ทันทีที่หลินชวนพูดออกมาเช่นนั้น เฉินเซียงก็แข็งค้างไปด้วยความตกตะลึง มองไปยังเหยียนชิงที่กำลังยกฝ่ามือขึ้นมา
“คุณชาย... ท่านให้คนตรวจสอบเื่การลอบสังหารฮูหยินแต่ไม่เคยพบเจอสิ่งใดเลย เหตุใดไม่ลองเปลี่ยนทิศทางในการตรวจสอบดูล่ะเ้าคะ?”
เหยียนชิงพยักหน้า แต่ท่าทางกลับเหมือนคนที่กำลังทำอะไรไม่ถูก
“หากเป็ตระกูลเสวียที่เข้ามาแทรกแซง เช่นนั้นก็เป็ไปได้แปดถึงเก้าส่วนที่ผู้อยู่เื้ัจะเป็ฮูหยินถัง แต่มีเื่ที่ไม่เข้าใจอยู่อีกนิดหน่อย หากเป็จวนถังจริง แรงจูงใจของพวกเขาคือสิ่งใด? อีกทั้งผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว พยานหลักฐานก็คงจะหาได้ยาก ดังนั้นข้าจึงให้จิงโม่กลับมาช่วยพวกเรา ดูสิว่าจะพบสิ่งใดบ้างหรือไม่?...”
จากความทรงจำ ตระกูลเสวียและตระกูลเหยียนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน...
หลินชวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“คุณชายถังและถังฮูหยินล้วนมีความขุ่นเคืองต่อความโปรดปรานที่ท่านมีต่อฮูหยินน้อย ด้วยรู้สึกว่าฮูหยินน้อยที่อยู่ในฐานะภรรยาชายนั้นอยู่เหนือกว่าฐานะคุณชายแห่งตระกูลเหยียนของตน ยิ่งกว่านั้นฮูหยินน้อยยังเมินเฉยต่อคุณชายผู้ร่ำรวยอย่างคุณชายถังเสมอมา ดังนั้น… ข้าคิดว่านั่นเป็แรงจูงใจของพวกเขา ฮูหยินน้อยเป็เพียงภรรยาชาย อีกทั้งยังเป็บุตรของขุนนางต้องโทษ นอกจากการสนับสนุนของคุณชายแล้วก็ไม่มีการสนับสนุนจากผู้ใดอีก แม้ว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับฮูหยินน้อยก็ตาม หากไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาขึ้นได้...”
หลินชวนพูดจบแล้วจึงก้มหัวลงเฝ้ารอการตอบสนองของเหยียนชิงอย่างใจจดใจจ่อ อันที่จริงข้อเท็จจริงเหล่านี้ทุกคนล้วนมองเห็นมันได้ชัดเจน พูดตรง ๆ ก็คือ หากไม่ใช่เพราะคุณชายที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยังปกป้องฮูหยินน้อย ประกอบกับการที่ฮูหยินน้อยมีวรยุทธ์ที่สูงส่งแล้วละก็ ที่จริงในยามนี้หญ้าบนหลุมศพก็คงกำลังสูงขึ้นไปแล้ว
หลังจากได้ฟังเฉินเซียงก็เข้าร่วมเออออห่อหมกไปด้วย
“สิ่งที่หลินชวนพูดมานั้นไม่ผิด คุณชายใหญ่ออกจากจวนไป เห็นได้ชัดว่าฮูหยินถัง้าให้คุณชายถังเข้ามาดูแลทรัพย์สินของตระกูลเหยียน แต่ท่านให้สิทธิ์แก่ฮูหยินน้อย พวกเขาไม่กล้าตั้งเป้ามาที่ท่านหรอกเ้าค่ะคุณชาย แต่จะมุ่งเป้าไปที่ฮูหยินน้อยแทน”
“…”
เหยียนชิงสงสัยว่าตนเองได้ใช้ชีวิตมาเป็ครั้งที่สองและได้เห็นจิตใจของผู้คนเป็อย่างดีแล้วจริงหรือไม่ แม้จะมีปัญหาเหล่านี้อยู่ แต่มันเพียงพอต่อการลงมือสังหารใครสักคนได้จริงหรือ? ทั้งยังเป็คนของตนเองอีกด้วย
เขาเองก็อยากสังหารเหยียนิฮ่วน แต่ก็ต้องอดทนเพื่อสถานการณ์โดยรวม... คาดไม่ถึงว่าในยามที่เขากำลังคิดว่าจะให้อภัยต่อสิ่งที่อีกฝ่ายเคยทำในชีวิตก่อนดีหรือไม่นั้น ชายผู้นั้นกลับมาลงมือสังหารคนรักของตน!
