การบำเพ็ญเซียนในสมัยอดีตกาล วิถีเรียบง่ายไร้สิ้นสุด!
ทว่าหลังเกิดมหันตภัย การบำเพ็ญวิถีเซียนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
“เดิมทีนั้นวิถีเซียนามีสิบระดับคือ แปรผัน เบิกเนตร หลอมรวม จิตบรรลุ เอกิญญา อุบัติิญญา เปิดฌาน แบ่งจิต ผสานกาย ข้ามวิบัติ...หลังจากระดับข้ามวิบัติก็คือระดับมหายาน เรียกได้ว่าจวนจะเป็เซียนแล้ว ถึงแม้จะล้มเหลวก็ยังมีโอกาสรอด สามารถเปลี่ยนมาบำเพ็ญวิถีเซียนพเนจรได้ เพียงแต่ทุกพันปีล้วนต้องเผชิญหน้ากับอัสนีทัณฑ์์ หากทนไหวก็จะอยู่อย่างอิสรเสรี หากทนไม่ไหวิญญาก็จะแตกสลายกลายเป็เถ้าธุลี”
จั๋วอวิ๋นเซียนบรรยายได้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งนัก อาจารย์เฒ่ามิอาจหาข้อบกพร่องได้แม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินคำว่าิญญาแตกสลายกลายเป็เถ้าธุลี นักเรียนในห้องต่างก็หน้าซีดขาว และเผยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวกันหมด แค่ลองจินตนาการก็รู้แล้วว่าการบำเพ็ญเซียนอันตรายในยุคโบราณนั้นอันตรายเพียงใด
“เพียงแต่...”
จั๋วอวิ๋นเซียนหยุดไปครู่หนึ่งแล้วค่อยพูดต่อ “วิถีเซียนาค่อนข้างซับซ้อนและอันตรายยิ่ง แต่เมื่อมาถึงยุคโบราณ การสืบทอดวิถีเซียนที่ขาดหายไปจึงค่อยๆ ลดลงเหลือเพียงแปดระดับคือ หลอมปราณ สร้างรากฐาน รวมแก่นแท้ อุบัติิญญา แปรผันจิต หลอมสุญญตา ผสานกาย มหายาน...ถึงแม้การบำเพ็ญตนจะง่าย แต่การบำเพ็ญวิถีเซียนกลับยากลำบากยิ่งขึ้น ผู้ที่ไม่มีรากิญญาก็มิอาจััประตูแห่งวิถีเซียนได้เลย ั้แ่นั้นเป็ต้นมา เซียนและปุถุชนก็ถูกแบ่งแยก ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีสถานะสูงส่งเป็เ้าผู้ปกครองสรรพสิ่ง ปุถุชนเปรียบได้แค่มดปลวก จมจ่อมอยู่ในทะเลความทุกข์”
“อืม กล่าวได้ไม่เลว ดูท่าเ้าจะเข้าใจวิถีเซียนาอยู่บ้าง”
อาจารย์เฒ่าพยักหน้าด้วยความชื่นชม ก่อนกล่าวให้กำลังใจว่า “เช่นนั้นเ้าลองบอกมาสิว่า ผู้บำเพ็ญเซียนากับผู้บำเพ็ญเซียนของแผ่นดินเซียนฉยงของเราต่างกันเช่นไร?”
“ศิษย์รู้ เื่นี้ศิษย์รู้!”
นักเรียนข้างโต๊ะของจั๋วอวิ๋นเซียนยกมือขึ้นทันใด จนดึงดูดสายตาของนักเรียนทั้งห้อง
คนผู้นี้มีนามว่า ‘เปาต้าถง’ รูปร่างอ้วนเตี้ย ทุกคนจึงชอบเรียกเขาว่าซาลาเปาเตี้ย แต่เปาต้าถงเป็คนที่มองโลกในแง่ดี นิสัยเป็มิตร ทั้งยังรู้หนักรู้เบา จึงมีความสัมพันธ์กับเพื่อนในชั้นเรียนไม่เลวนัก
ถ้าจั๋วอวิ๋นเซียนจะมีเพื่อนในชั้นเรียนนี้อยู่บ้าง คนคนนั้นก็น่าจะเป็เปาต้าถง
นิสัยเด็กหนุ่มนั่นชอบเป็จุดสนใจ
อาจารย์เฒ่ากลับไม่ได้ใส่ใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เปาต้าถง ในเมื่อเ้ากระตือรือร้นขนาดนี้ เช่นนั้นเ้ามาตอบแล้วกัน”
เปาต้าถงรีบลุกขึ้น เขามองไปทางจั๋วอวิ๋นเซียนด้วยความภูมิใจ ครั้งนี้ถึงคราวข้าแสดงฝีมือแล้ว!
