หูฉางหลินสะบัดเชือกบังเหียนอย่างไม่ค่อยคุ้นชิน ปากก็ร้องะโ “ย่า ย่า ” ออกมาไม่หยุด บังคับเกวียนวัวเดินอยู่บนถนนอย่างเชื่องช้าด้วยความระมัดระวัง
“ท่านลุง ท่านบังคับเกวียนวัวไปที่ปากประตูเมืองก่อนเถิด หาที่โล่งกว้างหน่อยฝึกฝนฝีมือบังคับเกวียนวัว ข้ากับท่านย่าจะไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ อีกเดี๋ยวค่อยไปหาท่าน” เจินจูมองท่าทางของหูฉางหลินที่มีความกังวลใจ ในเมืองคนเยอะเกวียนมาก หากไม่ระวังชนคนเข้าอาจได้ไม่คุ้มเสีย
“อื้ม ได้ เช่นนั้นข้าหาที่ฝึกแถวปากประตูเมือง อีกสักครู่พวกเ้าออกมาหาข้าข้างนอก” หูฉางหลินตอบรับทันที เขาไม่เคยบังคับวัวมาก่อน เลยกังวลเล็กน้อย
“ฉางหลิน เ้าบังคับช้าลงนิด อย่าชนคนเล่า ระวังหน่อย” หวังซื่อกำชับอย่างละเอียด
“ทราบแล้ว” หูฉางหลินไม่ได้ะโเร่งวัวอีก เพียงจับเชือกประคองให้วัวเดินไปด้วยความระมัดระวัง
หวังซื่อกับเจินจูเดินมาถึงตลาดประตูทิศตะวันออก เวลาใกล้จะเที่ยง ในตลาดแออัดผู้คนคึกคัก หวังซื่อดึงเจินจูไว้ด้วยความระมัดระวัง กล่าวเสียงเบาๆ “เจินจู ยังจะซื้ออะไรหรือ? คนเยอะนักพวกเราระวังหน่อย”
“ท่านย่า พวกเราไปดูร้านขายของจิปาถะกัน” เจินจูคิดไว้นานแล้ว นางจะซื้อกระดาษฟาง พอคิดถึงตอกไม้ไผ่ในส้วมขนาดใหญ่ขึ้นมา นางก็อัดอั้นตันใจจนทนไม่ได้แล้ว ขณะนี้เื่ใหญ่อันดับแรกคือการซื้อกระดาษฟางมาก่อน
ซื้อกระดาษฟาง แปรงสีฟัน ผงสีฟัน หวี เชือกผูกเปีย น้ำมันหอม ถ้วยจาน… ทั้งหมดมา หวังซื่อที่ตามอยู่ด้านหลังของนางอดมุมปากกระตุกขึ้นไม่ได้ แม้ล้วนเป็ของเล็กๆ แต่ของมากย่อมต้องจ่ายเงินไม่น้อยเลย
เจินจูหันมายิ้มให้หวังซื่อ “ท่านย่า พวกนี้ล้วนต้องใช้ ไม่ต้องปวดใจเื่เงินนะ มีอันใดที่้าซื้อ ล้วนซื้อกลับไป อากาศหนาวเช่นนี้จะมาสักรอบไม่ง่ายเลย” หวังซื่อรีบส่ายหน้ากล่าวเพียงว่าไม่มีอะไรต้องซื้อ หญิงชรามัธยัสถ์จนเคยชิน แม้จะหาเงินได้ก็ทำใจใช้จ่ายเงินตามอำเภอใจไม่ลง
เจินจูยักไหล่ ไม่ดึงดันอีก เพียงซื้อกระดาษฟางมาเพิ่มอีกแผ่น
เมื่อออกจากร้านขายของจิปาถะ เจินจูกับหวังซื่อจึงเดินไปทางร้านสมุนไพรเฉินจี้ ในตะกร้าที่หวังซื่อแบกไว้ได้ใส่ผ้าห่มผืนบางของคราก่อนที่ยืมมาด้วย เป็ธรรมดาที่ต้องเอาสิ่งของคืนให้แก่เ้าของเดิม
ในร้านสมุนไพร ท่านหมอชรากำลังทำการเข้ากระดูกให้คนป่วยที่แขนหักคนหนึ่งอยู่ คนป่วยเจ็บเสียจนส่งเสียงร้องโอดโอยออกมา ลูกจ้างตัวน้อยจึงรีบจัดยาตามใบสั่ง ทุกคนต่างยุ่งคงไม่เหมาะที่พวกนางจะไปรบกวน จึงหยิบผ้าห่มผืนบางในตะกร้าออกมาวางไว้ที่โต๊ะคิดเงิน ส่งเสียงแจ้งกับลูกจ้างไว้ แล้วพวกนางก็ออกจากร้านสมุนไพรไป
“เจินจู ยังมีอะไรต้องซื้อหรือไม่?” หวังซื่อเดินไปด้วยถามไปด้วย
เจินจูมองซ้ายขวาอยู่สองสามที เลยเวลายามบ่ายมาแล้วกระแสคนที่หลั่งไหลในตลาดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แผงลอยและพ่อค้ามากมายต่างเริ่มเก็บกวาดสินค้าที่เหลืออยู่ ผ่านร้านเนื้อที่ซื้อคราก่อน บนแผงยังเหลือเนื้อหมูอยู่ไม่น้อย เห็นว่ามีคนยืนอยู่หน้าแผง เ้าของแผงจึงกล่าวทักทายขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พี่สะใภ้ ซื้อเนื้อไหม? เนื้อมันครึ่งเนื้อแดงครึ่งดีที่สุด ตอนนี้ราคาถูกแล้ว 17 เหวินเอง ตัดสักหนึ่งชั่งหรือไม่?”
