“จะผิดพลาดไปได้อย่างไร? การสอบระดับเมืองสนามแรกเฉิงชิงก็ได้อันดับที่หนึ่ง บัดนี้คว้าตำแหน่งอั้นโส่วประจำเมืองก็เป็การแสดงความสามารถตามปกติ เดิมทีเขาก็เป็บัณฑิตอั้นโส่วประจำอำเภออยู่แล้ว!”
“มิผิด พวกเราล้วนรู้จักเฉิงชิง…”
ผู้เข้าสอบของอำเภอหนานอี๋อดไม่ได้ที่จะแนะนำเฉิงชิงให้แก่ผู้อื่นสักครั้ง
ผู้มีปณิธานไม่ได้อยู่ที่อายุว่ามากเพียงใด ผู้ที่ไร้ปณิธานอาจจะมีอายุยืนยาวเป็ร้อยปีแต่อยู่อย่างว่างเปล่า
อายุไม่ใช่ปัจจัยในการจำกัดความสำเร็จของบุคคล ในยุครณรัฐ[1] กานหลัววัยสิบสองปีถูกส่งไปเป็ทูตที่แคว้นจ้าว อายุสิบสองปีก็ถูกฉินอ๋องแต่งตั้งเป็ซั่งชิง ตำแหน่งเทียบเท่ากับอัครมหาเสนาบดี... เมื่อเทียบกับเฉิงชิงที่อายุสิบสี่ปีเพิ่งจะได้ตำแหน่งอั้นโส่วประจำเมือง ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนรับได้ยากขนาดนั้น
เฉิงชิงเองก็ค่อนข้างคาดไม่ถึง
บทความวิจารณ์การเมืองของสนามที่สามของนาง ต้องรสนิยมของหัวหน้าผู้คุมสอบเ้าเมืองอวี๋สินะ!
อ้อ แม้อวี๋ซานจะเป็ไอ้สารเลวจอมเผด็จการ แต่เ้าเมืองอวี๋กลับเป็ขุนนางดุจบิดามารดรที่เที่ยงตรง เห็นแก่หน้าของเ้าเมืองอวี๋ หลังจากนี้นางจะยอมให้อวี๋ซานก็ได้
เมื่อยืนยันซ้ำไม่มีข้อผิดพลาดแล้วว่าเฉิงชิงได้รับตำแหน่งบัณฑิตอั้นโส่วประจำเมือง เฉิงเหิงก็ได้รับความะเืใจอย่างหนัก ในที่สุดเด็กรับใช้ของเขาก็เบียดมาหาด้วยใบหน้าหมดกำลังใจ
“นะ นายน้อย ท่านหล่นจากรายชื่อแล้วขอรับ…”
เสียงของเด็กรับใช้เบามาก เฉิงเหิงไม่ได้ยินไปชั่วครู่ “เ้าพูดว่าอะไร? พูดใหม่ให้เสียงดังขึ้นอีกครั้งซิ!”
“ท่านหล่นจากรายชื่อแล้ว! ข้าน้อยหาบนรายชื่อตั้งนาน ไม่มีชื่อของนายน้อยเลยขอรับ!”
สีหน้าของเด็กรับใช้แทบร้องไห้อยู่รอมร่อ
เฉิงเหิงเองก็รู้สึกคล้ายโดนสายฟ้าห้าสายฟาดใส่หัว
“เป็ไปไม่ได้! ข้าอ้างอิงถ้อยคำจากในคัมภีร์ ทุ่มเทสุดกำลังในการเขียนจนได้บทความที่งดงามบทหนึ่ง เฉิงชิงได้เป็บัณฑิตอั้นโส่วประจำเมือง ข้ากลับหล่นจากรายชื่อ นี่มันเหตุผลอะไรกัน?”
อา นายน้อย เ้าเอ่ยถามความในใจของกลุ่มผู้เข้าสอบที่หล่นจากรายชื่อออกมาแล้ว
พวกเขาเองก็รู้สึกว่าตนเองสอบได้ดีมาก กลับหล่นจากรายชื่อเสียอย่างนั้น
เมื่อมองเฉิงชิงอีกที น้องชายตัวน้อย เ้าอายุน้อยถึงเพียงนี้ ค่อยสอบช้าอีกสองปีก็ได้นี่ เฮ้อ!
