ปู่หลินถูกหลินฟู่อินแทงใจดำไปอีกครั้ง จึงจ้องหลินฟู่อินเขม็งด้วยสีหน้าเดือดดาลราวกับิญญาร้าย ใจรู้สึกเสียใจภายหลังที่เคยเรียกร้องไปเพียงค่าเลี้ยงดูถูกๆ ในตอนที่หลินฟู่อินยังไม่กล้าปะทะกับเขาตรงๆ
และตอนนี้เขาก็ไม่อาจทำอะไรนางได้อีกแล้ว!
แต่เขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้ สมองเขาประมวลผลด้วยความเร็วสูงเพื่อตามหาวิธีการที่จะทำให้นางยอมเชื่อฟังเขาได้
“ท่านปู่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้ากลับก่อนนะเ้าคะ” หลินฟู่อินไม่รอให้ปู่หลินทันได้คิดแผน เตรียมจากไปทันที
“ฟูอิน หยุดก่อน ข้ามีเื่ต้องถามเ้าอยู่!” เมื่ออู๋ซื่อเห็นว่าปู่หลินหยุดหลินฟู่อินไว้ไม่ได้ นางจึงแตกตื่นขึ้นมาแล้วรีบไปยืนขวางหลินฟู่อินทันที
ปู่หลินเองก็โล่งใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าภรรยาของเขาหยุดหลินฟู่อินไว้ได้
อู๋ซื่อถามหลินฟู่อิน “ฟู่อิน อาเฟินกับอาฟางเป็เช่นไรบ้าง?”
นางเฒ่านี่ทำกับหลินเฟินหลินฟางราวกับเป็เพียงเครื่องมือมาตลอด แต่มาตอนนี้กลับอ่อนโยนเป็ห่วงสารทุกข์สุกดิบของหลานหรือ?
เสแสร้ง!
หลินฟู่อินหรี่ตาลง “พี่เฟินกับพี่ฟางสบายดี ข้าขอขอบคุณท่านย่าแทนพวกนางด้วยที่เป็ห่วง”
“แน่นอน ทั้วสองต่างก็เป็หลานข้า ข้าต้องเป็ห่วงอยู่แล้ว” อู๋ซื่อยังพล่ามต่อ นางมองหลินฟู่อินแล้วถาม “ทั้งสองได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วหรือว่าจะติดตามเ้า?”
“ทั้งสองทำงานให้ข้า” หลินฟู่อินตอบปัดๆ
“แปลว่าทั้งสองจะไม่กลับมาที่หมู่บ้านนี้แล้วใช่หรือไม่?” ในใจอู๋ซื่อว่าร้ายหลินเฟินหลินฟางไม่หยุด แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้ม
“ไม่รู้เหมือนกัน นั่นเป็เื่ของทั้งสองที่ต้องตัดสินใจกันเอง” หลินฟู่อินตอบ
อู๋ซื่อกล่าวต่อ “เช่นนั้นก็ถือว่าพวกนางจะไม่กลับมาที่หมู่บ้านนี้แล้วก็แล้วกัน และหากทั้งสองไม่กลับมา ลุงรองและป้ารองของเ้าก็คงต้องเหงามาก และบ้านก็จะน่าอยู่น้อยลงไปอีก ดังนั้นแล้วเ้าน่าจะให้ลุงรองของเ้าเป็คนดูแลไร่ของเ้าที่หมู่บ้านต้าซู่ไม่ใช่หรือ?”
อู๋ซื่อกำลังคิดว่าขอเพียงหลินฟู่อินยกไร่ให้เ้าคนรองเป็คนดูแล ต่อให้ชื่อเ้าของที่จะยังเป็ของหลินฟู่อินอยู่ แต่พวกนางก็สามารถชิงผลผลิตมาได้
หากมีผลผลิตสักหนึ่งหมื่นจิน ก็แค่บอกไปว่ามีแปดพันจิน แล้วส่งอีกสองพันจินมาให้บ้านเก่า เื่ง่ายๆ เลยไม่ใช่หรือ?