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ใส่ใจนัก เพียงอมยิ้มแล้วนั่งลงกับที่
จากนั้นเปาต้าถงก็กระแอมก่อนกล่าวเสียงดัง “ผู้บำเพ็ญเซียนาให้ความสำคัญกับพร์และรากเซียนเป็อันดับแรก จากนั้นถึงจะเป็โชค สติปัญญา และจิตใจ แต่เซียนของแผ่นดินเซียนฉยงเรานั้น บำเพ็ญสามิญญา หลอมรวมเจ็ดดวงจิต กำเนิดปราณ รวมจุดชีพจร...ไม่จำเป็ต้องมีรากเซียน ทุกคนล้วนสามารถบำเพ็ญเซียนได้”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เปาต้าถงยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ “นอกจากนี้ผู้บำเพ็ญเซียนาส่วนมากล้วนเป็พวกเห็นแก่ตัว รู้เพียง่ชิงพลังจากฟ้าดิน แต่กลับไม่เคยตอบแทนสิ่งใด ขนาดเพียงเพื่อแย่งชิงสมบัติแห่งฟ้าดินแล้ว ถึงกับไม่แยแสความเป็ตายของสรรพชีวิต ทำให้ธารดาราดับสูญ ลมปราณแห่งฟ้าดินแตกสลาย...แต่แผ่นดินเซียนฉยงของเรานั้นแตกต่าง ทุกสิ่งล้วนถูกควบคุมด้วยกฎแห่งวิถีเซียน ถึงแม้จะเป็ยอดฝีมือวิถีเซียนก็มิอาจรังแกผู้อ่อนแอ หรือสังหารผู้บริสุทธิ์ได้”
‘กฎแห่งวิถีเซียน’ ที่เปาต้าถงกล่าวถึงคือกฎที่เก้าทวีปสามเกาะร่วมกันลงนาม โดยมี ‘ดวงตามหาสุญญตา’ คอยตรวจสอบ และมีพันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์เป็ผู้ลงโทษ จึงแทบจะไม่มีข้อบกพร่องใดๆ
หากจะอธิบายอย่างง่ายก็คือ นี่เป็โลกวิถีเซียนที่มีกฎคอยควบคุมดูแลอยู่ ผู้บำเพ็ญเซียนมีสถานะที่สูงส่งและชีวิตที่สุขสบายก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบความรุ่งเรืองและความสงบของแผ่นดินเซียนฉยงอยู่เสมอ มีหน้าที่ต่อกรกับชนเผ่าต่างถิ่น กำจัดปีศาจร้าย...ต่อให้เป็ผู้ที่กระทำผิดร้ายแรง ก็ต้องได้รับการพิพากษาตามกฎแห่งวิถีเซียนก่อน ถึงจะส่งไปแท่นปะาเซียนได้
ต้องยอมรับเลยว่าการมีข้อจำกัดเช่นนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนเกรงกลัวและระมัดระวังมากขึ้น ส่วนปุถุชนก็มีพื้นที่ให้ดำรงชีวิตต่อไป ผลักดันให้แผ่นดินเซียนฉยงไปสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรือง
อาจารย์เฒ่าพยักหน้า พลันหันไปถาม “จั๋วอวิ๋นเซียน แล้วเ้าคิดเช่นไรเล่า?”
“เื่นี้...”
