โอเค ได้เลย แน่นอน
ชวีเสี่ยวปอสามารถตอบคำถามนี้ด้วยรูปแบบประโยคยืนยันอันนับไม่ถ้วน
เหมือนอย่างเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เซี่ยเจิงพูดอะไรออกมาเขาก็ล้วนคล้อยตามไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าในครั้งนี้หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบ เซี่ยเจิงกลับกดนิ้วลงไปบนฝ่ามือของเขาอย่างแรง
“อย่าพูดออกมาแบบส่งๆ อย่างนี้”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าที่เซี่ยเจิงใช้คำว่า “พูดออกมาแบบส่งๆ ” คำนี้มันถูกต้องที่สุดแล้ว เขาพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ผ่านการคิดเลยสักนิด แต่กลับพูดโพล่งออกมาเลยทันที ความรู้สึกของการถูกจับได้เช่นนี้มันไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก ชวีเสี่ยวปอลูบจมูกไปสองที พยายามปกปิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้เอาไว้ แต่ทันใดนั้นกลับนึกได้ว่า บริเวณโดยรอบไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย เซี่ยเจิงก็คงจะมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด ดังนั้นเขาจึงหัวเราะกลบเกลื่อนออกมาเสียงดัง :
“แล้วนายอยากได้ยินฉันพูดว่าอะไรล่ะ? ”
แปลกมากเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้ยังรู้สึกว่าเซี่ยเจิงคงจะมองอะไรไม่เห็นในความมืด แต่ในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกว่าใบหน้าของเขาถูกสายตาของเซี่ยเจิงจ้องมองจนร้องผ่าวขึ้นมาแล้ว
เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงดึงชวีเสี่ยวปอให้เดินลงมาด้านล่าง
ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนใจ : “เซี่ยเจิง! นายอยากจะพูดอะไรกันแน่? ”
เวลาห้าทุ่มตรง
ในขณะที่ซือจวิ้นกำลังจะเข้านอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาซะก่อน เขาจึงหยิบขึ้นมาดู และเห็นว่าชวีเสี่ยวปอส่งข้อความมา
“หลับหรือยัง? ”
ชวีเสี่ยวปอเปลี่ยนจากถือโทรศัพท์จากมือซ้ายมาไว้มือขวา จากนอนตะแคงมาเป็นอนหงาย ถึงแม้ว่าระยะเวลาั้แ่เขาส่งข้อความไปจนกระทั่งซือจวิ้นตอบกลับมาว่า “ยังไม่ได้นอน” จะห่างกันเพียงไม่กี่วินาที แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกทนไม่ไหวแล้ว
เขา้าคนมาช่วยคลายความสงสัยโดยด่วน
ซือจวิ้นส่งข้อความตามมาอีกหนึ่งข้อความ : “เป็ยังไง? วันนี้ฉันไหวพริบดีสุดยอดไปเลยใช่หรือเปล่า? นายสองคนเดทกันเป็ยังไงบ้าง? ”
เดทกันอะไรล่ะ...ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา จากนั้นจึงตัดสินใจกดต่อสายโทรหาซือจวิ้น
“ฉันถามอะไรหน่อยสิ? ”
“ถามมา ทำไมพอมีความรักก็รู้จักพูดอ้อมค้อมขึ้นมาแล้ว” ซือจวิ้นกลั้นคำพูดเพ้อเจ้อเอาไว้ไม่อยู่ จึงใช้โอกาสนี้พูดแทรกเข้าไป
“ไปให้พ้น” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าขนาดด่าคนยังไม่มีเรี่ยวแรงเลย
“วันนี้เซี่ยเจิงถามฉันว่า อยากสอบเข้ามหาลัยเดียวกับเขาไหม”
“ ...... ”
“นายว่าเขาหมายความว่ายังไง? ” ซือจวิ้นที่อยู่ปลายสายไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา ทั้งยังไม่สามารถพูดแทรกได้เหมือนกัน เพราะว่าชวีเสี่ยวปอเปิดโหมดบ่นขึ้นมาแล้ว : “เขาก็ไม่ได้ไม่รู้ว่าคะแนนของฉันเป็ยังไง ที่เขาถามเื่นี้ขึ้นมา สู้ถามมาตรงๆ เลยว่าฉันอยากจะฝันไปกับเขาไหมยังจะดีกว่า”