ไม่ไปขัดใจอะไรหลินฟู่อิน ยอมให้นางทำตามใจชอบแล้วออกจากที่นี่ไป เสร็จแล้วค่อยไปกล่อมเ้าคนรองทีหลัง เช่นนี้ดีกว่ามากเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อปู่หลินได้ยินความคิดของอู๋ซื่อ เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ความรู้สึกไม่พอใจเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น
นี่เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าภรรยาเฒ่าของเขาคนนี้มีสมอง เขาลืมนึกถึงวิธีการเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน?
แต่ตอนนี้หลินฟู่อินก็ระแวงเขาแล้ว ดังนั้นจึงพูดอะไรได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
ในตอนแรก หลินฟู่อินก็คิดจะให้หลินต้าเหอและภรรยามาดูไร่นั้นให้ก็จริง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ซื่อแล้ว นางจึงหันไปมองสีหน้าตื่นเต้นของปู่หลิน แล้วรู้สึกว่านางอย่าทำเช่นนั้นจะดีกว่า
เฟิงซื่อนี่ยังดี แต่หลินต้าเหอไว้ใจไม่ได้ พึ่งพาไม่ได้ เพียงปู่หลินหรือย่าพูดไม่กี่คำก็คงผงกหัวงกๆ ตามแล้ว
หลินฟู่อินมั่นใจว่าตัวเองคิดถูก นางจึงหันไปยิ้มให้อู๋ซื่อแล้วกล่าว “ท่านย่า เ้าของเดิมทิ้งคนงานไว้ให้ข้าด้วย ดังนั้นข้าไม่ต้องหาคนมาบริหารเพิ่มก็ได้”
แต่ลุงรองกับป้ารองนั้นมีความสามารถ ให้พวกเขาดูไร่ที่บ้านข้าต่อไปได้
เมื่ออู๋ซื่อเห็นว่าหลินฟู่อินไม่ยอมเต้นตามแผนของตน ทั้งยังจัดสรรงานให้เ้าคนรองและสะใภ้รองอย่างเรียบร้อยอีกก็หงุดหงิดขึ้นมา
นางมองหลินฟู่อินอย่างไม่พอใจ บ่นออกมาว่า “ใจกว้างเสียจริงนะ ไม่ยอมให้คนในบ้านไปดูไร่ แต่กลับให้คนนอกมาดูแลเสียอย่างนั้น! สุดท้ายแล้วเ้าก็ไม่ยอมเชื่อใจพวกข้า แล้วยังมองพวกข้าเป็ศัตรูอยู่ไม่เปลี่ยน!”
“ก็ถูก ข้าไม่เชื่อใจพวกท่านจริงๆ” หลินฟู่อินแสยะยิ้มแล้วพยักหน้า “หลายวันมานี้ปู่กับย่าไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้ข้าเลย ข้าเลยไม่มีความเชื่อใจให้ ก็ทำตัวเองกันทั้งนั้นแล้วจะไปโทษใครได้?”
อู๋ซื่อเดือดดาลจนแทบสำรอกเื นางพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติ
นางหมดหนทางในการกดดันหลินฟู่อินแล้ว และการที่นางไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลยเช่นนี้ก็ทำให้นางอารมณ์เสียเป็อย่างมาก
และเพื่อกันไม่ให้ปู่หลินต้องเดือดดาลจนมาลงกับนางอีก นางจึงสะบัดแขนใส่หลินฟู่อินด้วยสีหน้าถมึงทึง “เ้าบอกว่าเ้ามีเื่ให้ต้องรีบกลับไปจัดการ แต่ตอนนี้ข้าปวดหัวอยู่!”