“เจินจู เราซื้อเนื้อกลับไปกัน ย่าจะทำสามชั้นตุ๋นน้ำแดงให้ทาน” หวังซื่อคิดว่าเจินจูหยุดอยู่ที่แผงหมูเพราะอยากทานเนื้อ
“ท่านย่า อย่ารีบ ข้าถามก่อน” เนื้อที่เหลือบนแผงประมาณยี่สิบสามสิบชั่ง อีกทั้งเนื้อแดงมากเนื้อมันน้อย คนยุคโบราณซื้อเนื้อล้วนชอบซื้อเนื้อติดมันมากๆ ชาวบ้านชนชั้นล่างสุดตลอดหนึ่งปีหาได้ยากที่จะทานเนื้อ ทุกครั้งที่สามารถซื้อเนื้อได้ ย่อมเลือกซื้อเนื้อติดมัน หากว่าเจียวน้ำมันออกมาทานได้เช่นนั้น เมื่อเข้าไปถึงในท้องไขมันก็เยอะ [1]
“เถ้าแก่ เนื้อแดงพวกนี้ขายอย่างไร?” เจินจูชี้ถามเนื้อสองสามชิ้น ที่เนื้อแดงมากส่วนที่ติดมันน้อย
“อืม... เดิมทีขายสิบหกเหวิน ตอนนี้ให้พวกเ้าสิบห้าเหวิน” เ้าของแผงให้ราคานี้อย่างพิจารณา
“หากว่าพวกเราเอาทั้งหมดนี้ ยังลดอีกหน่อยได้หรือไม่?” เจินจูวาดหนึ่งวงกลมตรงกองเนื้อ
“เอาทั้งหมด? นี่มียี่สิบกว่าชั่งเลยนะ?” เ้าของร้านใ จ้องมองตาโตไปที่เด็กสาวศีรษะเล็กๆ ตรงหน้า
หวังซื่อเองก็ถูกคำพูดของเจินจูทำให้ใเช่นกัน ซื้อเนื้อเยอะเช่นนี้ต้องทานถึงเมื่อไร? นางอ้าปากกำลังจะเอ่ยโน้มน้าว พอคิดดูอีกที อุปนิสัยเจินจูไม่ใช่คนไม่รู้ขอบเขตและกระทำการมุทะลุเช่นนั้น ซื้อเนื้อพวกนี้น่าจะเป็ประโยชน์ใช้สอยของนางบางอย่าง จึงไม่ได้ออกปากยับยั้ง
“ใช่แล้ว พวกเราเอาทั้งหมด ท่านให้ราคาเท่าไร?” เจินจูถามต่อ
เ้าของแผงพินิจพิเคราะห์ย่าหลานสองคนอยู่ไม่กี่ที ดูแล้วไม่เหมือนตั้งใจมาก่อกวน จึงตอบกลับไป “หากพวกเ้า้าทั้งหมด ก็ 14 เหวิน นี่ราคาถูกมากแล้ว”
เจินจูมองเนื้อบนแผง เนื้อมันน้อยเนื้อแดงมาก ยังมีหัวหมูไม่เล็กอีกหนึ่งชิ้น ในกะละมังด้านข้างมีเครื่องในหนึ่งชุด
“เถ้าแก่ ชั่งละ 13 เหวิน เถิด ทั้งหมดนี่เนื้อแดงมากนัก ยังมีหัวหมูหนึ่งชิ้น ปล่อยราคาให้อีกหน่อย พวกข้าก็เอาทั้งหมดแล้ว” เจินจูจงใจขมวดคิ้ว ทำท่าทางว่าเนื้อของร้านเ้าเนื้อแดงเยอะไปแล้ว
“นี่ นี่ราคาต่ำเกินไป…” รอยยิ้มบนใบหน้าเ้าของแผงหยุดชะงัก ท่าทางลำบากใจ ราคานี้ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่เขาได้กำไรน้อยนัก อากาศหนาวถ้าเก็บเนื้อไว้ถึง่บ่ายก็ขายได้เหมือนกัน