จั๋วอวิ๋นเซียนที่คิดไม่ถึงว่าอาจารย์เฒ่าจะย้อนมาถามเขาจึงกล่าวไปตามตรง “จริงๆ แล้วเปาต้าถงกล่าวได้ถูกต้อง สมัยก่อนกับปัจจุบันไม่เหมือนกัน การบำเพ็ญเซียนก็ต่างกัน เพียงแต่ไม่ว่าเป็ผู้บำเพ็ญเซียนสมัยก่อนหรือปัจจุบันล้วนมีเป้าหมายเพื่อการบรรลุวิถีเซียน มีชีวิตนิรันดร์ หลุดพ้นจากวัฏสงสาร...ที่จริงแล้วเพียงเพราะสภาพแวดล้อมการบำเพ็ญต่างกัน ก็มิอาจบอกได้ว่าวิถีเซียนสมัยก่อนกับปัจจุบันใครดีใครร้ายกว่ากัน ทุกยุคสมัยย่อมมีหนทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบำเพ็ญตน”
ั้แ่ศักราชเซียนที่เก้าเป็ต้นมา ลมปราณฟ้าดินเบาบางลง การสืบทอดวิถีเซียนจึงยากจะดำเนินต่อไป
ทว่าเพื่อไขว่คว้าชีวิตนิรันดร์ บรรพบุรุษผู้มีปัญญาหลักแหลมของแผ่นดินเซียนฉยงที่เฝ้าสังเกตการณ์วิถีโคจรของดวงดาราจึงสร้างตราประทับวงล้อมปราณขึ้น ใช้สายเืเป็สื่อกลาง ใช้จิติญญาเป็รากฐาน หลอมรวมดวงจิตของสรรพสัตว์ ทลายขีดจำกัดร่างกาย
ั้แ่นั้นเป็ต้นมา วิถีเซียนก็แบ่งออกเป็เจ็ดระดับคือ หลอมิญญา ผสานจิต รวบรวมปราณ กำเนิดปราณ เปิดชีพจร กายาศักดิ์สิทธิ์ ปราณเทพ อีกทั้งแต่ละระดับล้วนมีพลังอัศจรรย์
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกันแล้ว วิถีเซียนาสอดคล้องกับ์และธรรมชาติมากกว่า สามารถเปิดประตูเซียน และมีอายุขัยอันยืนยาว
ทว่าแผ่นดินเซียนฉยงนั้นไม่มีลมปราณฟ้าดินมากพอให้เปิดประตูเซียนได้ จึงไม่อาจบำเพ็ญตนเป็เซียน...นี่ก็คือจุดอ่อนของผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนของแผ่นดินเซียนฉยง ถึงแม้ทุกคนจะบำเพ็ญเซียนได้ แต่กลับไม่มีใครบรรลุเป็เซียน
อาจารย์เฒ่าคิดไม่ถึงว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะมีมุมมองเช่นนี้ จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “จั๋วอวิ๋นเซียน สิ่งที่เ้ากล่าวมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ผู้บำเพ็ญเซียนานั้นทรงพลังมาก ถ้าไม่มีกฎควบคุม สิ่งนี้จะกลายเป็ต้นเหตุของความวุ่นวาย นี่คือความต่างของสมัยก่อนกับปัจจุบัน เซียนและปุถุชนอยู่ร่วมกันเพื่อความสงบสุขของโลก”
จั๋วอวิ๋นเซียนประสานมือคำนับ และกล่าวอย่างจริงจัง “ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ นับแต่อดีตถึงปัจจุบันล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยง เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเซียนานั้นทรงพลังมาก พลังทำลายล้างจึงรุนแรงตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการบำเพ็ญเซียนในยุคโบราณหาใช่เื่ง่าย ทั้งยังมีอันตรายจากภูตผีปีศาจร้าย เหล่าทวยเทพต่อสู้แย่งชิง และมีสภาพแวดล้อมเลวร้าย…พวกเราบำเพ็ญเซียนเพื่อชีวิตนิรันดร์ แต่พวกเขากลับบำเพ็ญเซียนเพื่อเอาชีวิตรอด จึงมีเป้าหมายต่างกัน“
ทุกคนในห้องเงียบกริบ มีนักเรียนไม่น้อยที่แสดงสีหน้าสงสัยออกมา
นักเรียนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนมีอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปี พร์ของพวกเขาอยู่ในระดับธรรมดา ปกติจะชอบหยอกล้อเล่นสนุก ไม่เอาจริงเอาจัง การบำเพ็ญตนเพียงแค่ให้ผ่านไปแต่ละวัน ไม่เคยกังวลเื่การใช้ชีวิตมาก่อน แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจากจั๋วอวิ๋นเซียนเป็ครั้งแรกพวกเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
ในอดีตกาลยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่ยังห่างไกลจากพวกเขามากเกินไป
……
“กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!“
เสียงระฆังเลิกเรียนดังขึ้น สถาบันเซียนเต้าจึงเริ่มคึกคักขึ้นมา
อาจารย์เฒ่าโบกมือปิดม่านแสงพลางกล่าวกำชับว่า “วันนี้เป็คาบเรียนสุดท้ายของพวกเ้าในสถาบันนี้ อีกสองเดือนจะถึงเวลาทดสอบกันแล้ว หวังว่าพอนักเรียนทุกคนโตขึ้น จะกลายเป็เสาหลักของวิถีเซียน ถึงแม้ไม่อาจบำเพ็ญเซียนบรรลุเต๋าได้ แต่ขอให้พวกเ้าตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ปฏิบัติต่อปุถุชนด้วยความเป็มิตร”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของอาจารย์เฒ่าเปลี่ยนไป “คนอื่นๆ เลิกเรียนได้ แต่จั่วอวิ๋นเซียน เ้าตามอาจารย์มา อาจารย์มีเื่จะพูดกับเ้า”
“เอ๋?”
จั๋วอวิ๋นเซียนที่เพิ่งลุกขึ้นยืนหยุดชะงัก
นักเรียนในห้องต่างมองด้วยสายตาสมน้ำหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดว่าคำพูดของจั๋วอวิ๋นเซียนผิดต่อหลักการ อาจารย์จึงคิดจะสั่งสอน
————————————
ด้านหลังสถาบันอันเงียบสงบ
เวลานี้อาจารย์เฒ่ากำลังจิบน้ำชาด้วยท่าทางอารมณ์ดียิ่งนัก
จั๋วอวิ๋นเซียนเดินเข้าไปคำนับ จากนั้นก็ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความเคารพ
อาจารย์เฒ่าพอใจกับท่าทีของจั๋วอวิ๋นเซียนมาก จึงกล่าวออกไปตรงๆ “จั๋วอวิ๋นเซียน บัดนี้ใกล้จะจบการศึกษาแล้ว เ้าตัดสินใจเื่อนาคตอย่างไรบ้าง?”
“อนาคตหรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนตะลึงงัน รู้สึกสับสนภายในใจ ตัวเขานั้นยากจะบำเพ็ญวิถีเซียน ในอนาคตจึงทำได้เพียงใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชน
แน่นอนว่าจากสถานะของจั๋วอวิ๋นเซียน ต่อให้เป็ปุถุชนก็ยังมีชีวิตที่ดีมาก ดังนั้นเขาไม่เคยกังวลกับอนาคตของตัวเองมาก่อน เื่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือเขาไม่อาจเหาะเหินเดินอากาศ มีชีวิตนิรันดร์ ไร้ข้อผูกมัด
จั๋วอวิ๋นเซียนครุ่นคิด จากนั้นกล่าวด้วยความลังเล “ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากจะเข้าสำนักเซียนเทียนซู”
บนทวีปไท่เซียน สถาบันเซียนเต้าถูกยกระดับขึ้นมา แทบจะตั้งอยู่ทุกหัวเมือง ต่อให้เป็สถาบันเซียนระดับสูงก็มีให้เห็นไม่น้อย แต่ในอาณาเขตราชวงศ์ต้าถัง สถาบันเซียนมีจำนวนนับนิ้วได้ และ ‘สำนักเซียนเทียนซู’ คือสถาบันอันดับหนึ่ง ทั้งยังเป็รากฐานความแข็งแกร่งของราชวงศ์ต้าถัง
“โอ้?”