ถึงทุกคนจะคิดหลอกตัวเองว่าโชคไม่เข้าข้างก็ไร้ประโยชน์ ความรู้ยังสู้คนอายุน้อยไม่ได้ พวกเขาโง่หรือพากเพียรไม่เพียงพอกันแน่?
อนิจจา สงสัยจะเป็ทั้งสองเหตุผล...
ผู้เข้าสอบที่สอบตกล้วนโศกเศร้าแสนสาหัส ยังดีที่เป็เพียงการสอบระดับเมือง ปีนี้ไม่ผ่าน ปีหน้าก็ยังสอบต่อได้ ถึงจะผิดหวัง แต่ภายใต้สายตาจ้องมองของผู้คนก็ไม่อาจเสียกิริยา
เฉิงเหิงรับไม่ได้
เขารู้สึกว่าเฉิงชิงกำลังยิ้มเยาะเขาอยู่ พี่น้องร่วมตระกูลกำลังยิ้มเยาะเขาอยู่ ช่างน่าอับอายเหลือทน ปากก็ะโ “บทความวิจารณ์การเมืองของข้าเขียนได้ดียิ่ง” แล้วเบียดกลุ่มคนวิ่งออกไป เด็กรับใช้รีบไล่ตามไป แม้แต่รองเท้าก็หลุดไปข้างหนึ่ง
“เฮ้ย มีคนเป็บ้าไปอีกคนแล้ว!”
ฝูงชนถอนหายใจ
ทุกปีล้วนมีคนเป็บ้าเพราะการสอบเข้ารับราชการ ไม่ขาดผู้ที่เป็เช่นเฉิงเหิง ทุกคนแม้แต่ความ้าที่จะชมเื่สนุกก็ล้วนมีไม่เท่าไร
เหล่าบุตรหลานตระกูลเฉิงใบหน้าร้อนผ่าว
์ เฉิงเหิงเกินไปแล้วจริงๆ !
ทุกคนล้วนแซ่เฉิง ในใจมีความคิดแข่งขันกัน ไม่ต้องะโเสียงดังบอกคนนอกจะได้ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้นยังแพ้แล้ว
การแสดงออกเช่นนี้แสดงให้เห็นว่ารับความพ่ายแพ้ไม่ได้
เสียหน้ายิ่งกว่าที่แพ้แก่เฉิงชิงอย่างเรียบง่าย!
เฉิงชิงเมื่อประสบกับเื่น่าปีติยินดี อารมณ์ก็เบิกบาน ไม่ได้ตีกระหน่ำซ้ำเติมหมาที่ตกน้ำ ทั้งยังไม่ตระหนี่ที่จะแสดงความใจกว้างของตน ขอร้องให้บ่าวรับใช้ของบ้านรองช่วยไปตามหาเฉิงเหิงเสียหน่อย
“ญาติผู้พี่เหิงรับความะเืใจไม่ได้ชั่วครู่ คำพูดและท่าทางจึงผิดแปลกไป ข้าไม่โกรธญาติผู้พี่เหิงแล้ว ต้องหาตัวเขาให้พบให้ได้ ข้ากลัวว่าเขาจะเสียกิริยาไปชั่วขณะจนทำเื่โง่อะไรออกไป!”
บ่าวรับใช้ของบ้านห้าฟังคำสั่งแล้วก็ไปหาคน
เหล่าบุตรหลานร่วมตระกูลต่างยอมรับเฉิงชิงแล้ว ชมเฉิงชิงว่ามีความอดกลั้น
เฉิงชิงโบกมือ “หลังจากนี้หากญาติผู้พี่เหิงพุ่งเป้ามาที่ข้า ข้าก็จะตีคืนอย่างไม่เกรงใจเช่นเดิม แต่ไม่ว่าพวกเราสองคนจะทะเลาะกันอย่างไร นั่นก็เป็ความขัดแย้งภายในที่อยู่หลังประตู ด้านนอกพวกเราตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋เป็หนึ่งเดียวกัน พี่น้องร่วมตระกูลยังฉุดลากขากัน คนนอกจะไม่เห็นเป็เื่ตลกหรือ?”
