นับแต่โบราณกาลมา ไม่ว่าจะเป็ช่างตีเหล็กหรือนักปรุงยา ล้วนแต่ชอบทิ้งรอยประทับเอาไว้ยังผลงานที่พวกเขาภาคภูมิใจ และเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป รอยประทับนี้ก็จะกลายเป็สัญลักษณ์เฉพาะตัว
ในอดีต ปรมาจารย์สำนักเทียนฉีนับว่าเป็บุคคลอันดับหนึ่งในแดนเซียนอู่ พละกำลังที่เขามีอยู่ในระดับสูงสุด ฉะนั้นกระบี่ที่เขาสนใจจะเป็ของธรรมดาได้หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี่ยังจำได้อย่างชัดเจนว่า กระบี่เล่มนั้นเป็เล่มที่ปรมาจารย์สำนักเทียนฉีรักมากเป็พิเศษ และมักจะเล่นกับมันอยู่แทบจะตลอดเวลา ในตอนแรกนั้น ฉินอวี่เคยได้ยินเ้าสำนักพูดว่า กระบี่เล่มนั้นถูกสร้างมาจากช่างตีเหล็กระดับเซียนคนหนึ่งที่จากยุคไท่ชู
ช่างตีเหล็กระดับเซียนคนนั้นมีนามว่าหวังต้าหนิว ผู้ธรรมดาอย่างสุดแสนจะธรรมดา แม้ว่าชื่อของเขาจะดูไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไร แต่กลับมีชื่อเสียงะเืไท่ชู จนเป็ที่รู้จักกันในนามของยอดนักตีเหล็กระดับเซียนแห่งไท่ชู และบนอาวุธที่หวังต้าหนิวเป็คนสร้างนั้นจะมีรอยประทับรูปศีรษะวัวเอาไว้!
ไม่ว่าจะเป็กระบี่ของปรมาจารย์เทียนฉี หรือจะเป็ดาบใบกว้างก็ล้วนมีรูปศีรษะวัวประทับเป็สัญลักษณ์ไว้
เมื่อมองไปยังพยนต์มรณะหนุ่มที่อยู่ไกลออกไป ฉินอวี่ก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ โชคดีที่ตนเองเลี้ยงดูเสี่ยวหลิงเอาไว้ ไม่เช่นนั้น นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังอาจต้องสูญเสียอีกด้วย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉินอวี่ก็ยกมือขวาขึ้นมา จากนั้นเพลิงมรณะส่วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือข้างขวา ทันทีที่เปลวไฟปรากฏขึ้น ฉินอวี่ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังงาน
“เป็เช่นนี้จริงๆ” ฉินอวี่พูดขึ้นในใจ และไม่กล้าจะนำเพลิงมรณะออกมาเป็จำนวนมาก ไม่เช่นนั้น เสี่ยวหลิงกินจนอิ่มก็จะหายไปทันที หากเป็เช่นนั้นจะไม่วุ่นวายไปกว่านี้หรือ?