“ ...... ” ซือจวิ้นรู้สึกเหลืออดเหลือทน “พอ ปอเอ๋อร์ ตรงไหนของนายมีปัญหาหรือเปล่า? ”
“หมายความว่ายังไง? ” ชวีเสี่ยวปอผงะไป ไม่เข้าใจสิ่งที่เขา้าจะสื่อแต่ปากก็ไม่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบ “นายต่างหากที่มีปัญหา”
“คนที่มีปัญหาคือนาย !” ซือจวิ้นะโลุกขึ้นมาจากเตียง ะโพูดออกไปว่า : “หรือว่านายฟังไม่เข้าใจ ความหมายของเซี่ยเจิงคือเขาจะถามนายว่า เคยคิดถึงอนาคตที่จะมีร่วมกับเขาไหม? ”
“ปอเอ๋อร์? ” หลังจากที่ซือจวิ้นะโออกมาจนจบ เขาจึงพบว่าชวีเสี่ยวปอเงียบเสียงไป เขามองดูโทรศัพท์อยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าสายไม่ได้หลุดไป แล้วจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง รอให้ชวีเสี่ยวปอพูดออกมา “ปอเอ๋อร์ นายไม่เป็อะไรใช่ไหม? ”
“ไม่ได้เป็ไร” ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็เปิดปากพูดขึ้น
“นี่ ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าเซี่ยเจิงจะคิดไปไกลถึงขนาดนั้น” ซือจวิ้นอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “แต่ก็เป็ปกติแหละ ดูแวบแรกก็รู้ว่าเขาเป็คนประเภทที่ไม่ว่าเื่อะไรก็จะคิดวางแผนในระยะยาวเอาไว้ก่อน”
“ว่าแต่” ซือจวิ้นทำเสียงจิ๊ปาก “นายตอบเขาไปว่าไงเหรอ? ”
ตอบไปว่าไงน่ะเหรอ?
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
เขาพูดกับเซี่ยเจิงไปว่า : “ฉันสอบไม่ติดหรอก”
“มันก็เป็เื่จริงอยู่นะ” ซือจวิ้นขำอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอทนไม่ไหวจึงพูดแทรกเขาไปว่า “พอได้แล้วไหม” ในตอนนั้นเองซือจวิ้นถึงได้กระแอมไอขึ้นมา “ปอเอ๋อร์ พูดตามตรง คำถามนี้ของเซี่ยเจิง นายเคยคิดเอาไว้บ้างไหม? ”
ไม่เคยคิด
เมื่อคิดขึ้นมาเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าหากตัวเขาเทียบกับเซี่ยเจิง เขาค่อนข้างที่จะมองเพียงแค่ในระยะสั้นมากกว่า เพราะถึงยังไงั้แ่ตอนที่พวกเขาสองคนยืนยันความสัมพันธ์กันจนถึงตอนนี้ สิ่งเดียวที่ชวีเสี่ยวปอคิดคือสภาพที่เป็อยู่ ณ ปัจจุบัน เขามีความสุขมาก
แก่นแท้ในการแสวงหาความสุขของมนุษย์ล้วนสะท้อนให้เห็นอยู่ในตัวของเขาแทบจะทั้งหมด เขามีความสุขที่ได้ดื่มด่ำกับสภาพเช่นนี้ ได้แอบจับมือแฟนหนุ่มทุกวันในระหว่างเรียน ความพอใจเช่นนี้ได้ปะทะชนเข้ามาจนเขามึนศีรษะ มีดาววิ๊งๆ ลอยวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ทั้งยังไม่อาจที่จะแบ่งเรี่ยวแรงไปคิดเื่อื่นได้อีกแล้ว
อนาคต คำคำนี้ช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน ทั้งยังเลือนรางและไม่อาจคาดเดาได้
ไปคิดถึงมันทำไมกัน ยังไม่ถึงเวลานั้นสักหน่อย
“ถูกเปิดโปงแล้ว” ซือจวิ้นพูดเน้นออกไปทุกคำ
“ฉันจะถูกเปิดโปงได้ยังไง” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ : “ฉันกับเขาไม่ใช่เื่โกหกสักหน่อย” ชวีเสี่ยวปอยังอยากจะพูดอีกด้วยว่า ฉันชอบเซี่ยเจิงจริงๆ แต่กลับรู้สึกว่าถ้าพูดประโยคนี้ออกไปจะทำให้เขารู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาได้ จึงยั้งเอาไว้ก่อน ซือจวิ้นจะได้ไม่ต้องพูดเสียดสีขึ้นมาอีกชุดหนึ่งด้วย
“แล้วใครบอกว่านายสองคนเป็เื่โกหกกันล่ะ” ซือจวิ้นรู้สึกเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังรับหน้าที่ให้ทำภารกิจเป็ปรมาจารย์ด้านอารมณ์ยามค่ำคืน แม้แต่น้ำเสียงก็สามารถพูดอธิบายทีละขั้นทีละตอนขึ้นมาแล้ว : “เื่นี้จะว่ายังไงดีล่ะ นายให้ฉันเรียบเรียงคำพูดแป๊บนึงนะ”