“งั้นย่าก็รีบไปนอนพักเถอะ” หลินฟู่อินหัวเราะออกมา และเมื่อนางหันหลังให้พวกอู๋ซื่อแล้ว นางจึงยิ้มกว้างออกมา ในใจปลอดโปร่งยิ่งนัก
นางมีความอดทนสูง แต่นั่นไม่ได้แปลว่านางจะทนความพยายามเอาเปรียบของปู่ย่าคู่นี้ได้ตลอดไป
ในเมื่อฝ่ายผู้าุโทำตัวไร้ยางอายไร้ความเคารพใส่มาขนาดนี้ ก็อย่าได้มาว่าร้ายคนรุ่นใหม่เช่นนางที่จะไม่มีความเคารพใดๆ คืนกลับไปให้เชียว
หลินฟู่อินออกมาจากบ้านใหญ่สกุลหลินด้วยอารมณ์เปี่ยมสุข ก่อนมุ่งหน้าไปยังบ้านรอง
เมื่อเฟิงซื่อเห็นนางอยู่หน้าประตูจึงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ฟู่อินกลับมาแล้วหรือ?” แต่พอเมื่อเห็นว่าฟู่อินกลับมาเพียงคนเดียว นางจึงมีสีหน้างงงวยขึ้นมา
“ป้ารอง พี่เฟินกับพี่ฟางยังไม่กลับ เพราะยังยุ่งกับการช่วยงานข้าอยู่” หลินฟู่อินเดาความคิดของนางได้ จึงอธิบายออกมา
เฟิงซื่อดูผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็เค้นเอารอยยิ้มออกมา ก่อนกล่าวว่า “การที่ยังยุ่งอยู่ก็นับเป็เื่ดี การที่ทั้งสองสามารถช่วยเหลือฟู่อินได้นับว่าเป็เื่น่ายินดีแล้ว” ก่อนหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือออกมาจับแขนฟู่อิน “ข้านี่ละก็ เอาแต่พูดไม่หยุดแล้วปล่อยให้เ้ายืนอยู่ได้ มา เข้ามาเข้าในดีกว่า”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วตามเฟิงซื่อเข้าไปในบ้าน
เฟิงซื่อรินน้ำมาให้หลินฟู่อิน จากนั้นก็เอ่ยถาม “ดูจากทิศที่เ้ามาเมื่อครู่ เ้าเพิ่งมาจากบ้านปู่ของเ้าหรือ?”
“ใช่เ้าค่ะ” หลินฟู่อินจิบน้ำจิบหนึ่ง ตอนที่อยู่บ้านใหญ่ นางต้องพูดอะไรมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่นางกลับยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักหยด
“ไปเพราะเื่เสี่ยวเถาใช่หรือไม่?” เฟิงซื่อถอนหายใจ ในใจนึกอยากสงสารเด็กนั่นอยู่ แต่เมื่อนึกถึงความปากเสียของทั้งเสี่ยวเถาและเสี่ยวเหอแล้ว ความรู้สึกอยากเห็นใจใดๆ ก็หายไปจนหมด
หลินฟู่อินพยักหน้าอีกครั้ง “ตอนที่ข้ากลับมาถึงหมู่บ้านในวันนี้ อยู่ๆ ก็มีแม่เฒ่าคนหนึ่งมาหยุดข้าไว้ตอนที่ข้ากำลังเดินทางไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อขอให้ข้าไปช่วยเสี่ยวเถา เพราะนางกำลังจะตาย”
เฟิงซื่อส่ายหน้า “ป้าใหญ่ของเ้าช่างโหดร้ายจริงๆ!”