หากเป็เช่นนี้ ก็อย่ามาโทษเขาที่ไร้ความปรานี! จวนถังและตระกูลเสวีย หากการลอบสังหารภรรยาของเขาเกี่ยวข้องกับพวกนั้นจริง ๆ เขาขอสาบานว่าจะขับไล่จวนถังออกจากตระกูลเหยียน และให้ตระกูลเสวียต้องชดเชยอย่างสาสม!
“คุณชาย...”
หลินชวนมองไปที่คนที่จู่ ๆ ก็ดูเ็าด้วยความกังวลเล็กน้อย พวกนางพูดสิ่งใดผิดไปหรือไม่ แม้ว่าพวกนางจะพูดอย่างเป็กลางและเป็ไปตามความเป็จริง แต่สุดท้ายจวนถังก็ยังเป็คนของตระกูลเหยียน...
“ข้าไม่เป็ไร สิ่งที่พวกเ้าบอกมาข้าล้วนรู้ดี... พวกเ้าพูดไม่ผิด เป็ข้าที่ใจกว้างมากเกินไป มากจนคิดไปเองว่าพวกเขาไม่น่าจะเลวร้ายถึงเพียงนี้...”
อันที่จริงแล้ว ผู้ที่ผลักตระกูลเหยียนลงไปในขุมนรกในชีวิตก่อนนั้นไม่อาจให้อภัยได้อย่างแน่นอน
“เื่นี้ควรบอกฮูหยินน้อยหรือไม่?”
เฉินเซียงถามด้วยน้ำเสียงแ่เบา เมื่อบอกออกไปแล้วจะต้องเป็การยั่วยุฮูหยินน้อยเป็แน่
เหยียนชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “บอก ข้าจะบอกเขาเอง พวกเ้าไม่ต้องกังวล ควรให้ความสนใจต่อสายสัมพันธ์ของจวนถังกับตระกูลเสวียให้มากขึ้น ด้วยก่อนหน้านี้มันถูกละเลยมามากแล้ว ต่อแต่นี้ไปต้องเพิ่มความสนใจเสียหน่อยแล้ว”
เขาสัญญากับเว่ยซูหานเอาไว้ ไม่ว่าจะมีเื่อะไรเกิดขึ้นจะต้องมาปรึกษากัน
หลินชวนกับเฉินเซียงต่างพยักหน้า “เ้าค่ะ”
“เอาล่ะ พวกเ้าออกไปเถอะ... ข้าจะไปที่ห้องหนังสือของท่านพ่อ เมื่อฮูหยินน้อยกลับมาแล้วจงบอกให้เขามาหาข้า”
หลังจากที่เหยียนชิงพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเสวียกับตระกูลเหยียนในด้านสว่างนั้นจะมีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ท่านพ่อจากไป นอกจากความสัมพันธ์ลับ ๆ ระหว่างฮูหยินถังกับตระกูลฝั่งมารดาแล้ว ตระกูลเหยียนกับตระกูลเสวียก็ไม่มีการติดต่อกันอีกเลย
แต่เขาจำได้ว่าในห้องหนังสือของท่านพ่อมีบันทึกบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลเสวีย นี่เป็นิสัยของท่านพ่อ ตราบใดที่มีการติดต่อหรือมีความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติหรือความสัมพันธ์ทางบรรพบุรุษต่อกัน จะมีการทำบันทึกเอาไว้ จะได้สะดวกต่อการติดต่อสัมพันธ์กันต่อไป
ตกกลางคืน เว่ยซูหานก็กลับออกมาหลังจากพูดคุยอยู่กับผู้าุโถังมาเป็เวลานาน เขาปฏิเสธรถม้าที่ถังเจิงเตรียมไว้ให้สำหรับการเดินทางกลับ ด้วยคิดว่าจะเดินกลับด้วยตนเอง เดิมทีระยะทางเพียงเท่านี้ไม่ไกลนักสำหรับฝีเท้าของเขา