เฉิงชิงมายังแคว้นเว่ยหนึ่งปีแล้ว ทั้งยังเข้าใจความสำคัญของตระกูล
ปิดประตูแล้วตีกันได้ตามใจชอบ แต่เมื่อออกไปด้านนอกคือครอบครัวเดียวกัน ก่อนหน้าที่นางจะทะลุมิติมา ครอบครัวที่อยู่ที่นั่นก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แม้จะมีเบื้องลึกเื้ั แต่ก็เทียบไม่ได้กับตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ แต่นั่นก็เป็เศรษฐีใหม่ที่มีชื่อเสียง เมื่อมาถึงรุ่นเฉิงชิง ก็โยนทิ้งความเชยของเศรษฐีใหม่ไปแล้ว
ตระกูลเฉิงก่อนหน้านี้ กับตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ในยามนี้ โดยเนื้อแท้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างแต่อย่างใด
ทรัพยากรในตระกูลย่อมต้องแก่งแย่งกัน แต่ไม่อาจร่วมมือกับคนนอกกดขี่บุตรหลานในตระกูล ไม่ว่าจะเป็ผู้นำบ้านใหญ่ของตระกูลเฉิงก่อนหน้า หรือนายท่านห้าในตอนนี้ก็ล้วนไม่ยินยอมที่จะเห็นภาพเช่นนั้น
นายท่านห้าไปเยี่ยมเยียนสั่งสอนนางจู เป็เพราะนางจูละเมิดขีดจำกัดของนายท่านห้าแล้ว
เมื่อเข้าใจตรงจุดนี้ เฉิงชิงก็ค่อนข้างรู้ขอบเขตแล้ว
กล่าวถ้อยคำดีๆ ไม่กี่ประโยคก็ไม่เสียหายอะไร หลังจากนี้ค่อยจัดการเฉิงเหิง ไม่มีผู้ใดจะวิจารณ์นางได้
เฉิงชิงยิ้มกริ่มรับคำชมจากฝูงชน ตลอดทางถูกรุมล้อมกลับไปยังเรือนหลังน้อยที่พักอาศัยอยู่ บ่าวรับใช้ของบ้านห้าพยายามอย่างหนัก ในที่สุดก็พบตัวเฉิงเหิงแล้ว เพียงแต่เฉิงเหิงไม่ยินยอมที่จะพบหน้าพวกเฉิงชิง แอบอยู่ในห้องไม่ออกมา
บุตรหลานตระกูลเฉิงที่มาร่วมการสอบระดับเมืองครั้งนี้ นอกจากเฉิงเหิงที่ประมาทจนเสียการใหญ่แล้ว ทุกคนรวมถึงเฉิงชิงล้วนสอบผ่านการสอบระดับเมืองกลายเป็ ‘บัณฑิตถงเซิง’
ตอนนี้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสองตัวเลือก หนึ่งคืออยู่ที่เมืองเซวียนตู สงบจิตสงบใจทบทวนตำรารอการสอบระดับสำนักศึกษาในเดือนห้า สองคือเก็บสัมภาระกลับอำเภอหนานอี๋ ผ่านระยะเวลาอันสั้นแล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง
“เซวียนตูก็คือเมืองหลวงของมณฑล ใต้เท้าราชบัณฑิตพำนักอยู่ที่นี่ การสอบระดับสำนักศึกษาก็เริ่มที่เมืองเซวียนตูก่อน พวกเราเดินทางไปมาก็ยากลำบากมาก ไม่สู้อยู่ที่นี่เตรียมตัวสอบ…”
พี่ชายร่วมตระกูลกล่าวพลางมองไปทางเฉิง
เห็นชัดว่าอายุของเฉิงชิงน้อยสุด แต่ก็ราวกับมีน้ำหนักมากที่สุด แม้พี่ชายร่วมตระกูลจะมีอายุมากกว่า จิตใต้สำนึกก็ยังขอความเห็นของเฉิงชิง
เฉิงชิงคิดแล้วก็ยังคงตัดสินใจต่างกัน
“ตัวข้ากลับเอียงไปทางกลับหนานอี๋ พวกเราทบทวนตำราด้วยตนเอง ไหนเลยจะสะดวกเท่ากับอยู่ที่สถานศึกษา เมื่อพบปัญหาก็สามารถขอคำชี้แนะจากอาจารย์ทุกท่านและเหล่าอาจารย์ศิษย์พี่ได้ตลอดเวลา แม้จะห่างจากการสอบระดับสำนักศึกษาไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่ใช้เวลาอันสั้นนี้ศึกษาขจัดความสงสัย บางทีอาจสามารถยกระดับความรู้ของพวกเราได้อีกหนึ่งขั้น”
นี่ก็ใช่
ปิดประตูสร้างรถ[2] ผู้ใดจะมาชี้แนะผู้ใด?