ไม่ใช่แค่เพียงจิตใจที่โหดร้าย ทว่าแม้แต่ความเป็คนก็หายไปหมดแล้ว
ในใจของจ้าวซื่อคงมีแต่เื่ของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเป็แน่
“แล้วเสี่ยวเถาเป็อย่างไรบ้าง? นางปลอดภัยหรือไม่?” เฟิงซื่อถามต่อ
นางยังใจอ่อนกับเสี่ยวเถาอยู่ เพราะแม้จะปากเสียมากเพียงไหน แต่นั่นก็เป็หลานของนางเอง จึงยังมีความเป็ห่วงในสารทุกข์สุกดิบของนางอยู่
หลินฟู่อินเองก็เช่นเดียวกัน แม้นางจะชิงชังสองพี่น้องนั่นจนอยากลงโทษพวกนางมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากเอาชีวิตอะไร
“ข้าต้มยาและจ่ายให้นางแล้ว และให้ลุงใหญ่ไปตามท่านหมอหลี่มาจัดกระดูกให้นางด้วย คิดว่าน่าจะวางใจได้แล้ว” หลินฟู่อินกล่าว
เมื่อเฟิงซื่อได้ยินว่าเสี่ยวเถาปลอดภัยแล้ว นางจึงพนมมือขึ้นมา “ขอบคุณ์!” ก่อนจะมองหลินฟู่อิน แล้วกล่าวต่อ “ฟู่อิน เ้าเองก็ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน ในตอนที่ปู่ของเ้าช่วยเสี่ยวเถาขึ้นมาจากส้วม ทั้งย่าและป้าใหญ่ของเ้ากลับไม่ยอมช่วยทำความสะอาดหรืออาบน้ำให้นางเลย ตอนที่ข้าไปถึงนางก็เริ่มหายใจไม่ออกแล้ว ต้องพาไปแช่น้ำร้อนในอ่างกว่าสองเค่อกว่าจะได้สติ”
หลินฟู่อินฟัง แล้วจึงส่ายหน้า “มีแม่และย่าเช่นนี้ก็คงนับว่าเป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ ทั้งนางและเสี่ยวเหอก็มีแต่ต้องลำบากเท่านั้น”
เฟิงซื่อนึกถึงเด็กทั้งสอง หากไม่ได้มีปู่ย่าที่เป็คนเช่นนั้น และไม่ได้มีมารดาที่ไร้ความสามารถเช่นจ้าวซื่อแล้ว พวกนางก็คงเป็คนดีกว่านี้มาก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องกลัวการที่จะต้องอยู่ที่บ้านนั้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ เฟิงซื่อก้มหน้าลงแล้วกล่าว “ไม่ผิดเลย แต่มันก็เป็โชคชะตา เฟินเอ๋อร์และฟางเอ๋อร์ของพวกข้าเองก็นับเป็โชคชะตา เพียงแต่มันเป็โชคชะตาที่ดีเท่านั้น ที่ให้ได้มาติดตามเ้า ฟู่อิน”
หลินฟู่อินไม่ตอบอะไร แต่การที่ทั้งสองเลือกมาติดตามนางก็นับเป็โชคอันดีของทั้งสองจริงๆ
แต่ทั้งสองเองก็เป็คนมีหัวคิด ทั้งยังมีนิสัยที่เหมาะสมแก่การคบหาด้วย
“อ้อ ที่ข้ามาหาป้ารองในวันนี้ก็เพื่อจะฝากให้ท่านช่วยต้มแล้วป้อนยาให้เสี่ยวเถา เพราะคนบ้านใหญ่นั่นหวังพึ่งไม่ได้ และข้าก็จะกลับเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้แล้ว เพราะข้ามีเื่ที่ต้องไปจัดการทางนั้นอีกมาก” หลินฟู่อินกล่าว
เฟิงซื่อยิ้มอย่างลำบากใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะนางไม่อยากช่วยต้มยาป้อนยา แต่เพราะคนบ้านใหญ่นั้นมักอารมณ์ไม่ดีนักเมื่อเห็นหน้านาง นางจึงค่อนข้างลำบากใจ…
“ท่านป้ารองมีปัญหาอันใดหรือ?” หลินฟู่อินเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเฟิงซื่อ จึงเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าก็อยากไปนะ แต่ฟู่อิน เ้าเองก็รู้ว่าเพราะเื่ของเฟินเอ๋อร์เมื่อคราวก่อน เป็ผลให้ทั้งป้าใหญ่และย่าของเ้าต่างก็ชิงชังข้าจนแทบจะฆ่าข้าให้ตายทันทีที่ได้พบน่ะ” เฟิงซื่อกัดฟัน สีหน้าฉายแววของความรู้สึกอับจนหนทาง
ตัวนางในตอนนี้ค่อนข้างจะใช้ชีวิตได้อย่างเป็สุขแล้ว นางจึงไม่กล้าไปตอแยกับพวกบ้านใหญ่อีก
ในตอนนี้นางและสามีได้ทั้งช่วยหลินฟู่อินทำไร่แห้งๆ นั่นด้วยผักกาด ช่วยหลินฟู่อินทำปุ๋ยเพื่อบำรุงที่ นอกจากเื่ที่ลูกๆ ไม่อยู่กับนางที่นี่แล้ว ที่เหลือก็นับได้ว่ามีความสุข
แต่หากต้องไปยุ่งกับบ้านใหญ่นั่นอีก ในอนาคตคงไม่เหลือเื่ดีๆ เป็แน่
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินจึงคิดขึ้นมา แล้วกล่าว “ถ้าเช่นนั้น หากรับเสี่ยวเถามาดูแลที่บ้านรอง ท่านป้าจะว่าอย่างไร?”