อากาศกำลังดี ท้องถนนยังคงดูมีชีวิตชีวา เขาจะได้ซื้อขนมโปรดของชิงเอ๋อร์กลับไปด้วย อย่าคิดว่าอีกคนจะทำตัวราวกับเป็ผู้สูงวัยอยู่ตลอดเวลา ด้วยเขาชอบทานขนมเป็อย่างมากจนคาดไม่ถึง คนที่กินขนมชิ้นเล็ก ๆ นั้นดูน่ารักมากจริง ๆ
เพียงแต่เขาเดินเตร่อยู่ตามท้องถนนได้เพียงครู่เดียว ก็พบว่ามีหางตามติด[1] มาจากเื้ั แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็ใคร แต่เนื่องจากพวกเขาตามมาอย่างโจ่งแจ้ง เนื่องด้วยพวกเขากำลังทำบางสิ่งที่เกินความสามารถเพียงครู่จึงถูกจับได้
ในตรอกมืดที่ไร้ผู้คนสัญจร เว่ยซูหานยืนพิงกายรอให้ผู้ที่แอบสะกดรอยแสดงตัวออกมาอย่างสงบ
หลังจากเดินตามคนเข้าไปในตรอกมืดแล้วพวกเขาก็ไม่พูดอะไร ทั้งสองที่แอบตามมามีลักษณะและความสูงที่ใกล้เคียงกัน สวมหน้ากากในชุดสีดำที่มีใบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เผยออกมา หลังจากที่ได้เผชิญหน้ากันก็ลงมือจู่โจมทันที
“หึ!”
เว่ยซูหานส่งเสียงออกมาเบา ๆ ชักกระบี่ยาวออกจากฝักหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ทันใดนั้นภายในตรอกที่ทั้งมืดมิดและยาวไกลก็มีประกายจากคมกระบี่เกิดขึ้น ทั้งยังมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วดุจเงาสั่นไหวพร้อมกับประกายกระบี่ที่เปล่งแสงยามเกิดการปะทะกันไปมา
ประกายไฟยามเกิดการปะทะปรากฏขึ้นมาอีกหลายสิบครั้ง
ปะทะกันเพียงหนึ่งรอบ ด้วยกระบี่ยาวของเว่ยซูหานที่เข้าห้ำหั่นอย่างดุเดือดและด้วยปราณกระบี่ทำให้อีกฝ่ายถูกผลักไปจนสุดทาง สถานที่ไม่กว้างขวางมากนักทำให้ฝั่งตรงข้ามต่อต้านและหลีกเลี่ยงได้ยาก ต้องฝืนทนรับเพลงกระบี่ต่อไป ไม่นานก็ต้องส่งเสียงคำรามพร้อมกับก้าวถอยหลัง ความแข็งแกร่งของเว่ยซูหานทำให้รู้สึกประหลาดใจมาก
เว่ยซูหานหันกระบี่ออกไปพร้อมกับมองเขาอย่างเฉยเมย กระบี่ยาวชี้อยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเ็าว่า
“วิชากระบี่คู่... พวกเ้าเป็ใคร?”
แม้ว่าความร่วมมือระหว่างทั้งสองจะไม่สมบูรณ์แบบและมีแค่ใน่แรกเท่านั้น แต่เขาก็มั่นใจว่าพวกเขาใช้วิชากระบี่คู่ไม่ผิดแน่ เขาเคยเห็นมันในชีวิตก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่รู้จักวิชากระบี่เฉพาะกลุ่มเช่นนี้
ฝ่ายตรงข้ามทั้งสองเมื่อได้ยินก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีอยากเข้าจู่โจมอีกครั้งก็ต้องหยุดมือเอาไว้ ถอยกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง พวกเขากำลังสงสัยว่าเว่ยซูหานรู้จักวิชากระบี่ที่พวกเขาใช้ได้อย่างไร ด้วยในความเป็จริงแล้วมีคนเพียงไม่กี่คนที่ฝึกวิชากระบี่ประเภทนี้
น้ำเสียงของเว่ยซูหานต่ำลง “ข้าจะถามอีกครั้ง พวกเ้าเป็ใคร?”
