เื่ที่ทำให้เฉินชุ่ยอวิ๋นกังวลไม่ได้เกิดขึ้น ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งไม่สร้างปัญหาอีก นั่นไม่ใช่เพราะป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งยอมแพ้หรืออะไร แต่เพราะวันที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวชนบทที่ต้องพึ่งพาการเพาะปลูกสำหรับทำมาหากินมาเยือนต่างหาก บ้านเจิ้งหยวนอยู่ทางตอนเหนือในลุ่มแม่น้ำฮวงโห ทุ่งนาแถบนี้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตสองครั้งต่อปี ซึ่งก็คือ่ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อต้นเดือนหกของทุกๆ ปีซึ่งเพิ่งเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูก สิ่งแรกที่หัวหน้ากองของกองหยางหลิวต้องทำคือเรียกสมาชิกทั้งกองมาประชุมหารือตรงพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่หน้าสำนักงาน ปลุกแรงใจให้สมาชิกในกองยกย่องจิติญญาที่ไม่กลัวความลำบากหรือเหน็ดเหนื่อย ตั้งใจทำหน้าที่ในการผลิตอย่างดี เพิ่มปริมาณให้ยุ้งฉางของมาตุภูมิคนละนิดคนละหน่อย เป็หลักประกันให้แก่ทหารที่สู้รบอยู่แนวหน้าและกรรมกร ทั้งยังเพื่อชีวิตอันอุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง อยู่ดีกินดีในปีถัดๆ ไปของตนเองอีกด้วย
เจิ้งเฉวียนกังยืนะโจากบนแทนที่สูงที่สุดลงมาว่า “ยืนหยัดอดทนด้วยลำแข้งของตัวเอง!”
สมาชิกสมาคมข้างล่างคำรามออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ยืนหยัดอดทนด้วยลำแข้งของตัวเอง!”
“ชีวิตมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมือเรา!”
“ชีวิตมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมือเรา!”
“ประชาชนจงเจริญ!”
“ประชาชนจงเจริญ!”
เจิ้งหยวนไม่ได้เข้าร่วมประชุมปลุกระดมทำนองนี้นานมากแล้ว ตอนเห็นคุณพ่อยืนพูดจาดูดีอยู่ข้างบน่แรกๆ เธอคิดว่ามันดูตลกนิดหน่อย แต่ผ่านไปสักพัก เธอก็โดนบรรยากาศกลืนกิน เมื่อมองคุณพ่อที่อยู่แท่นสูง้าะโออกมาเสียงแทบแตกระแหง ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ ท่าทางตื่นเต้นฮึกเหิม เหล่าสมาชิกรอบกายต่างก็ตะเบ็งเสียงคอเป็เอ็น ราวกับกำลังจะห้อตะบึงเข้าสนามรบ ไม่ได้ไปเก็บเกี่ยวข้าวสาลี แต่ทุ่งนาคงเหมือนสนามรบสำหรับเกษตรกรกระมัง
หลังสมาชิกประชุมเสร็จ เหล่าหัวหน้ากองเล็กๆ ก็เริ่มแจกเคียวรวมทั้งเครื่องมืออื่นๆ ให้สมาชิก เจิ้งหยวนโดนจัดมาอยู่ในกลุ่มของสตรี หัวหน้าหญิงเป็สะใภ้อายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งที่ถูกเหล่าสมาชิกเลือกขึ้นมา เธอเป็คนสดใสร่าเริง และสามารถแบกรับภาระได้ เหล่าสมาชิกเลยค่อนข้างนับถือเธอ
เธอเริ่มนำะโคำขวัญอย่างฮึกเหิมว่า “ผู้หญิงสามารถแบกท้องฟ้าอีกครึ่งหนึ่ง [1]” และไม่นานก็พาเหล่าหญิงสาวมาที่คันนา เนื่องจากเป็่ฤดูกาลเพาะปลูก เลยต้องเก็บเกี่ยวข้าวสาลีแข่งกับเวลา มิให้โดนครหาจากคติพจน์ของประธานเหมา หลังหัวหน้าหญิงแบ่งที่นาให้แต่ละคนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็ง
หากให้เจิ้งหยวนสรุป่เร่งเก็บเกี่ยวและเพาะปลูกในคำเดียวก็คือ เหนื่อย
เธอเหนื่อยมากจริงๆ ต้องตื่นมาลงนาั้แ่ฟ้ายังไม่สางทุกวัน ยุคสมัยนี้ยังไม่มีเครื่องเกี่ยวข้าว จำเป็ต้องใช้เคียวโน้มตัวลงเกี่ยวทีละต้น ครั้นทำนานๆ ไปก็รู้สึกปวดและชาที่เอว แขนหนักเหมือนมีตะกั่วหลายสิบจินมัดไว้ เท่านี้ยังไม่พอ นอกจากเหนื่อยยังต้องตากแดดตลอดด้วย ตอนเช้าอากาศยังสดชื่น มีลมเย็นๆ พัดอยู่บ้างเลยพอทำเนา แต่เมื่อถึงแปดเก้าโมง พอพระอาทิตย์ขึ้น แดดจ้าเสียจนแผ่นหลังเจ็บแสบไปหมด ทรมานสุดๆ
เจิ้งหยวนกลัวโดนแดดจนดำ จึงใส่หมวกฟางปีกกว้างและเสื้อขาวยาว กางเกงขายาว
ทุกครั้งที่เกี่ยวข้าว เธอต้องยืดตัวขึ้นทุบเอว นวดคอเป็พักๆ บางครั้งยังต้องคอยดึงปลายรวงข้างที่ตำมือโดยไม่ทันระวังด้วย ซึ่งมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เ้านี่ทิ่มกันเก่งเหลือเกิน เจิ้งหยวนไม่ได้จับเคียวเกี่ยวข้าวมาหลายปี เลยไม่ค่อยคล่องแคล่วเท่าไรนัก ดังนั้น พริบตาเดียวเธอก็ตามหลังคนอื่นๆ แล้ว
พี่สะใภ้คนหนึ่งที่อยู่ท้องนาข้างๆ หัวเราะเยาะเธอ “เจิ้งหยวนเอ๋ย เธอนี่เกิดมาคุณหนูเสียจริง”
เจิ้งหยวนขยับยิ้มให้นิดหน่อย ไม่ได้ตอบรับไป จากนั้นหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เธอเหนื่อยจนไม่มีแรงจะพูดแล้ว หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าคนอื่นยังไม่พัก เธอคงจะหงายหลังลงไปนอนบนพื้นสักตื่น
เชิงอรรถ
[1] ผู้หญิงสามารถแบกท้องฟ้าอีกครึ่งหนึ่งได้ หมายถึง คำกล่าวยกย่องสตรีของประธานเหมาเจ๋อตงเพื่อเป็การบอกว่าชายหญิงนั้นเท่าเทียมกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้