บนเนินเขาโดดเดี่ยว
ไป๋หยุนเฟยก้มหน้ามองแผนที่ในมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ขมวดคิ้วพึมพำกับตนเอง
“อืม เส้นคดเคี้ยวนี่แทนเมืองขนาดเล็กกระมัง? สมควรเป็เช่นนั้น วงกลมนี้หมายถึงูเากระมัง? ไม่ผิดแน่ เส้นนี้แทนแม่น้ำ เส้นหนานี้แทนถนนใหญ่...” ไป๋หยุนเฟยกล่าวพร้อมกับผงกศีรษะ ขณะเดียวกันดวงตาก็ขยับมองแผนที่ช้าๆ
หลังจาก‘ศึกษา’แผนที่เช่นนี้อยู่เนิ่นนาน ใบหน้าไป๋หยุนเฟยยิ่งมายิ่งปั้นยาก สุดท้ายใบหน้ากลับกลายเป็ม่วงคล้ำด้วยความโกรธกริ้ว มันขว้างแผนที่ในมือลงพื้นอย่างดุดันก่อนจะเหยียบย่ำพลางก่นด่าเสียงดัง
“มารดามันเถอะ! ไฉนข้ายังหลงได้อีก?!?!”
ด้วยโทสะที่ยังไม่สลายคลาย ไป๋หยุนเฟยจึงเหยียบขยี้แผนที่อีกสองสามคราจึงค่อยเงยศีรษะหันมองไปรอบด้าน เมื่อเห็นูเาป่าไม้ที่กว้างใหญ่ราวกับไร้ขอบเขต มันก็แทบจะร่ำไห้ออกมา
“ดูเหมือนการเสาะหาผู้อื่นมาสอบถามเส้นทางยังคงเชื่อถือได้มากกว่า...”
ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะอย่างขุ่นข้องพลางเดินทางไปยังทิศเหนือต่อไป ยามนี้ทิศทางเดียวที่มันทราบคือ‘ทิศเหนือ’นี้...
ยามนี้ผ่านไปแล้วห้าวันนับจากที่มันออกจากเมืองไป๋เฟิง ไป๋หยุนเฟยกลับไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าตนเองพลัดหลงเข้ามายังพื้นที่เปลี่ยวร้างปราศจากสัญญาณของผู้คนนี้ได้อย่างไร ยิ่งมันมุ่งหน้าไปก็ยิ่งค้นพบว่าแผนที่ในมือนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ยามที่ดวงจันทร์เริ่มฉายแสง ไป๋หยุนเฟยที่เดินลัดเลาะริมูเาสูงใหญ่ก็แทบจะคลุ้มคลั่ง ในที่สุดก็ตกลงใจว่าหากยังไม่อาจหาผู้ใดพบก่อนขึ้นถึงยอดเขา ก็จะหยุดพักค้างแรมกลางป่าอีกคืนก่อนจะเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
ขณะจะขึ้นถึงยอดเขา ไป๋หยุนเฟยพลันหยุดเท้าลงอย่างกะทันหันด้วยท่าทีประหลาดใจ พลางสูดดมอย่างไม่แน่ใจก่อนจะแสดงท่าทีตื่นเต้นยินดีบนใบหน้า
“นี่เป็กลิ่นเนื้อย่าง! นี่หมายความว่ามีบางคนอยู่บนยอดเขา! ในที่สุด... ในที่สุดข้าก็หาผู้อื่นพบแล้ว!” ไป๋หยุนเฟยตื่นเต้นยินดีจนน้ำตาคลอเบ้า มันเร่งฝีเท้าพุ่งกายขึ้นสู่ยอดเขาในบัดดล
… … … …
บนยอดเขา ปรากฏชายชราในชุดยาวสีเทาที่ผมเผ้าหนวดเครากลายเป็ขาวโพลนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กำลังโรยเครื่องปรุงหลากหลายบนกระต่ายอ้วนพีที่ถูกย่างเหนือกองไฟ ที่แท้ผู้เฒ่าท่านนี้ก็กำลังเตรียมมื้อค่ำ
แต่ที่น่าแตกตื่นคือกองไฟตรงหน้าผู้เฒ่าท่านนี้กลับลอยอยู่กลางอากาศ! ทั้งยังไม่มีเชื้อไฟเช่นกิ่งไม้ มีเพียงเปลวไฟที่ลอยสูงจากพื้นสองนิ้วในอากาศ! มิหนำซ้ำกระต่ายที่ย่างเหนือเปลวไฟก็ลอยอยู่กลางอากาศแทนที่จะใช้ไม้เสียบ!