ทั้งสองไม่ตอบ เฝ้ามองเขาอย่างระแวดระวัง หลังจากลังเลเล็กน้อยก็หันมาสบตากันก่อนจะถอนกระบี่ออกแล้วรีบพุ่งออกจากตรอกอย่างรวดเร็ว ร่างบางะโหายไปในค่ำคืนที่มืดมิดอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องตาม”
ราวกับเว่ยซูหานกำลังพึมพำบอกกับตนเอง ผู้พิทักษ์เงาที่แอบซ่อนอยู่ในความมืดะโกลับมาทันทีหลังจากขึ้นไปบนหลังคา
เว่ยซูหานเก็บกระบี่กลับเข้าไปในฝักแล้วจัดระเบียบชุดของตนก่อนเดินจากไป บนถนนไม่ไกลจากตรอกยังคงคึกคัก
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมาที่นี่เพื่อทดสอบเขา มีการเตรียมตัวมาเป็อย่างดี ถึงแม้จะตามไปก็คงตามไม่ทัน หากไม่ระวังให้ดีอาจตกหลุมพรางได้ หากมีการสมรู้ร่วมคิดกันจริง ๆ ในเมื่อสถานการณ์ยังไม่ชัดเจนก็ควรหยุดตัวเองเอาไว้ก่อนดีกว่าบุกเข้าไปอย่างดุดัน
ในชาติที่แล้วเขาได้พบกับฝาแฝดอีกสองคนซึ่งเป็ผู้มากความสามารถที่ประสบความสำเร็จในการฝึกวิชากระบี่คู่ แต่นั่นก็เป็เวลาหลายปีต่อจากนี้ ยามนั้นเขาได้เป็แม่ทัพใหญ่ผู้มีอำนาจและชื่อเสียงมาสักพักหนึ่งแล้ว... ทั้งสองคนนั้นถึงได้ปรากฏตัวออกมา เป็ไปได้ว่าอาจจะเป็คนเดียวกันกับคู่แฝดจากชาติที่แล้ว?
ทั้งสองคนในชาติก่อนเป็องครักษ์ของอ๋องฉางอัน และมีตัวตนที่ลึกลับเป็อย่างมาก พวกเขาเหมือนกับจิงโม่ที่ไม่เคยแสดงใบหน้าของตน ในยามปกติจะสวมชุดเกราะอ่อนสีดำและขาว ปรากฏตัวไปมาราวกับเป็เงาของกันและกัน ซึ่งนั้นก็คือวิชาขั้นสูงสุดของผู้ฝึกวิชากระบี่คู่ ด้วยหากคนสองคนที่ฝึกฝนวิชานี้ไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายของการเป็เหมือนเงาของกันและกันได้ วิชากระบี่คู่นี้ก็จะกลายเป็ความยุ่งยาก
เมื่อยามที่เขาออกล่าสัตว์กับตี้จวินใน่ฤดูหนาวบังเอิญมีโอกาสได้เรียนรู้และรู้จักกัน...
หากสองคนนี้เป็คนคนเดียวกับคู่แฝดที่เคยได้เจอในชีวิตก่อน แต่ตอนนี้อ๋องฉางอันได้... องครักษ์ของอ๋องฉางอันทั้งสองคนเข้ามาก่อกวนเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร? มีผู้คอยสั่งการอยู่เื้ัหรือเป็การกระทำตามอำเภอใจของตนเอง?
หากเป็องครักษ์พวกเขาย่อมรู้ดีว่าอ๋องฉางอันไม่้าให้พวกเขาทำสิ่งนี้อย่างแน่นอน...
ในชีวิตก่อนเขารู้เพียงว่าอ๋องฉางอันมีองครักษ์เป็ผู้ทรงพลังถึงสองคน ไม่ได้สืบหาให้ลึกลงไปกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นอ๋องฉางอันยังไม่ค่อยเดินทางกลับมาเมืองหลวง ดังนั้นเมื่อยามที่อยู่ในเมืองหนานฮั่นเขาจึงลืมเื่นี้ไปเสียสนิท ยามนี้ผู้ที่ใช้วิชากระบี่คู่จู่ ๆ ก็แสดงตัวออกมา มันทำให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนอง
แต่เมื่อลองคิดอย่างรอบคอบแล้ว ด้วยกำลังของสองคนนั้นในตอนนี้ เป็เื่ปกติที่หลังจากนี้อีกหลายปีพวกเขาจะได้ขึ้นเป็หัวหน้าของทหารนับพัน...