“ช่างเถอะ ปล่อยให้เขาตามไปด้วยก็ดีเหมือนกัน เมื่อเข้าสู่แดนมรณะแห่งนี้คงจะมีผู้แข็งแกร่งอื่นๆ อยู่อีกเป็แน่ หากมีพยนต์มรณะอยู่ด้วยเช่นนี้ บางทีอาจจะปลอดภัยมากขึ้น” เมื่อแน่ใจว่าไม่มีทางหนีพ้นจากพยนต์มรณะแล้ว ฉินอวี่ก็ตัดสินใจปล่อยวางเื่นี้ ถึงอย่างไรหากมีเสี่ยวหลิงอยู่ด้วย พยนต์มรณะตัวนี้ก็ไม่กล้าโจมตีแน่นอน
ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็มุ่งหน้าเข้าไปในแดนมรณะต่อไป
“โฮก!” พยนต์มรณะหนุ่มส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธขึ้นมา และติดตามฉินอวี่ต่อไป
ตลอดเส้นทาง พยนต์มรณะหนุ่มในตอนนี้เหมือนกำลังอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง เขาทำการฉีกพยนต์มรณะทั่วไปที่พบเจอระหว่างทางออกเป็ชิ้นๆ ในตอนแรกฉินอวี่ยังคงระมัดระวังตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาจึงเลือกจะไม่สนใจพยนต์มรณะตนนี้อีกต่อไป
ในวันนี้ ฉินอวี่ได้นั่งยองๆ อยู่ด้านข้างแผ่นศิลาชิ้นหนึ่ง มือข้างขวากำลังลูบไปบนแผ่นศิลา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น มองลึกเข้าไปตรงเบื้องหน้า ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งลึกเข้าไป แผ่นดินก็ยิ่งดูรกร้าง ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยพลังมรณะที่เข้มข้น แผ่นศิลาก็มีมากขึ้น เมื่อกวาดสายตามองเพียงพริบตาเดียว พื้นที่อันพร่ามัวแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยแผ่นศิลาจำนวนมาก จนดูเหมือนป้ายหลุมศพจำนวนมากที่ดูลึกลับและน่ากลัว ซึ่งแผ่นศิลาเหล่านี้ ส่วนมากมักจะแตกหักและไม่สมบูรณ์ ราวกับพวกมันผ่านาอันยิ่งใหญ่และรุนแรงมา
ฉินอวี่ค่อยๆ ลูบไปบนแผ่นศิลา และพบว่าแผ่นศิลาที่นี่ดูจะมีความเก่าแก่กว่ามาก ราวกับผ่านความผันผวนแห่งกาลเวลา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสังเกตเห็นว่า บนแผ่นศิลาทุกแผ่นต่างมีรูปร่างที่แทบจะเหมือนกันทั้งสิ้น
“ค่ายกลหรือ? หรือว่าจะมีการวางค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้ในแดนมรณะแห่งนี้?”
“ิญญามรณะสามารถถือกำเนิดขึ้นได้จากที่แห่งนี้ และสามารถรู้ได้ทันทีว่าในอดีตที่แห่งนี้เคยเกิดการต่อสู้อันน่าใขึ้น และคงมีคนตายอยู่ที่นี่เป็จำนวนมาก บางที จอมอสูรนั่นอาจจะสนใจในดินแดนแห่งนี้ จึงวางค่ายกลเอาไว้ และทำให้ซากศพที่อยู่ในที่แห่งนี้กลายเป็พยนต์มรณะ... และต่อมาก็เป็ที่สนใจของบรรพชนหยาจื้อสิบสามฝ่าย จึงเกิดเป็การสู้รบอันดุเดือด ทำลายค่ายกลที่ถูกวางไว้ทั้งหมด แต่ค่ายกลเ่าั้ไม่ได้ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น คนรุ่นหลังของหยาจื้อสิบสามฝ่ายที่ตายในดินแดนแห่งนี้จึงล้วนกลายเป็พยนต์มรณะ!”
