“ผมไม่ได้แหย่สักหน่อย” แม้ว่าซ่งหานเจียงจะยิ้มแต่ในรอยยิ้มนั้นก็ไม่ได้มีแววเยาะเย้ยเลยแม้แต่น้อย เขากลับดูจริงจังและเคร่งขรึมมาก “ผมว่าคุณเก่งจริงๆ นะ ลายมือก็สวยด้วย” ด้วยความเกรงว่าซย่านีจะไม่เชื่อเขาจึงอธิบายต่อ “ตอนแรกผมเคยสอนคุณมาก่อนก็จริงแต่ว่าตอนนั้นคุณก็ไม่ได้มีใจจะเรียนเลยสักนิด และตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์สอนคุณแค่ครั้งเดียว คุณก็สามารถเขียนได้แล้วเห็นชัดๆ เลยว่า คุณน่ะเป็คนที่สมองดีคนหนึ่ง อีกอย่างตอนนี้คุณก็อายุยี่สิบห้าแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเพิ่งเริ่มใช้ปากกาก็เขียนตัวหนังสือออกมาได้ดีเลย ผมคิดว่าคุณน่ะยอดเยี่ยมจริงๆ นะ”
“จริง...จริงหรือ?” ซย่านีมีสีหน้าสงสัย ทำไมเธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อสิ่งที่ซ่งหานเจียงพูดเท่าไหร่เลยล่ะ?
ทว่าซย่านีก็รู้จักซ่งหานเจียงเป็อย่างดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพูดโกหกสักครั้ง หรือว่าเธอเองจะมีพร์ในการเรียนจริงๆ? แม้ว่าซย่านีจะกล้าคิดกล้าทำธุรกิจ พอเปลี่ยนเป็เื่การเรียนแล้ว เธอกลับรู้สึกเป็กังวลอยู่ในใจจริงๆ แต่คนที่ฉลาดมากอย่างซ่งหานเจียงยังบอกว่าเธอเป็คนมีพร์ หรือบางทีเธออาจจะไม่ได้แย่จริงๆ ก็ได้?
ซ่งหานเจียงตอบอย่างใจเย็น “จริงสิ”
และนี่ก็เป็ครั้งแรกที่ซ่งหานเจียงโกหก
ซ่งหานเจียงเป็คนฉลาดั้แ่เด็ก เขาเริ่มเรียนการอ่านหนังสือตอนอายุสองขวบพอสามขวบก็สามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองได้แล้ว หากเอาตัวเขาไปเป็มาตรฐานล่ะก็ คนที่ฉลาดและมีพร์ในการเรียนจนทำให้เขาชื่นชมจากใจจริงได้นั้น ถ้าหากค้นหาทั่วทั้งประเทศเกรงว่าคงนับได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ทว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ง่ายเลยกว่าภรรยาของเขาจะมีความมุ่งมั่นปรารถนาในการเรียนเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางขัดขวางเธอแน่ๆ อีกทั้งเขายังจะสนับสนุนเธออย่างเต็มที่อีกด้วย
“ซย่านี อันที่จริงแค่คุณตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาก็ถือว่าคุณได้เริ่มก้าวแรกแล้ว ตอนนี้คุณเริ่มได้พัฒนาตนเองครั้งใหญ่ อีกอย่างคุณยังรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวคุณได้ดี คุณยอมลดทิฐิลงแล้วขอร้องให้เด็กๆ ช่วยสอนหนังสือ เพียงแค่คุณมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนเช่นนี้ ผมก็ถือว่ามันคุ้มค่ามากแล้ว”
ซย่านีพูดในใจ ‘ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปลูกฝังความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก เธอก็แค่อยากกระตุ้นแรงจูงใจในการเรียนของพวกเด็กๆ ก็แค่นั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเข้าใจผิดไปมากขนาดนี้’
“คุณเริ่มจากการเรียนตัวอักษรจีนก่อน รอจนจำตัวอักษรจีนได้มากขึ้นแล้ว ผมค่อยแนะนำหนังสือน่าอ่านให้คุณ หากคุณอ่านหนังสือมากๆ ก็จะพบว่าโลกในหนังสือนั้นกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทรทำให้ผู้คนดื่มด่ำไปกับมันอย่างไม่รู้ตัว มีคนเคยกล่าวไว้ว่าหนังสือคือบันไดแห่งความก้าวหน้าของมนุษย์ตราบใดที่คุณยืนหยัดที่จะอ่านมันต่อไป คุณก็จะยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ”
ซ่งหานเจียงเป็คนพูดไม่เก่งนักแต่เพื่อช่วยให้ซย่านีกระตือรือร้นที่จะขวนขวายความก้าวหน้า เขาจึงพยายามใช้สมองในการสรรหาคำพูดเพื่อให้กำลังใจเธอ
ครั้งสุดท้ายที่ซ่งหานเจียงกับซย่านีพูดคุยกันมากขนาดนี้ก็คือปีที่พวกเขาเพิ่งจะแต่งงานกัน หัวข้อสนทนาในตอนนั้นก็เหมือนกับในตอนนี้คือการโน้มน้าวเื่การเรียนหนังสือแต่ตอนนั้นซย่านีปฏิเสธเขาท่าเดียว ทำให้เขาน่าจะผิดหวังในตัวของซย่านีมาก เขากลายเป็คนที่เริ่มพูดน้อยลงเรื่อยๆ บางครั้งพวกเขาสองคนคุยกันวันหนึ่งยังไม่ถึงยี่สิบคำเลยด้วยซ้ำ
พอเห็นซ่งหานเจียงเป็เช่นนี้ ซย่านีก็อดคิดไม่ได้ว่าความ้าลึกๆ ของซ่งหานเจียงก็คือการมีภรรยาที่มีเป้าหมายร่วมกันและพูดจาภาษาเดียวกันหรือเปล่านะ?