เพราะจะปล่อยให้นางตายไปเฉยๆ เลยก็คงไม่ได้ใช่หรือไม่เล่า?
เฟิงซื่อได้ยินแล้วก็อึ้งไป หากนางรับหลินเสี่ยวเถามาดูแลแล้ว จะให้ส่งคืนทีหลังก็คงไม่ได้อีก และหากจ้าวซื่อบุกมาเรียกร้องให้คืนล่ะจะทำอย่างไร?
เฟิงซื่อเล่าสิ่งที่ตนกังวลอยู่ให้หลินฟู่อินฟัง
หลินฟู่อินแค่นจมูก หากเฟิงซื่อพาหลินเสี่ยวเถามาเลี้ยงแล้ว อู๋ซื่อและจ้าวซื่อต้องบุกมาหาเพื่อขอตัวคืนแน่นอน
หลังจากที่บ้านรองแยกตัวออกมาแล้ว อู๋ซื่อแล้วจ้าวซื่อก็มองเสี่ยวเถาและเสี่ยวเหอเป็เพียงเครื่องมือทำกินเท่านั้น หากเสี่ยวเถากลับมาแข็งแรงแล้ว มีหรือที่พวกนางจะยอมปล่อยไปง่ายๆ?
และหลินฟู่อินยังพอจะเดาได้ ว่าบิดาของหลินต้าหลางและปู่หลินคงคิดใช้เสี่ยวเถาเพื่อเป็บันไดให้ต้าหลางสอบผ่านอยู่แน่ ดังนั้นมีหรือที่พวกเขาจะปล่อยให้เสี่ยวเถาอยู่บ้านรองได้โดยไม่มาเอาตัวคืน?
หลินฟู่อินจึงกล่าวกับเฝิงซื่อ “ท่านป้ารองอย่าได้กังวล ตราบใดที่เสี่ยวเถายังมีลมหายใจ ต่อให้ท่านอยากเลี้ยงนางเอง แต่ท่านย่าจะไม่มีวันยอมเป็แน่ เพราะท่านย่ายังอยากได้ตัวเสี่ยวเถากลับไปใช้งานอยู่”
เฟิงซื่อลองคิดตามดู มันก็จริง!