หากคนทั่วไปมาพบเห็นฉากนี้ ย่อมต้องคิดว่าเจอภูตผีเป็แน่
ชายชราก้มศีรษะเล็กน้อย แม้จะบรรจงปรุงเนื้อกระต่ายตรงหน้า แต่แทนที่จะให้ความสนใจกลับขมวดคิ้วกล่าวพึมพำบางอย่างกับตนเอง
“ตามที่ิญญาชะตาของข้าชี้นำ สมควรเป็มณฑลฉิงหยุนแห่งนี้ แต่ข้าเสาะหามากว่าสองเดือนแล้วก็ยังไม่พบเบาะแสใด...”
“หากข้าหาสถานที่นั้นพบ พลังฝีมือข้าย่อมสามารถทะลวงผ่านอุปสรรคสุดท้ายและจะฝึกอบรมยอดฝีมือให้แก่สำนักได้อีกหลายคน ช่วยให้เผชิญหายนะในวันข้างหน้าได้ง่ายอีกบ้าง...”
“แต่ข้ากลับไม่อาจลอบมองอนาคตมากเกินไป หากก้าวข้ามขอบเขตของ‘วิถีชะตา’จนกลายเป็‘ฝืนชะตา’ กลับจะเป็การเปลี่ยนแปลงเื่ราวเกินไปจนยากจะคาดเดาได้อีก เื่ราวในครานี้เกี่ยวพันถึงการคงอยู่ของสำนักชะตาลิขิต ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดได้...”
“โธ่! ข้ากลับไม่มีทางเลือกได้แต่ทดลองดู หากมีชะตาลิขิตเกี่ยวพันกับ‘วิถีชะตา’ของข้า ย่อมต้องมีร่องรอยให้สืบเสาะ ถึงยามนั้นข้าค่อย... ผู้ใด?!” ขณะพูดกับตนเองเสียงค่อย ชายชราก็พลันเงยศีรษะขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นส่งสายตาเปล่งประกายราวเปลวเพลิงมองไปยังพุ่มไม้ด้านซ้ายมือ
เสียงสวบสาบดังแ่เบายามที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาอย่างเชื่องช้า คนผู้นี้จะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่ไป๋หยุนเฟย
“เป็ท่าน!”
“เป็เ้า!”
ทั้งไป๋หยุนเฟยที่เพิ่งเดินเข้ามาและชายชราที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงประหลาดใจโดยพร้อมเพรียงกัน ยามที่มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
ไป๋หยุนเฟยแสดงสีหน้าอัศจรรย์ใจขณะมองดูชายชราตรงหน้าที่ถูกแสงจากเปลวไฟส่องกระทบ กระทั่งจะเดินไปด้านหน้าต่อก็ยังลืมเลือนไป --- มิคาดว่าจะเป็ชายชราลึกลับจากสำนักชะตาลิขิตที่มอบแหวนช่องมิติให้พร้อมกับบอกว่ามันเป็ผู้ที่อาจจะ‘ปัดเป่าหายนะ’บางอย่างให้แก่สำนักในคราก่อน
“ฮ่า ฮ่า เด็กเอย ไฉนเ้าอยู่ที่นี่ได้?” คำถามนี้ปลุกไป๋หยุนเฟยขึ้นจากความตื่นตะลึง ชายชราที่หายตื่นตะลึงก่อนกำลังจ้องมองยังไป๋หยุนเฟยด้วยแววตายิ้มแย้ม
ไป๋หยุนเฟยมองดูชายชราด้วยสีหน้าประหลาดพิกล พลางปรายตามองกองไฟและกระต่ายย่างที่ลอยอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยดวงตาเป็ประกาย ก่อนยืดกายขึ้นแล้วคารวะชายชราจรดพื้นขณะกล่าววาจาอย่างนอบน้อม “น่ายินดีนักที่ได้พบผู้าุโอีกครา”
ชายชรางงงันวูบก่อนจะพยักหน้ากล่าวกลั้วหัวเราะ “โอ ไม่เลว ยามนี้เ้ากลับมีมารยาทนัก นับว่าดีขึ้นกว่ายามพบกันคราแรกนัก”
“……”
“ฮ่า ฮ่า เข้ามานั่งก่อน ดูจากท่าทีของเ้าราวกับเร่งรีบเดินทาง?” ยามที่ชายชรามองเห็นท่าทีกระดากอายของไป๋หยุนเฟยสีหน้ายิ้มแย้มก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากถามพลางกวักมือเรียก
ไป๋หยุนเฟยเดินเข้าหาชายชราและทรุดกายนั่งลงตรงหน้า ขณะจ้องมองกระต่ายที่ย่างจนฉ่ำน้ำมันก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “มิผิด ข้าตั้งใจจะออกพเนจรยังโลกภายนอก”
ไม่ทราบเพราะเหตุใด เมื่อได้พบเจอชายชราผู้นี้ไป๋หยุนเฟยกลับรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด บางทีอาจเป็เพราะในที่สุดมันก็เข้าใจแล้วว่าที่กลายเป็ยอดฝีมือเช่นทุกวันนี้ได้ก็ด้วยโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ผู้าุโท่านนี้มอบให้...