มิน่าเล่าเขาถึงเก็บเหวินยางยางเอาไว้ในใจมาโดยตลอด
ซย่านีถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถาม “เช่นนั้นฉันจะเข้ามหา’ลัยได้ไหม?”
ซ่งหานเจียงนิ่งชะงักไปชั่วครู่ก่อนเขาจะพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ได้แน่นอน!” การมีเป้าหมายเป็สิ่งที่ดี เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็จะมีแรงรูงใจในการเรียน ซ่งหานเจียงกล่าวต่อว่า “ถ้าคุณตั้งใจเรียน มุ่งมั่น และอดทนต่อการเรียนไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีสักวันที่คุณสอบติดมหาวิทยาลัยแน่ๆ” ทว่าซ่งหานเจียงกลัวว่าการตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไปจะทำให้ซย่านีผิดหวังั้แ่ครั้งแรก เขากล่าวเสริม “แน่นอนว่าคุณสามารถตั้งเป้าหมายเล็กๆ ไว้ก่อนก็ได้เช่น จำคำศัพท์ได้กี่คำแล้วและสามารถทำโจทย์แบบไหนได้บ้าง รอจนคุณทำสำเร็จแล้วก็สามารถตั้งเป้าหมายต่อไปได้...ค่อยๆ ขยับไปทีละก้าว อย่าได้รีบร้อน จะต้องมีสักวันที่คุณสอบติดมหาวิทยาลัย”
“ใช่แล้ว แม่คะ แม่จะต้องทำได้แน่” ซ่งวั่งซูให้กำลังใจซย่านีเหมือนอย่างพ่อของตน เธอเองก็กลัวว่าซย่านีจะยอมแพ้กลางทางเหมือนกัน
พอกล่าวจบซ่งวั่งซูก็สะกิดซ่งตงซวี่ ซ่งตงซวี่เพิ่งรู้ตัวจึงค่อยๆ พยักหน้า “อืม ใช่แล้ว! แม่จะต้องสอบติดมหาวิทยาลัยได้แน่” อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามหาวิทยาลัยคืออะไร
เมื่อซย่านีถูกจ้องด้วยสายตาคาดหวังจากผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กอีกสองคนตรงหน้า จู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งขึ้นมา ยังดีที่เธอไม่ปฏิเสธแรงกดดันนั้น ทั้งยังเปลี่ยนมันเป็แรงจูงใจในการเรียนรู้อีกด้วย ซย่านีกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉันจะต้องพยายามอย่างแน่นอน”
“งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า หนูกับน้องจะช่วยกันสอนแม่เรียนหนังสือ ั้แ่วันจันทร์ถึงวันเสาร์พอวันอาทิตย์พ่อกลับบ้านมาก็ค่อยให้พ่อมาสอนแม่อีกที” ซ่งวั่งซูหันไปถามซ่งหานเจียง “ได้ไหมคะพ่อ?”
ซ่งหานเจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสอนภรรยาของตน เพียงแต่เขารู้สึกว่าถ้าภรรยาของเขาอยากเรียนรู้อย่างเป็ระบบจริงๆ มันคงจะดีกว่าไหม หากให้ซย่านีไปลงเรียนภาคค่ำแทนส่วนเด็กๆ ทั้งสองคนค่อยมาสอนการอ่านและการคำนวณอย่างง่ายให้ซย่านีก็พอ ทว่าภายหลังการเรียนของซย่านีจะยากมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาสองคนคงสอนแม่ของตนเองต่อไม่ได้แล้ว
“ได้ไหมคะพ่อ” ซ่งวั่งซูแทบจะรอคำตอบจากซ่งหานเจียงไม่ไหวจึงดึงแขนเสื้อของบิดาไปมา
มีใครบ้างที่จะปฏิเสธการออดอ้อนจากลูกสาวตัวเองได้ลง?