“หากเ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็สบายใจ” เฟิงซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นพอลุงรองของเ้ากลับมาจากไร่แล้ว ข้าจะไปบ้านใหญ่เพื่อพาเสี่ยวเถามาดูแลจนกว่านางจะดีขึ้นนะ”
หลินฟู่อินหัวเราะแล้วกล่าว “ท่านป้ารองช่างมีจิตใจที่งดงามยิ่งนัก ท่านป้าต้องได้พบสิ่งดีๆ จากการช่วยครั้งนี้เป็แน่”
นี่เป็หนึ่งในสาเหตุที่นางยังคงนับถือเฟิงซื่ออยู่ แม้นางจะเคยพลาดพลั้งไปบ้างก็ตาม
เฟิงซื่อเป็คนอ่อนโยนที่ไร้ความคิดแอบแฝง
แม้นางจะรู้ว่าการรับตัวเสี่ยวเถามารักษาเพียงชั่วคราวนี้ อาจทำให้นางต้องถูกพวกบ้านใหญ่มาหาเื่ได้ แต่เฟิงซื่อก็ยังตัดสินใจเข้าช่วยเหลือ
“เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนป้ารองด้วยเ้าค่ะ ข้าจะกลับไปเตรียมยาให้เสี่ยวเถาก่อน เมื่อเสร็จแล้วจะให้ย่าหลี่เอามาส่ง” กล่าวจบ หลินฟู่อินจึงกล่าวลาเฟิงซื่อ
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินฟู่อินก็จัดห่อยาที่เสี่ยวเถาต้องใช้แล้วขอให้ย่าหลี่นำไปส่งที่บ้านรอง
ส่วนตัวนางอยู่เล่นกับเ้าตัวเล็กทั้งสองที่ตอนนี้มีอายุเกือบหกเดือนแล้ว ทั้งยังน่ารักยิ่ง และเพราะได้นมไม่ขาด ตอนนี้จึงเติบโตกันขึ้นมาอย่างอุดมสมบูรณ์
เสี่ยวเป้ยเองก็เริ่มยืนได้แล้ว
เสี่ยวเป่านั้นอ้วนท้วนกว่าเล็กน้อยจึงยังยืนไม่ไหว และเมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินกำลังจับให้เสี่ยเป้ยยืนอยู่บนตักนางแล้ว เสี่ยวเป่าจึงไม่พอใจขึ้นมาแล้วเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้พลางโบกไม้โบกมือ ราวกับกำลังประท้วงที่หลินฟู่อินไม่ทำแบบเดียวกันกับตนบ้าง
หลินฟู่อินนั่งมองเ้าตัวน้อยนั่งน้ำลายยืด ั์ตาสีนิลคู่นั้นจับจ้องนางไม่วางตาจนนางใจอ่อนขึ้นมา แล้วส่งเสี่ยวเป้ยให้แม่นมฉิน แล้วรับเสี่ยวเป่ามาไว้ในอ้อมแขนแทน
ทันทีที่เสี่ยวเป่าขึ้นมาถึงตักของหลินฟู่อิน เ้าตัวน้อยก็พยายามยืดขาเพื่อลุกขึ้นยืน แต่ก็พลาดไปหลายครั้ง
เสี่ยวเป่าเบ้ปาก มีท่าทีจะร้องไห้ออกมา
หลินฟู่อินจึงกล่อมไม่หยุด “เสี่ยวเป่าไม่ต้องเสียใจไป เดี๋ยวแม่นมฉินจะพาเ้าออกไปรับแดดนะ”
ได้ยินแล้ว แม่นมฉินจึงกล่าว “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้อง เสี่ยวเป่าไม่ชอบการออกไปรับแดด ออกไปได้ไม่นานก็งอแงแล้ว แต่เสี่ยวเป้ยนั้นชอบเล่นข้างนอก นางไม่กลัวแดดเลย”
หลินฟู่อินมองเสี่ยวเป่าแล้วกล่าว “ในเมื่อน้องข้าชอบเล่นกลางแดด และยืนได้แล้วเช่นนี้ ก็คงต้องพาออกไปรับแดดเพิ่มเสียแล้ว ส่วนเ้าก็ไม่ต้องรีบร้อน อีกไม่นานเ้าเองก็จะยืนได้เช่นกัน”