ระดับของทุกคนไม่ค่อยแตกต่างกัน เมื่อพบข้อโต้แย้งในคัมภีร์ที่ไม่เข้าใจ นั่นก็จะเป็การเสียเวลาแล้ว!
เฉิงชิงเห็นหลายคนคล้อยตามจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมสำทับเข้าไปอีก
“ยิ่งไปกว่านั้นเซวียนตูก็เป็เมืองหลวงของมณฑล ไม่รู้ว่าจะครึกครื้นกว่าหนานอี๋ที่เป็พื้นที่เล็กกี่เท่า อยู่ที่หนานอี๋บ้านเดิม แรงดึงดูดที่พวกเราจะเผชิญก็น้อย ที่สถานศึกษามีอาจารย์คอยกำกับ ที่บ้านมีผู้าุโคอยกวดขัน ความคิดไม่กล้าฟุ้งซ่าน หากอยู่ที่เนี่ วันสองวันสามารถไม่ออกไปหาความสำราญ สิบวันครึ่งเดือนก็อาจทนไม่ไหว... พี่ชายร่วมตระกูลทุกท่าน ข้าถามตนเองแล้วพบว่าไม่มีสมาธิขนาดนั้น ดังนั้นจึงคิดจะกลับไปหนานอี๋!”
คำพูดนี้ของเฉิงชิงกล่าวได้ว่าเป็คำกล่าวจากใจ แววตาที่ฝูงชนมองนางสนิทสนมขึ้นกว่าแต่ก่อน
พี่ชายร่วมตระกูลที่เลือกอยู่เตรียมสอบที่เซวียนตูก็ประสานมือคำนับแสดงความขอบคุณ
“ผิดที่ข้าอายุมากกว่าเ้าตั้งหลายปีกลับไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ น้องเล็ก เ้าไม่เพียงมีความรู้ คุณธรรมก็ยิ่งทำให้พี่ชื่นชม เดิมเ้าไม่ต้องบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกข้าก็ได้!”
ก่อนหน้านี้ยังเรียกชื่อเต็มเฉิงชิง บัดนี้เปลี่ยนคำเรียกขานเป็ ‘น้องเล็ก’ อย่างตรงไปตรงมาแล้ว
ถึงอย่างไรในกลุ่มคน เฉิงชิงก็อายุน้อยที่สุด เรียกน้องเล็กก็ไม่นับว่าผิด
คนในตระกูลย่อมมีผู้ที่อายุน้อยยิ่งกว่าเฉิงชิง แต่คนที่มาเข้าร่วมการสอบระดับเมืองด้วยกันนั้นมีมิตรภาพที่ไม่เหมือนใครแล้ว ในสายตาของพวกเขากลับมองเห็นเฉิงชิงเพียงคนเดียว
เฉิงชิงก็คือน้องชาย น้องเล็กก็เฉพาะเจาะจงถึงเฉิงชิง ในคำเรียกขานแฝงความหมายสนิทสนมยากจะเอ่ยด้วยถ้อยคำเอาไว้
เฉิงเหิงบุกมาราวกับพายุน้อย
“พวกเ้าจะไปก็ไป แต่ข้าจะอยู่ที่เซวียนตู มีบางคนสมาธิของตนเองไม่พอ ยังสงสัยผู้อื่นจะเรียนแย่ ข้า้าอาศัยอยู่ที่ตัวเมือง!”
[1] ยุครณรัฐหรือจ้านกั๋ว (475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) คือยุคที่ 7 แคว้นอันได้แก่ แคว้นฉิน แคว้นหาน แคว้นเว่ย แคว้นจ้าว แคว้นฉี แคว้นฉู่ และแคว้นเยียน ทำศึกากันเพื่อ่ชิงความเป็ใหญ่
[2] ปิดประตูสร้างรถ หมายถึงเก็บตัวยึดเอาความคิดของตัวเองเป็หลัก ไม่สนใจโลกภายนอก