ซ่งหานเจียงตอบอย่างตะกุกตะกัก “ได้ๆๆ ได้แน่นอน”
ซย่านีพูดไม่ออก “…” ตอนนี้เธอถูกลูกสาวจัดแจงให้ขนาดนี้เลยหรือ? ไม่มีใครถามความคิดเห็นของเธอเลยสักคำ?
การให้ลูกชายและลูกสาวทั้งสองช่วยกันสอนหนังสือเธอ นั่นก็เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก หากให้ซ่งหานเจียงสอนเธอ... เธอไม่ได้้าพัฒนาความสัมพันธ์กับซ่งหานเจียงซะหน่อย หากเป็เช่นนี้มิใช่เป็การสิ้นเปลืองทรัพยากรอัจฉริยะระดับประเทศหรอกหรือ?
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความหวังของลูกสาว เธอเองก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธออกมาได้เช่นกัน
เอาเถอะ
ซ่งวั่งซูปรบมือ “งั้นก็เริ่มั้แ่วันนี้เลย! วันนี้เป็วันอาทิตย์พอดีถึงตาของพ่อที่ต้องสอนแม่แล้วค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนๆๆๆ” ซย่านีโบกมือรัวๆ จากนั้นก็ชี้ไปยังกระดาษบนโต๊ะ “คุณยังต้องคัดลอกกระดาษนั่นให้ลูกชายก่อน นี่เป็การบ้านของหยางหยางพรุ่งนี้ต้องส่งแล้วด้วย ส่วนเื่การเรียนของฉันเอาไว้พวกเราค่อยมาคุยกันสัปดาห์หน้าเถอะ”
ซ่งหานเจียงขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “เื่เรียนจะเลื่อนออกไปได้อย่างไร? คุณอายุเท่านี้เพิ่งจะมาเริ่มต้นเรียนหนังสือ เดิมทีก็น่าจะต้องใช้เวลาเรียนมากกว่านักเรียนคนอื่นๆ อยู่แล้ว หากคุณยังผลัดวันประกันพรุ่งแบบนี้ เมื่อไหร่จะสอบติดมหาวิทยาลัยเล่า?” เขารีบหาสมุดแบบฝึกหัดออกมาจากกระเป๋าของซ่งตงซวี่ จากนั้นก็หยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน “แผ่นการบ้านของชั้นป.1 นั้นง่ายมาก คำถามก็มีไม่มาก ผมเป็คนที่คัดลอกหนังสือเร็วอยู่แล้ว ขอเวลาแค่สิบกว่านาทีผมทำมันเสร็จแน่นอน”
ซย่านีมีสีหน้าอึ้งๆ “นี่...เร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
ซ่งหานเจียงพยักหน้าตอบ
ดูท่าเธอคงหนีไม่พ้นเสียแล้ว เช่นนั้นก็สู้ให้หัวชนฝาไปเลยก็แล้วกัน
ซย่านีถอนหายใจอีกครั้ง เธอไม่อยากให้ซ่งหานเจียงสอนหนังสือเธอเลยจริงๆ ด้วยระดับการศึกษาในปัจจุบันของเธอแล้ว ไหนเลยจะกล้าใช้ซ่งหานเจียงที่เป็ถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกาจให้มาสอนหนังสือได้กันเล่า? อีกอย่างนะ หากให้ซ่งหานเจียงสอน เขาก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าระดับพัฒนาการในการเรียนของคนธรรมดาๆ น่ะเป็แบบไหน? หากเธอเรียนรู้และเข้าใจอะไรๆ ช้ากว่าปกติ เขาจะคิดว่าเธอโง่หรือเปล่านะ?
ไหนๆ ก็จะหย่ากันอยู่แล้ว เธอจะไม่รักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้า ‘สามีเก่า’ สักหน่อยเลยหรือ?
ซย่านีรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เธอกล่าวตะกุกตะกัก “งั้น...งั้นคุณคัดลอกการบ้านของลูกไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปซักผ้าอ้อมให้ซิงซิง ถ้าคุณคัดลอกเสร็จก็เรียกฉันนะคะ”
“อืม คุณทำธุระก่อนเถอะ”
ซ่งหานเจียงตอบรับหนึ่งคำ เวลานี้เขาเริ่มคัดลอกแผ่นการบ้านของซ่งตงซวี่แล้ว ชายหนุ่มเขียนตัวหนังสือเร็วมากและปากกาของเขาก็ลื่นไหลไปดั่งั