เสี่ยวเป่าส่งเสียงในลำคอ แล้วจึงฝังร่างลงในอ้อมแขนของหลินฟู่อิน
“พี่น้องแท้ๆ นี่ช่างน่ารักยิ่งนัก” แม่นมฉินกล่าวด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มออกมา แล้วจึงลูบร่างอ้วนท้อนของเสี่ยวเป่า ก่อนหันไปกล่าวกับย่าฉิน “ท่านป้าฉิน ฤดูหนาวเช่นนี้นั้นแดดไม่แรง ข้าอยากให้ท่านพาเสี่ยวเป่าและเสี่ยวเป้ยออกไปรับแดดให้มากขึ้น”
แม่นมฉินพยักหน้ารับ แล้วบอกว่ารับทราบแล้ว
เช้าวันถัดมา หลินฟู่อินก็ถือกล่องยาไปขึ้นรถเทียมลาเพื่อเดินทางเข้าเมือง
ชาวบ้านบนรถเทียมลานั้นต่างก็ดีใจที่ได้พบกับหลินฟู่อิน แล้วพากันทักทายนาง ทุกวันนี้ เมื่อมีใครก็ตามที่้างานและมีร่างกายเหมาะสมในหมู่บ้านหูลู่ หลี่เจิ้งจะมารายงานให้นาง แล้วฟู่อินจึงจะแนะนำให้พวกเขาไปทำงานที่โรงผลิตของเถ้าแก่ฉิน หรือไปเป็พนักงานส่งอาหารที่ภัตตาคารหลิวจี้
หากเป็คนที่ไม่เหมาะสม เถ้าแก่หลิวก็จะพาพวกเขาไปแนะนำให้ภัตตาคารอื่นแทนเพื่อทำงานจิปาถะ และส่วนมากก็มักจะได้งานกัน
แม้เงินที่ได้จะไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าฤดูหนาวครั้งก่อนๆ ที่ได้แต่นั่งรับประทานอาหารอยู่บ้านอย่างว่างเปล่า
คนเหล่านี้จึงรู้สึกขอบคุณหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินตอบรับคำทักทายของพวกเขาอย่างอบอุ่น แล้วไถ่ถามถึงเื่ครอบครัวของพวกเขา
แต่ฉับพลันนั้นก็มีรถม้าหรูหราพุ่งออกมาจากนอกถนนหลัก รถม้านั้นวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ตัวคนขับเองก็ะโก้อง “หลบไป หลบไป!”
ลุงหลิวไม่ทันเห็น และแม้จะพยายามตอบสนองในชั่วพริบตาสุดท้ายเพื่อหลบ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
“อ๊า!”
‘ปัง!’
คนขับรถม้าคันหรูพยายามชักบังเหียนเพื่อให้ม้าหยุดแล้ว แต่ก็ยังชนเข้ากับรถเทียมลาอยู่ดี
โชคยังดีที่คนขับรถม้าตอบสนองได้เร็ว จึงไม่ได้ชนกันรุนแรงมากนัก
ชาวบ้านบางคนกระเด็นตกจากรถเทียมลา แต่โชคดีที่พวกเขาสวมเสื้อผ้ากันค่อนข้างหนา จึงไม่ได้าเ็อะไรกันมาก
ตัวรถม้าก็ไม่ได้บุบสลาย แต่ตัวม้านั้นลงไปกองกับพื้นพร้อมกับอาการาเ็
คนขับรถม้าถึงกับขนหัวลุกเมื่อเห็นอาการาเ็ของม้า จนยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก
เป็ตอนนี้เองที่สตรีวัยกลางคนแต่งกายดูดีคนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า และถามคนขับรถม้าด้วยคิ้วที่ขมวดย่นทันที “ตาเฒ่าเจียง นี่เกิดอะไรขึ้นกัน? สะใภ้เล็กกำลังจะคลอดแล้ว สิ่งที่เ้าควรทำคือการเร่งความเร็วให้ไปถึงโรงหมอในเมืองให้เร็วขึ้นนะ!”