แค่คิดว่าพวกเขาเป็องครักษ์ของอ๋องฉางอัน เช่นนั้นจะมีสิ่งใดที่เป็แรงจูงใจสำหรับการกระทำดังกล่าว? หลังจากที่เขารู้ตัวแล้วจะดำเนินการต่ออย่างไร?
แม้จะเต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่เขาก็ยังซื้อขนมหลายอย่างที่เหยียนชิงชอบกินกลับไปอย่างตั้งใจ
ค่ำคืนนั้นเมื่อเว่ยซูหานกลับมาถึงจวนตระกูลเหยียนพร้อมกับขนมหลายห่อมันก็ดึกมากแล้ว โคมไฟที่ประตูจวนเหยียนล้วนถูกจุดแขวนไว้สูง เมื่อเข้าประตูมาแล้วจึงเดินกลับไปที่หอชิงเฟิง เฉินเซียงกลับบอกเขาว่าเหยียนชิงยังอยู่ที่ห้องหนังสือของนายท่านเหยียน และอยู่ในนั้นมานานมากแล้ว หลินชวนนำของว่างเข้าไปให้แล้วจึงอยู่ช่วยจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับออกมา...
เฉินเซียงโค้งคำนับอย่างเคารพ “คุณชายบอกไว้ว่าเมื่อฮูหยินน้อยกลับมาแล้วให้ท่านเข้าไปหาเขาเ้าค่ะ”
เว่ยซูหานไม่ได้พูดอะไร หลังจากผงกหัวรับคำแล้วจึงวางสิ่งของในมือลงจากนั้นก็เดินไปที่ห้องหนังสือของนายท่านเหยียน
เพียงแค่เดินมาถึงประตูห้องหนังสือของนายท่านเหยียน ก็ได้กลิ่นเหม็นอับมาจากด้านใน ด้วยกระดาษที่มีทั้งฝุ่นและราสะสมเป็เวลานาน
“ชิงเอ๋อร์...”
เขายกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า อากาศร้อนอบอ้าว ทั้งยังเต็มไปด้วยฝุ่นที่ปลิวไปทั่ว ชายหนุ่มในชุดขาวซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งภายในห้องหนังสือ ถัดจากร่างของเขาเป็หีบไม้สองสามหีบที่ไม่ได้เปิดมานานหลายปี เหยียนชิงนั่งอยู่บนพื้นข้างกล่องไม้มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การเปิดดูหนังสือที่มีขอบสีเหลืองแล้วมองดูบันทึกที่เขียนด้วยลายมือซึ่งเต็มไปด้วยรา
มีเศษกระดาษติดอยู่ตามเสื้อผ้าเต็มไปหมด
“เ้ากลับมาแล้ว...”
หลังจากที่เห็นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาทักทายหนึ่งคำก่อนจะก้มลงไปอีกครั้ง
“ฮูหยินน้อยท่านกลับมาแล้ว...”
หลินชวนซึ่งคอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อยกหีบหนังสือหีบสุดท้ายลงมาจากชั้นหนังสือทรงสูง ร่างของนางกลายเป็สีเทาของฝุ่น สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อนมารื้อข้าวของจึงดูค่อนข้างน่าอาย แม้แต่ใบหน้าก็ยังเปื้อนฝุ่น...
“พวกเ้า...” เว่ยซูหานขมวดคิ้ว เขายกมือขึ้น และใช้แขนเสื้อปัดฝุ่นที่อยู่ข้างหน้าออกแล้วพูดว่า
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ หลินชวนเ้าควรไปทำความสะอาดตนเองเสียหน่อย แล้วค่อยมาเตรียมน้ำร้อนให้คุณชาย...”