“เถ้าแก่ ท่านดู พวกเขาล้วนขายหมดและเก็บแผงแล้ว ท่านปล่อยราคาให้พวกข้า ก็สามารถกกลับไปอย่างสบายใจได้ เครื่องในชุดนั้นพวกเราก็เอาด้วย” เจินจูต่อรองราคาต่อ
เ้าของแผงมองซ้ายขวาหนึ่งที เป็ไปตามนั้นจริงๆ รอบด้านล้วนชะล้างเขียงเริ่มเก็บแผงกันแล้ว ทำให้เนื้อที่มีเต็มแผงของร้านตนสะดุดตาเหลือเกิน ในใจเขาแอบคำนวณเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นก็ไอเบาๆ หนึ่งเสียง “ได้ แต่... ครั้งหน้าราคาถูกเช่นนี้มิได้แล้วนะ” กล่าวจบ เอาเนื้อทีละชิ้นร้อยเข้าด้วยกันอย่างเป็ระเบียบแล้วชั่งให้เรียบร้อย เนื้อหนึ่งกองพ่วงกับหัวหมูหนึ่งชิ้นทั้งหมด 28 ชั่งครึ่ง คิด 370 เหวิน เพิ่มขึ้นจากนี้เป็เครื่องในหนึ่งชุด 10 เหวิน ทั้งหมด 380 เหวิน
หวังซื่อหยิบของเล็กๆ ข้างในตะกร้าออกมา ใช้กระดาษน้ำมันที่เถ้าแก่ให้ปูไว้ก้นตะกร้า แล้วใส่เนื้อให้เรียบร้อย จากนั้นกั้นกระดาษน้ำมันข้างบนอีกหนึ่งชั้นวางของกระจุกกระจิกกลับลงไป ลำเลียงเนื้อเสร็จจ่ายเงินเรียบร้อย สองคนแบกตะกร้าที่หนักหน่วงขึ้นและเดินไปทางประตูเมือง
หวังซื่อไม่กล่าวอะไรมาก ซื้อเนื้อเยอะเช่นนี้ หลานสาวน่าจะเอาไปใช้อะไรนั่นแหละ สองคนออกจากประตูเมือง เห็นเกวียนวัวของตนเองไกลๆ หูฉางหลินกำลังฝึกบังคับเกวียนบริเวณพื้นที่โล่งกว้าง
เมื่อเอาตะกร้าที่แบกยกขึ้นเกวียนแล้ว หูฉางหลินจึงถามอย่างแปลกใจ “ซื้อของอันใด? ทำไมจึงหนักเพียงนี้?”
“ฮิ ฮิ…” เจินจูยิ้ม “เนื้อหมู”
“เนื้อหมู?” หูฉางหลินใสุดขีด “เนื้อหมูครึ่งตะกร้านี่ เกรงว่าจะมีน้ำหนักยี่สิบสามสิบชั่งกระมัง? ซื้อเนื้อเยอะเช่นนี้ทำอันใด?”
“อืม... มีประโยชน์ กลับไปค่อยคุยเถิด” เจินจูปีนขึ้นเกวียนวัว เดินมาตลอดเช้า เหนื่อยเล็กน้อยจริงๆ
“เอาล่ะ เจินจูบอกว่ามีประโยชน์ก็มีประโยชน์ ฉางหลิน พวกเรากลับกันก่อนเถิด” หวังซื่อนั่งบนเกวียนวัวอย่างระมัดระวัง ถามด้วยความกังวลใจเล็กน้อย “ลูกวัวนี่จะลากพวกเราไหวไหม?”