“ไอ้คนไม่ได้เื่ ไอ้คนไม่ได้เื่!” คนขับรถม้ารีบทรุดตัวลงขอขมาบนพื้น “หะ ให้อภัยข้าด้วย เพราะเมื่อครู่รถวิ่งมาเร็วเกินไป มันจึงไปชนเข้ากับรถเทียมลาน่ะขอรับ…”
สตรีวัยกลางคนทำสายตาดุดัน แล้วจึงหันมามองพวกหลินฟู่อิน
“มีแต่พวกสามัญชนชั้นต่ำมิใช่หรือไงกัน กล้าดีอย่างไรถึงมาใช้ถนนร่วมกับท่านสะใภ้เล็กและนายน้อยซ่ง ทั้งยังสร้างปัญหาให้อีกเช่นนี้…”
หลินฟู่อินขมวดคิ้ว
คำพูดถือดีของสตรีวัยกลางคนผู้นี้ชวนให้นางนึกสงสัยขึ้นมาว่านี่เป็ภรรยาของขุนนางจากไหนกัน แต่รถม้านี้มีคนใกล้คลอดอยู่หรือ
“ชิวหมัวมัว หยุดเถอะ! ไปว่าร้ายชาวบ้านที่ไม่ได้รู้เื่อะไรเลยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” คราวนี้มีเสียงสตรีวัยกลางคนอีกเสียงดังขึ้น และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อ “สะใภ้เล็กใกล้จะคลอดแล้ว เราต้องรีบคิดหาทาง เพราะหากคลอดในรถม้านี้ขึ้นมาย่อมไม่เป็การดีแน่ และเราไม่มีแม้แต่หมอตำแยเสียด้วยซ้ำ!”
แล้วสตรีวัยกลางคนผู้นั้นจึงหันไปมองคนขับรถม้า คนขับรถม้าจึงรีบตอบ “ฮูหยิน รถม้าเราไปชนเข้ากับรถเทียมลาจนม้าาเ็ล้มลงกับพื้น แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี!”
ผู้โดยสารของรถม้าพากันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังขั้นมา “ลองไปดูสิว่าลายังปลอดภัยหรือไม่ หากมันยังปลอดภัยอยู่ ก็จ่ายเงินซื้อมันมาลากรถเรา แล้วรีบไปชิงหยางต่อ!”
หลินฟู่อินได้ยินเสียงอุทานดังขึ้น
การเดินทางจากที่นี่ไปถึงชิงหยางต้องใช้เวลา และการที่ไม่มีหมอตำแยช่วยพยุงอาการให้ในระหว่างทางเช่นนี้ ก็แปลว่าหากมีอะไรที่ทำให้ต้องล่าช้าลงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดอันตรายกับแม่และเด็กได้
นางจึงลงจากรถเทียมลาด้วยความช่วยเหลือจากพี่สาวร่วมหมู่บ้านผู้หนึ่ง
แล้วจึงเดินไปหยุดอยู่หน้ารถม้าในขณะที่สตรีวัยกลางคนนั้นกำลังจ้องคนขับรถม้าที่ตัวสั่นเทาไม่วางตา
“นางหนู คิดจะทำอะไรกัน?” สตรีวัยกลางคนผู้นั้นมองหลินฟู่อินอย่างไม่พอใจ
“ท่านมาชนจนมีคนกระเด็นตกจากรถเทียมลา ท่านก็ควรจะชดใช้ให้พวกเขาด้วยไม่ใช่หรือ?” หลินฟู่อินกล่าว
ใบหน้าของสตรีวัยกลางคนผู้นั้นบิดเบี้ยวทันที แล้วะโออกมา “เ้ากล้าดีอย่างไร พวกข้าน่ะเป็….”
“ชิวหมัวมัว ในเมื่อเราเป็ฝ่ายไปชน เราก็ต้องชดใช้ เ้าไปสอบถามเถอะว่ามีใคราเ็บ้าง หากมีก็จ่ายเงินชดใช้ไปเสีย” สตรีในรถม้าหยุดสตรีวัยกลางคนไว้
“รับสั่งเ้าค่ะฮูหยิน!” สตรีวัยกลางคนรับคำสั่ง แต่ยังคงจ้องหลินฟู่อินด้วยสีหน้าถมึงทึง
หลินฟู่อินเห็นนางเดินไปยังรถเทียมลาแล้ว นางจึงหันไปกล่าวกับคนในรถม้า “ฮูหยิน ข้าพอรู้วิชาแพทย์และมีประสบการณ์ทำคลอดมาก่อน ข้าได้ยินว่ามีคนท้องอยู่ในรถ ท่าน้าความช่วยเหลือใดหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้