“เ้าค่ะ”
หลินชวนส่ายหัว มองสำรวจตนเองด้วยอาการเขินอายแล้วจึงหันหลังออกไป เว่ยซูหานเดินไปที่ข้างกายของเหยียนชิง คนผู้นี้ก็ไม่มีส่วนใดที่ยังพอดูได้เช่นกัน ชุดสีขาวมีรอยเปื้อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ใบหน้าเล็ก ๆ เลอะเทอะไปหมด ขนตาถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น อุ้งเท้าที่ในยามปกติขาวสะอาดก็กลายเป็สีดำ ข้างกายมีขนมที่กินไปบ้างแล้วหลงเหลืออยู่ ดูเหมือนว่าจะกินไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังเหลือมากกว่าครึ่ง
เว่ยซูหานดึงชายชุดขึ้นแล้วลงไปอยู่ด้านข้าง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้เขา จากนั้นจึงเอนตัวเข้าหาแล้วถามว่า
“ชิงเอ๋อร์ เ้ากำลังหาสิ่งใด? ถึงได้ระดมหามาเป็จำนวนมากมายจนตนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้”
เหยียนชิงหันไปจูบใบหน้าของเขาและตอบว่า
“เหล่านี้คือบันทึกลายมือของท่านพ่อั้แ่เมื่อครั้งที่ข้ายังเยาว์วัย นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเื่ที่เราไม่รู้อยู่อีกมากมาย... ั้แ่ท่านพ่อของข้าจากไป เพื่อให้ห้องหนังสือยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ท่านแม่จึงไม่ให้คนเข้ามาเคลื่อนย้าย บันทึกที่อยู่ในนี้ได้รับความเสียหายไปมากหลังจากไม่โดนแสงแดดมาเป็เวลานาน พรุ่งนี้ข้าจะทำความสะอาดที่นี่ให้ดี...”
“เดิมทีข้า้าค้นหาบันทึกเกี่ยวกับการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเสวียและตระกูลเหยียน อ่านไปอ่านมาก็ราวกับติดสิ่งเสพติด เมื่อครั้งที่ท่านพ่อยังหนุ่มท่านมีประสบการณ์มากมายในการเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้[2]...”
พูดจบก็ยื่นมือมาจับมือเขาไว้โดยไม่ลืมคั่นบันทึกที่อ่านค้างไว้ด้วยที่คั่น หีบหลายหีบเรียงจากบนลงล่างถูกจัดไว้ตามเวลาที่ท่านพ่อเขียนขึ้นมา ยิ่งอยู่ด้านใต้มากเพียงใดก็ยิ่งห่างไกลจากความทรงจำที่เขามีมากขึ้นเท่านั้น หลังแต่งงานท่านพ่อของเขาเข้ามาดูแลกิจการของตระกูลเหยียน แต่ก่อนที่ท่านพ่อจะแต่งงานนั้นกลับเคยเดินทางไปหลากหลายสถานที่... หากดูอย่างระมัดระวังก็อาจจะได้รับข้อมูลที่เป็ประโยชน์มาก็ได้
เว่ยซูหานจับคนเอาไว้แล้วจูบเขากลับไป
“พรุ่งนี้ข้าจะดูมันด้วยกันกับเ้า ข้าก็สนใจมันเช่นกัน แต่ยามนี้ดึกมากแล้วควรพักผ่อนก่อน ออกไปอาบน้ำแล้วมาหาอะไรกินกันเถอะ เฉินเซียงบอกว่าเ้าอยู่ในนี้มานานแล้ว อุดอู้มากพอแล้ว”
“ได้”
เหยียนชิงเหยียดกายไปมา กะพริบตาบนเสื้อผ้าที่สะอาดบนหน้าอกของเขาแล้วขยี้ลงไป จากนั้นจึงพูดออกมาอีกว่า
“ซูหาน วันนี้ข้าได้พบกับเสวียหรงนายท่านแห่งตระกูลเสวียแล้ว”
“หืม? ตระกูลเสวีย ตระกูลฝั่งมารดาของฮูหยินถัง เป็อย่างไร เขาดูิ่เ้าหรือ?”
จากมุมมองในชาติที่แล้วเขามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเสวียน้อยมาก อย่างน้อยก็ไม่เคยเจอหน้ากัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความทรงจำกับตระกูลเสวียมากนัก อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ดีว่าในยามนั้นภายหลังจากที่ตระกูลเหยียนตกอยู่ภายใต้การดูแลของเหยียนิฮ่วนนั้นเขาได้เข้าไปพึ่งพาตระกูลเสวียเป็อย่างมาก
“ที่นี่คือถิ่นของตระกูลเหยียน เขาไม่เย่อหยิ่งพอที่จะดูิ่ข้าได้” เหยียนชิงส่ายหัว จากนั้นบทสนทนาก็กลายเป็เื่จริงจัง
“เสวียหรงรู้เื่ที่เ้าได้สร้างผลงานที่ชายแดนเหนือในปีก่อน”
“…” อารมณ์ที่เดิมทีผ่อนคลายของเว่ยซูหานตึงเครียดขึ้นในทันใด ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็เ็า
“ฮูหยินถังและเหยียนิฮ่วนล้วนไม่รู้แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร?”