อาจารย์เฒ่ารู้จักจั๋วอวิ๋นเซียนค่อนข้างดี เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็ไม่ได้แปลกใจ ทั้งยังถามว่า “เ้ารู้หรือไม่ สำนักเซียนเทียนซูมีเกณฑ์การรับศิษย์ที่เข้มงวดมาก ไม่เพียงต้องมีผลการเรียนยอดเยี่ยม พร์ก็ต้องอยู่ในระดับสูงด้วย เ้าขาดพร์มาแต่กำเนิด ยากที่จะบำเพ็ญเซียน หากคิดเข้าสำนัก คงทำได้เพียงสมัครในสถานะของศิษย์รับใช้ อีกทั้งยังต้องจ่ายศิลาิญญาไม่น้อย ตระกูลจั๋วแห่งตงหลิงของพวกเ้าไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าเป็ตระกูลเซียน อีกทั้งเ้าเป็ถึงนายน้อยของตระกูลจั๋ว ทำไมต้องลดสถานะตัวเองด้วย ไม่สู้ให้อาจารย์แนะนำเ้าไปสถาบันเซียนแห่งเมืองต้าหนิง สภาพแวดล้อมของที่นั่นนับว่าไม่เลวเลย”
ถึงแม้ในแผ่นดินเซียนฉยงทุกคนจะสามารถบำเพ็ญเซียนได้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญเซียน
หนทางการบำเพ็ญเซียนนั้นยากเย็นแสนเข็ญ หากไร้ซึ่งสติปัญญา ความกล้า และความเพียรพยายาม คงยากจะประสบความสำเร็จ เทียบกับการที่ลำบากไปครึ่งชีวิตก็ไม่ประสบความสำเร็จ มิสู้เรียนงานฝีมือ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้น…มีคนไม่น้อยที่เลือกจะใช้ชีวิตธรรมดา
ทว่าชีวิตธรรมดามิใช่ชีวิตที่จั๋วอวิ๋นเซียน้า ในใจของเขายังคงมีความหวังอยู่ตลอด
“ท่านอาจารย์ วิถีเซียนลึกลับยากหยั่งถึง ห้าศาสตร์วิถีเซียนกว้างใหญ่ไพศาล ถึงแม้ข้าจะไร้ซึ่งพร์ แต่ข้าสามารถเรียนรู้ห้าศาสตร์วิถีเซียนได้…”
จั๋วอวิ๋นเซียนคำนับพร้อมกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เซียนศักดิ์สิทธิ์ในอดีตเคยกล่าวว่า สามพันวิถี สุดทาง ไม่แน่ว่าข้าอาจจะหาเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเองได้ รากฐานของตระกูลกับสถาบันไม่อาจเทียบกับสำนักเซียน ข้าจึงอยากไปที่สำนักเซียนเพื่อลองดู”
ใช่แล้ว บนแผ่นดินเซียนฉยงไม่ได้มีเพียงการบำเพ็ญเซียนถึงจะมีชื่อเสียง ยังมีวิชาชีพมากมายที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คน อย่างเช่นห้าศาสตร์วิถีเซียนซึ่งได้แก่ โอสถ ศาสตราวุธ ควบคุม ค่ายกล และยันต์ ทุกศาสตร์ล้วน้าสั่งสมกำลังและบุคลากรเฉพาะทาง แต่ละศาสตร์มีวิธีใช้งานที่กว้างขวาง ทั้งยังมีเงื่อนไขรับศิษย์ไม่สูงนัก มีอุปกรณ์ช่วยเหลือมากมายที่ปุถุชนสามารถควบคุมเองได้
ในความคิดเห็นของอาจารย์เฒ่า จั๋วอวิ๋นเซียนถูกกำหนดให้มิอาจเป็เซียนแล้ว แต่จากนิสัยและความพยายามของเขา ย่อมสามารถประสบความสำเร็จในด้านอื่นได้แน่ และห้าศาสตร์วิถีเซียนก็เป็ตัวเลือกที่ไม่เลว
“ดี ในเมื่อเ้าตัดสินใจเช่นนั้น ในฐานะอาจารย์แล้ว ข้าควรสนับสนุนเ้า”
อาจารย์เฒ่าพยักหน้า เขาหยิบป้ายหยกขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของมอบให้จั๋วอวิ๋นเซียน “นี่คือป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซู หากใช้ป้ายนี้ เ้าจะสามารถเข้าสำนักได้โดยตรง ได้รับสิทธิ์เท่ากับศิษย์ทางการ”
“ท่านอาจารย์! นี่ท่าน…”