“น่าจะได้ คนขายวัวบอกว่า อย่าลากหนักเกินไปก็พอ ข้าลองดึงให้มันเดินไประยะหนึ่งดูก่อน” กล่าวจบ สะบัดเชือกบังเหียนส่งเสียงร้องเร่งวัว ลูกวัวจึงค่อยๆ เดินไปทางข้างหน้า
ฝีมือขับเกวียนหูฉางหลินไม่ชำนาญนัก ระหว่างทางหยุดๆ พักๆ รอจนพวกเขามาถึงทางเข้าหมู่บ้านก็เป็เวลาประมาณ่บ่ายแล้ว พวกเขาสามคนต่างหิวเสียจนท้องร้อง ตอนเช้าทานแค่ซาลาเปาคนละลูกระหว่างทางที่ไปซื้อวัว หิวจนหนังท้องหน้าจะติดกับหนังท้องข้างหลังนานแล้ว
“ฉางหลิน จำไว้ว่าอีกเดี๋ยวควรกล่าวเช่นไร อย่าพูดมากนะ แล้วก็ อย่าเพิ่งพูดเื่เงินกับภรรยาเ้าเล่า” หวังซื่อใช้สายตาบอกเป็นัยให้กับหูฉางหลิน มองไปอีกนิดจะเข้าหมู่บ้านแล้ว หวังซื่อกับเจินจูลงจากเกวียนเตรียมมุ่งกลับไปทางเส้นเล็ก พวกนางซื้อเนื้อเยอะเพียงนี้ หากสามนางหกแม่ [2] เห็นเข้าไม่รู้จะกล่าวกันไปว่าอย่างไร
“อื้ม ทราบแล้ว ท่านแม่ ข้าจะไม่หยุดแล้วเอาแต่มุ่งหน้าเร่งกลับไปบ้าน” หูฉางหลินรู้ดีว่าในหมู่บ้านคนมากมายชอบพูดไปต่างๆ นานา แต่ในเวลานี้อากาศหนาวเย็นนัก ไม่น่าจะมีคนมาพบเจอและพูดกระทบกระเทียบมากนักหรอกกระมัง
“ท่านลุง ไม่เป็ไร ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เงินของพวกเราล้วนหามาจากการขายกระต่ายขายเห็ดอย่างละนิดละหน่อย กลัวอันใดกัน ต่อไปพวกเรายังต้องซ่อมบ้านและส่งผิงอันกับผิงซุ่นเข้าโรงเรียนส่วนตัวอีก ยืดแผ่นหลังตั้งตรงอย่างมั่นใจเถิด หาเงินได้ยังต้องกลัวผู้อื่นพูดอันใดกัน ท่านเป็เสาหลักของสกุลหูพวกเรานะ ต้องมีความน่าเกรงขาม” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวให้กำลังใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดมักขาดบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์และยุให้รำตำให้รั่วลับหลังไม่ได้เลย บางครั้งยิ่งหลบหลีกคำนินทากลับยิ่งมากขึ้น ไม่สู้วางไว้ภายนอกแบบเปิดเผยไปเลยไม่ดีกว่าหรือ จำได้ว่ามีประโยคหนึ่งที่กล่าวได้ดีนัก หากเรามีศักยภาพและจิตใจอันเข้มแข็ง ทุกแผนชั่วร้ายล้วนเป็เสือกระดาษ
หูฉางหลินได้ฟังตอนแรกก็มึนงง หลังจากนั้นสีหน้าจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็สงบนิ่ง เจินจูกล่าวได้ไม่ผิด เงินที่หามาได้จากความชอบธรรม ทั้งไม่ได้ขโมยและไม่ได้ปล้นมา มีอันใดต้องกลัวกัน เขาเป็ชายที่โตแล้วคนหนึ่งยังจะกลัวอะไรกับหญิงที่พูดมากน่ารำคาญ เหอะ!