“นายเรียบเรียงออกมา เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปจัดการนายเอง” ชวีเสี่ยวปอโมโหใส่โทรศัพท์
“ไม่ใช่แล้ว นายจะมาจัดการฉันทำไมกัน” ซือจวิ้นรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ปอเอ๋อร์ นายไม่รู้สึกเหรอว่าสำหรับเื่ในวันข้างหน้านี้ เขานึกถึงแต่นายกลับไม่ได้นึกถึงมันเลย พอฟังก็ดูโหดร้ายั้แ่แรกแล้วไหม? ”
ชวีเสี่ยวปอตอบออกไปเหมือนจะเข้าใจว่า “อ๋า? ”
“ปอเอ๋อร์นายแค่เป็คนไม่คิดเยอะ” ซือจวิ้นตัดสินใจใช้ภาษาที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาอธิบายให้เขาฟัง “อย่างเช่นนะ คนสองคนคบกัน หนึ่งคนเตรียมพร้อมเอาไว้ทุกอย่าง แล้วก็มาบอกว่าพวกเราแต่งงานกันเถอะ จากนั้นอีกคนหนึ่งกลับพูดขึ้นมาว่าฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลย ก็แค่คบกันเล่นๆ ถ้าเป็อย่างนั้นนายว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง”
“ให้ตายสิ” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนโดนต่อยเสยหน้าขึ้นมาทันที และในที่สุดรอบนี้ทุกสิ่งถึงได้กระจ่าง
ซือจวิ้นพูดถูก
ทำไมเซี่ยเจิงถึงพูดว่า “อย่าพูดออกมาส่งๆ ” เป็เพราะว่าในตอนนั้นเขาคาดหวังเป็อย่างยิ่งว่าชวีเสี่ยวปอจะสามารถพูดออกมาได้ว่า : “ฉันเคยนึกถึงเื่นี้เอาไว้แล้ว”
แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่เคยนึกถึงมันมาก่อนเลย
เซี่ยเจิงก็คงจะรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย
พอคิดดูแล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ
เซี่ยเจิงรู้สึกหนักใจกับการวางแผนในอนาคตเป็อย่างมาก อยากที่จะถามแฟนว่าในอนาคตมีเขาอยู่บ้างไหม แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือแฟนกลับพูดออกมาว่า “ฉันไม่มีอนาคต”
มันช่างแฟนตาซีสุดๆ ไปเลย
ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหัวเราะขึ้นมา
“ปอเอ๋อร์? นายหัวเราะอะไรเนี่ย? ” ซือจวิ้นรู้สึกว่าในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรหัวเราะ ดังนั้นชวีเสี่ยวปอที่จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด จึงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว “นายอย่าหัวเราะสิ”
“ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองดูทึ่มมากเลย” ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ให้ข้อสรุปกับตัวเอง “โอเค แค่นี้แหละ พรุ่งนี้เจอกัน”
ซือจวิ้นยังไม่ทันได้จะได้พูดว่าไว้เจอกัน เสียงในโทรศัพท์ก็ดังตู๊ๆ ขึ้นมาแล้ว จากนั้นเขาจึงวางโทรศัพท์ลงไปด้านข้าง พร้อมทั้งหลับตาลง แต่ในใจกลับคิดขึ้นมาว่า : “ฉันไม่เชื่อว่านายจะนอนหลับ ปอเอ๋อร์ ครั้งนี้ทำนายลำบากใจแล้วละ”
และก็เป็ไปตามที่ซือจวิ้นคาดการณ์เอาไว้
ชวีเสี่ยวปออยากจะโทรศัพท์หาเซี่ยเจิง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี อันที่จริงในตอนดึกที่สองคนแยกจากกันก็ยังคงเป็เช่นเดิม ทว่าประเด็นสำคัญยังคงเป็เพราะชวีเสี่ยวปอไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งยังไม่ได้เอาปัญหานี้มาคิดเป็เื่จริงจังสักเท่าไหร่ ถ้าหากคืนนี้ในใจของเขาไม่ได้บ่นพึมพำให้โทรหาซือจวิ้น เขาอาจจะอยู่ในสภาพโง่งมเช่นนี้ไปอีกนาน
แต่เมื่อมานึกดูในตอนนี้แล้ว เซี่ยเจิงคงจะผิดหวังมากจริงๆ
ในวันวันหนึ่งตัวเขาเอาแต่ทำอะไรอยู่เนี่ย?
