฉิงยิ้มอย่างอ่อนโยน มองดูตำราแพทย์ในมือของนางพร้อมพูดว่า “ที่เดียวที่สามารถทำให้คุณชายรองเสียใจโดยไม่ทำผิดพลาดก็มีแต่ห้องโถงบรรพบุรุษ กอปรกับข้าที่จะถูกลงโทษไปด้วย ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่มีอะไรที่ต้องวิตกกังวล”
มู่หรงฉิงเงยหน้าขึ้นทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง จากนั้นเห็นเพียงจ้าวจื่อซินะโลงมาที่สวนหลังเรือน ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าต่างในทันที
“ประตูหลัก เ้าไม่เข้า แต่เหตุใดถึงชอบข้ามกำแพงอยู่เสมอ?” มองดูจ้าวจื่อซินที่กระโจนผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างจนปัญญา ถึงอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมจ้าวจื่อซินถึงได้ชอบปีนกำแพงมากนัก?
จ้าวจื่อซินไม่ตอบและนั่งตรงข้ามมู่หรงฉิง เขารินน้ำชาหนึ่งถ้วยขึ้นดื่มจากนั้นจึงกล่าวว่า “อุโมงค์ลับใต้ห้องโถงบรรพบุรุษนำไปสู่บ้านอีกหลังหนึ่ง คนที่จะมาแทนที่ก็ได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ผู้เฝ้ายามก็เปลี่ยนคนแล้วด้วย”
พยักหน้าและอ่านตำราแพทย์ต่อไปไม่มีเสียงใดๆ ในห้อง ยกเว้นเสียงเฉินเทียนหยูเคี้ยวผลไม้อย่างมีความสุข หลังจากนั้นเป็เวลานาน มู่หรงฉิงก็ยังไม่ได้ถอนสายตาจากตำราแพทย์ แต่กลับเอ่ยคำถามที่จ้าวจื่อซินไม่อาจตอบได้ . . .
“จ้าวจื่อซิน เ้าเกิดปีชวดหรือ?” น้ำเสียงของมู่หรงฉิงฟังดูเรียบๆ ราวกับถามอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก ใบหน้าของจ้าวจื่อซินออกอาการประหลาดใจ “เ้ารู้ได้อย่างไรหรือ?”
“ก็เดาเอาน่ะสิ เ้ารู้วิธีขุดรู ถ้าไม่เกิดปีชวด ก็แสดงว่าชาติก่อนเ้าเคยเป็ชวด”
“...”