จั๋วอวิ๋นเซียนตกตะลึงทันที ในฐานะที่เป็นายน้อยของตระกูลวิถีเซียน เขารู้ว่าป้ายพิเศษสำนักเซียนล้ำค่าเพียงใด โดยเฉพาะป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซู
ทั่วทั้งแผ่นดินราชวงศ์ต้าถังมีป้ายพิเศษเช่นนี้ไม่เกินสิบอันเท่านั้น! และในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าถังมีสถาบันเซียนนับร้อย มีศิษย์หลายแสนคน…ต่อให้เป็ตระกูลวิถีเซียนก็ยากจะหาป้ายพิเศษเช่นนี้มาได้ ไม่เช่นนั้นจั๋วอวิ๋นเซียนคงไม่ตัดสินใจสมัครเป็ศิษย์รับใช้ของสำนักเซียนเทียนซูแล้ว
“ไม่เป็ไรหรอก”
อาจารย์เฒ่าหัวเราะและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อาจารย์เคยเข้าร่วมการบรรยายในสำนักเซียนเทียนซู ตอนนั้นมีสหายคนหนึ่งมอบมันแก่ข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าควรให้ใคร จึงเก็บมันเอาไว้มาตลอด…อาจารย์สอนอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว เ้าคือนักเรียนที่ขยันและพยายามมากที่สุดที่อาจารย์เคยพบมา อาจารย์หวังว่าเ้าจะมีอนาคตอันสดใส”
ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะเป็นายน้อยของตระกูลวิถีเซียน แต่ในยุควิถีเซียนเช่นนี้ หากไม่บำเพ็ญเซียนก็มิอาจยืนในจุดสูงสุดของโลกใบนี้ได้ จั๋วอวิ๋นเซียนไม่มีทางได้เป็ผู้นำตระกูลจั๋ว อย่างน้อยถ้ามีวิชาติดตัว อาจจะมีชีวิตที่อิสระได้บ้าง
“ขะ…ขอบคุณท่านอาจารย์!”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้ปฏิเสธความปรารถนาดีจากอาจารย์เฒ่า เขาฝืนกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ ก่อนจะคำนับด้วยความนอบน้อม
ความจริงแล้วเขารู้สึกอึดอัดใจมาตลอด ไม่มีใครเข้าใจข้อครหาและแรงกดดันที่เขาแบกรับ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่คิดจะหนีออกจากตระกูลจั๋วไปยังสำนักเซียนเทียนซูอันห่างไกล
อาจารย์เฒ่าลุกขึ้นประคองจั๋วอวิ๋นเซียน เขากล่าวด้วยความจริงใจว่า “เด็กน้อย เส้นทางการบำเพ็ญเซียนล้วนเต็มไปด้วยอันตราย บางครั้งพร์และสภาพแวดล้อมไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด โชค จิตใจ และความเพียร จะขาดสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้ ชีวิตธรรมดาอาจเป็เื่ที่ดีก็ได้ หวังว่าในอนาคตเ้าจะไม่เสียใจกับทางเลือกของตัวเอง…”
เสียใจอย่างนั้นหรือ? ไม่! ไม่มีทาง!
จั๋วอวิ๋นเซียนมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว เขาเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง ในเมื่อเขาเลือกเองแล้ว ก็จะไม่เสียใจและไม่อาจเสียใจได้
ผู้มีคุณธรรมไม่โศกเศร้า ผู้มีปัญญาไม่ลังเล ผู้มีความกล้าไม่หวาดกลัว
นี่คือคำพูดที่อาจารย์เฒ่ามอบให้ก่อนเขาจะออกเดินทาง อาจารย์เฒ่าหวังว่าเขาจะจดจำการสนับสนุนครั้งนี้ตลอดไป ไม่ลืมจุดเริ่มต้นและไม่เปลี่ยนปณิธาน
จั๋วอวิ๋นเซียนกุมป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซูเอาไว้ ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