“มิผิด มณฑลฉิงหยุนนี้คับแคบเกินไปจริงๆ นับว่าเป็เื่ดีที่เ้าจะออกไปััโลกของผู้เข้มแข็ง ด้วยหนทางนี้เ้าจะเติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งจะเป็ผลดีในอนาคตเช่นกัน...” กล่าวถึงตรงนี้ก็ราวกับนึกบางอย่างออก แทนที่จะกล่าวต่อจนจบประโยคกลับเปลี่ยนเป็เอ่ยปากถาม “แต่เ้าไม่ร้อนใจเกินไปหรือ? แหวนช่องมิติที่มอบแก่เ้าบรรจุเคล็ดฝึกปรือิญญาทั้งหมดของสามด่านแรก เ้าสมควรรอจนเข้มแข็งพอค่อยคิดเื่ออกพเนจร จริงสิจำได้ว่าเ้าหวังจะแก้แค้น ไฉนยามนี้... หรือว่า...”
“มิผิด” ไป๋หยุนเฟยพยักหน้า “ทั้งหมดก็เพราะเคล็ดวิชาลับ เคล็ดิญญาและวัตถุิญญาที่ท่านมอบให้ ข้าจึงสามารถแก้แค้นได้โดยง่าย อีกอย่างยามนี้ข้าบรรลุถึงระดับกลางด่านวีรชนิญญาแล้ว จึงคิดจะออกจากมณฑลฉิงหยุนเพื่อค้นหาหนทางที่จะเข้มแข็งขึ้น...”
“โอ มิน่าเล่า เมื่อเ้าบรรลุถึงระดับกลางด่านวีรชนิญญาได้แล้ว เ้าก็สมควรออกพเนจรจริงๆ...” ชายชรากล่าววาจาอย่างปลอดโปร่งได้เพียงครึ่งประโยคก่อนจะหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน จากนั้นเงยหน้าขึ้นจับจ้องไป๋หยุนเฟยในบัดดล ท่าทีเรียบเฉยบนใบหน้าสาบสูญไปแทนที่ด้วยดวงตาเบิกกว้างและสีหน้าเปี่ยมแววเหลือเชื่อ “เ้าบอกว่า... เมื่อครู่เ้าบอกว่าบรรลุถึงด่านใดกัน?!”
“ด่านวีรชนิญญาระดับกลาง เป็ไรหรือ?” ไป๋หยุนเฟยมองชายชราอย่างงุนงง ก่อนจะเข้าใจว่าเป็เื่ราวใด มันจึงแสดงท่าทีกระดากอายอีกครา “ที่จริงข้าคิดจะรอกระทั่งบรรลุระดับปลายด่านวีรชนิญญาและช่ำชองเคล็ดควบคุมจุดชีพจรก่อนค่อยจากไป แต่ข้ากลับเผชิญปัญหาใหญ่หลวงจึงไม่มีทางเลือกได้แต่...”
ก่อนจะทันได้กล่าวจบก็พลันมองเห็นเงาพร่าเลือน เป็ชายชราพุ่งกายถึงเบื้องหน้าในพริบตาด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการพร้อมกับคว้าจับข้อมือไป๋หยุนเฟยเอาไว้ ยามที่รู้สึกตัวมันก็รู้สึกอุ่นวูบพร้อมกับกระแสพลังิญญาอันเข้มแข็งทะลักเข้าสู่ร่าง พริบตาเดียวก็แผ่ซ่านไปทุกส่วนในร่าง แม้แต่ไป๋หยุนเฟยก็ยังรู้สึกว่าพลังิญญาของตนเคลื่อนที่ตามไป
ไป๋หยุนเฟยตะลึงงันกับสิ่งที่ชายชรากระทำอย่างกะทันหันจึงร่างแข็งทื่ออยู่กับที่ หลังจากชายชราปล่อยข้อมือมันยังคงนิ่งเฉย ผ่านไปชั่วครู่บรรยากาศรอบข้างกลับกลายเป็ประหลาดพิกลไป
“ผู้...ผู้าุโ?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดไป๋หยุนเฟยอดไม่ได้ต้องร่ำร้องอย่างแ่ล้า ทันทีที่ส่งเสียงชายชราก็พลันมีปฏิกิริยาส่งเสียงพึมพำ ดุจดังอารมณ์ความรู้สึกถูกกระทบจนกลายเป็ว้าวุ่นไป
“มิผิด... ด่านวีรชนิญญาจริงๆ เป็ไปได้อย่างไร...?”
“โอ? ช้าก่อน นี่... พลังธาตุน้ำแข็ง! เด็กเอยเ้าได้รับาเ็?”