เหยียนชิงส่ายหัว
“ข้ารู้สึกว่ามันแปลก ๆ จึงให้หลินชวนและคนอื่น ๆ เร่งทำการตรวจสอบแล้ว ทั้งยังส่งสารขอความช่วยเหลือไปยังจิงโม่ นอกจากความสัมพันธ์ของฮูหยินถังแล้ว เมื่อครั้งที่ท่านพ่อยังคงมีชีวิตอยู่ตระกูลเสวียเคยมีกิจการที่ต้องร่วมมือกับทางตระกูลเหยียนและบางครั้งยังให้คนมาเยี่ยมท่านพ่ออีกด้วย แต่หลังจากที่ท่านพ่อจากไป ความสัมพันธ์อันสุภาพนี้ก็ได้พังทลายลง... ดังนั้นข้าจึงรู้สึกประหลาดใจด้วยเื่นี้แม้แต่ข่าวลือยังแทบไม่มีแล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร”
เว่ยซูหานไม่ได้พูดอะไร ความคิดแล่นปราดอย่างรวดเร็วอยู่ในใจ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นเพียงแค่ยังไม่อาจจับจุดได้...
เหยียนชิงเห็นใบหน้าของเขามืดมน จึงจับมือเขาไว้พร้อมกับเอ่ยเตือนว่า
“วันนี้เขายังเข้ามาคุยกับข้าตามลำพัง เข้ามาถามถึงเ้า... ซูหาน ตระกูลเสวียไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน เ้าต้องระวังตัว แม้ว่าการที่ข้าถามเช่นนี้อาจดูหยาบคายไปเสียหน่อย แต่ว่าข้าคิดว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับอดีตของตระกูลเว่ย... ตอนนี้ที่ข้ากำลังควานหาบันทึกของท่านพ่อก็เพื่อสืบหาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเสวียกับตระกูลเหยียนว่าแท้จริงแล้วเคยมีการพัวพันและข้อพิพาทกันอย่างไร”
“ไม่... ไม่รู้...”
เดิมทีเว่ยซูหานอยากจะปฏิเสธ เพราะเขาไม่เคยติดต่อกับตระกูลเสวียโดยตรงมาก่อนเลยในชีวิต และเมื่อทบทวนกิจการของตระกูลเว่ยอีกครั้งก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับตระกูลเสวีย นอกจากนี้ ก่อนเกิดเหตุตระกูลเว่ยอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ตระกูลเสวียอาศัยอยู่ที่เมืองฝูซัง และเขายังจำได้ว่าไม่มีผู้ใดในตระกูลเสวียที่เข้าสู่ราชสำนักในฐานะขุนนาง ทั้งยังไม่มีผู้ใดเข้ากองทัพ... แปดเสาไม่อาจรวมเป็หนึ่งได้[3]
แต่ว่า ยามที่เหยียนชิงถามเช่นนี้ เขาก็เกิดลังเลขึ้นมา เื่ราวของชาติก่อนหน้านั้นเต็มไปด้วยพิรุธและหมอกขมุกขมัว อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น โดยที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมัน...
หากในชาติที่แล้วเหยียนิฮ่วนมีการสมคบคิดกับต่างแคว้นและอ๋องฉางอัน ตระกูลเสวียย่อมมีส่วนเกี่ยวข้อง... เบาะแสที่คลุมเครืออยู่ในใจเริ่มชัดเจนขึ้นมา...
เชิงอรรถ
[1] มีหางตามติด (跟尾巴) หมายความว่า ผู้ที่กำลังถูกคนแอบตามหลังมาหรือมีคนสะกดรอยตามหลังมา
[2] เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ (走南闯北) หมายถึงการเดินทางไปมาจนทั่ว ผ่านสถานที่ต่างๆ มามากมาย
[3] แปดเสาไม่อาจรวมเป็หนึ่ง (八竿子达不到一块) ใช้บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนว่าห่างกันไม่สนิทกันหรือไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