หูฉางหลินคิดได้เช่นนี้แล้ว จึงนั่งยืดตัวตรง ขมวดคิ้ว พยายามทำใบหน้าให้ขรึม สะบัดเชือกบังเหียนในมือะโร้องหนึ่งเสียงเข้าทางหมู่บ้านไป
หวังซื่อพยักหน้ามองอย่างปลื้มอกปลื้มใจ คำพูดของเจินจูที่กล่าวกลับเข้าไปในใจนางเช่นกัน ที่จริงแล้ว ในบ้านมีรายได้ แทนที่จะเก็บๆ ซ่อนๆ ไม่สู้เปิดเผยออกมาให้เห็นเลยดีกว่า
เหยียบย่ำโคลนตมเต็มเท้ากลับมาถึงบ้าน หูฉางกุ้ยที่กำลังซ่อมรั้วล้อมข้างบ้าน เห็นว่าสองคนยกตะกร้าไผ่สานด้วยความเหนื่อยล้ามาแต่ไกล จึงรีบละจากงานตรงหน้าแล้วเข้าไปช่วย
เมื่อเข้ามาภายในบ้านจึงพบว่ารองเท้าซึมน้ำหิมะไปนานแล้ว เท้าหนาวเย็นจนแข็งนัก หลี่ซื่อรีบดึงสองคนขึ้นไปบนเตียง เท้าเย็นเยือกกลับมาอบอุ่นอยู่ในผ้าห่มที่ห่อหุ้ม ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ มีความรู้สึก
“ฮู่ว...” เจินจูพ้นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที หน้าหนาวของทางเหนืออยู่ข้างนอกหนาวประมาณหนึ่งเลยจริงๆ
“หนาวแย่เลยล่ะสิ” หวังซื่อมองเจินจูด้วยความสงสาร หิมะที่ปกคลุมถนนเส้นเล็กลึกและหนา ถึงแม้เป็วันที่ฟ้าแจ้ง แต่หิมะก็ละลายไปไม่เท่าไร สองคนเดินย่ำพื้นหิมะที่ละลายไปครึ่งหนึ่งกลับมา รองเท้าและชายกางเกงก็ซึมเปียกไปนานแล้ว
หลี่ซื่อรีบหากางเกงสะอาดมาให้สองคนได้เปลี่ยน การสวมเสื้อผ้าเปียกเย็นเป็เวลานานในหน้าหนาวอาจป่วยได้
เมื่อเปลี่ยนกางเกงเรียบร้อยแล้ว เจินจูนั่งขัดสมาธิใกล้กับฝาผนังอย่างผ่อนคลาย ในมือสองข้างกุมแก้วน้ำร้อนไว้ ค่อยๆ ดื่ม
หลังหลี่ซื่อรู้ว่าสองคนยังไม่ได้ทานอาหารเที่ยง จึงรีบไปทำบะหมี่ให้พวกเขา
หวังซื่อดื่มน้ำร้อนจนหมด ผ่อนคลายน้ำเสียง แล้วจึงเอาคำถามที่เก็บไว้ในใจมาตลอด่บ่ายถามออกมา “เจินจู เ้าซื้อเนื้อมาเยอะเช่นนั้นคิดจะใช้ทำอันใดหรือ?”
“อืม…ทำกุนเชียง” เจินจูพบว่าตอนเดินเล่นที่ตลาด ที่นี่คล้ายกับมีเพียงปลาเค็มเนื้อเค็ม แต่ไม่มีกุนเชียงเนื้อตากแห้ง
กรอกกุนเชียงตากแห้งเป็ประเพณีฉลองปีใหม่ของชาติก่อนในท้องถิ่นของนาง พอคิดว่าฉลองปีใหม่ไม่มีกุนเชียงตากแห้งทาน เจินจูรู้สึกไม่สบายใจทันที ทุกปีเมื่อเข้าหน้าหนาวมารดาคนก่อนของนางจะเริ่มหมักเนื้อตากแห้งและกรอกกุนเชียงอย่างกระตือรือร้น ตากแห้งกว่าครึ่งเดือนก็ทานมื้อใหญ่ได้อย่างสุขใจแล้ว กุนเชียงเนื้อตากแห้งรสชาติมีเอกลักษณ์และกลิ่นหอมกรุ่น เป็กับข้าวอย่างหนึ่งในอาหารข้ามคืนต้อนรับปีใหม่ที่จะขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“กุนเชียง?” ในน้ำเสียงหวังซื่อมีความงงงวยอยู่ด้วย
เชิงอรรถ
[1] หากว่าเจียวน้ำมันออกมาได้ เมื่อทานเข้าไปถึงในท้องไขมันก็เยอะ เป็การบอกว่า เนื้อหมูที่เจียวเอาน้ำมันออกมาได้แสดงว่าเนื้อติดมันที่ทานเข้าไปก็มีไขมัน อาหารที่มีไขมันทานเข้าไปจะไม่หิวง่าย ในสมัยก่อน ผู้คนไม่มีเงินซื้อน้ำมัน จึงทำได้เพียงเจียวเอาน้ำมันออกมา ส่วนน้ำมันที่เหลือก็สามารถใช้ผัดกับข้าวอื่นๆ ได้
[2] สามนางหกแม่ คำว่าสามนาง หมายถึง อิสตรีสามจำพวก ได้แก่ แม่ชี นักพรตหญิง คนทรงติดต่อกับิญญา ส่วนคำว่าหกแม่ หมายถึง แม่นางหกพวก ได้แก่ หญิงค้ามนุษย์ แม่สื่อ ช่างแต่งหน้า แม่เล้า นักปรุงยา หมอตำแย ซึ่งในนิยายจะหมายถึงบรรดาหญิงสาวที่ชอบซุบซิบนินทาในหมู่บ้าน