“หากเป็เช่นนี้ แผ่นศิลาเหล่านี้ก็ต้องเป็สิ่งที่จอมอสูรนั่นทิ้งเอาไว้” ฉินอวี่พึมพำ
แผ่นศิลาส่วนใหญ่อยู่ในสภาพแตกหักและไม่สมบูรณ์ ฉินอวี่จึงไม่คิดจะนำไปด้วย แต่หากเสร็จภารกิจทุกอย่าง ฉินอวี่ก็อาจจะนำกลับไปบ้างบางส่วน เพื่อจะหาหนทางใช้งานมันได้ในอนาคต
“แต่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเืของหยาจื้ออยู่ที่ไหนกันแน่ ไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป หากค่ายกลวิชาเวทที่วางไว้ยังคงอยู่ การอยู่ที่นี่นานเกินไป อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับข้าได้ จะต้องรีบตามหาเืของหยาจื้อให้ได้เร็วที่สุด” ฉินอวี่ลุกขึ้นช้าๆ ทอดสายตาออกไปยังภาพอันพร่ามัวตรงเบื้องหน้า แต่พื้นที่ตรงนั้นมืดสลัวเกินไป จึงมองเห็นได้เพียงรัศมีไม่เกินสามสิบจ้าง ด้วยระยะห่างเท่านี้จึงไม่สามารถเห็นได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า แต่พยนต์หนุ่มตัวนั้นยังคงตามหลังอยู่ห่างไปสิบกว่าจ้าง โดยไม่กล้าเข้าใกล้
ในวันต่อมา ฉินอวี่ก็มุ่งหน้าเข้าไปในแดนมรณะอย่างบ้าคลั่งเพื่อตามหาเืของหยาจื้อ
ครึ่งเดือนผ่านไป
ฉินอวี่กำลังยืนอยู่ตรงขอบทางน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งทางน้ำแห่งนี้เหมือนเป็แม่น้ำที่เหือดแห้งไปแล้ว และไม่รู้ว่ามีที่มาจากที่ใด แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่แปลกใจคือ เมื่อยืนอยู่ตรงขอบเช่นนี้ กลับได้กลิ่นคาวเืที่เข้มข้นโชยเข้ามายังจมูก ส่วนดินโคลนที่อยู่เบื้องล่างของทางน้ำต่างมีลักษณะเหมือนกันและเป็สีแดงทอง
“แดงทอง? มีคำร่ำลือกันว่าเือันบริสุทธิ์ของหยาจื้อนั้นมีสีแดงทอง หรือที่แห่งนี้จะเคยเป็ทางน้ำที่เืของหยาจื้อเคยไหลผ่าน?” ฉินอวี่ตกตะลึงกับความคิดของตนเอง
ไม่รู้ว่าทางน้ำแห่งนี้มีความยาวเพียงใด แต่หากมองจากความกว้างแล้ว จุดแคบที่สุดจะอยู่ที่สามสิบจ้าง ซึ่งหากจะเรียกทางน้ำแห่งนี้ว่าแม่น้ำก็คงดูไม่เกินจริง หากเติมเต็มแม่น้ำแห่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้หยาจื้อจำนวนมากเท่าไร!
เพียงแต่ หากตามแม่น้ำสายนี้ไป ก็เป็ไปได้ว่าจะพบกับเืของหยาจื้อ ถ้ามันยังคงมีหลงเหลืออยู่จริง
ฉินอวี่มองซ้ายมองขวาอยู่เป็เวลานาน เพราะด้วยเวลาที่ผ่านมานานเกินไป จึงไม่สามารถจะระบุแหล่งที่มาของแม่น้ำสายนี้ได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็รีบวิ่งไปทางด้านขวาอย่างรวดเร็ว ตามการคาดการณ์ของเขาทางด้านขวาคือทิศทางที่ลึกที่สุดของแดนมรณะแห่งนี้ และแม่น้ำสายนี้ก็ควรจะมีจุดกำเนิดจากส่วนลึกนั่น
ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ฉินอวี่ก็อยากลองศึกษาดูให้ลึกซึ้ง ไม่เช่นนั้น ในอนาคตก็คงไม่มีโอกาสได้กลับเข้ามาอีกแล้ว
เพื่อไม่ให้พลาดเื่เืของหยาจื้อ ฉินอวี่จึงะโลงไปในทางน้ำ และค่อยๆ เดินตรงไปตามทาง ในขณะเดียวกันพยนต์มรณะหนุ่มก็หยุดยืนอยู่ริมขอบทางน้ำ ราวกับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปเป็เวลานาน เขาก็ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง และะโลงตามฉินอวี่ลงไปในทางน้ำ
ไม่รู้เพราะเนิ่นนานเกินไป หรือเป็เพราะเืของหยาจื้อในที่แห่งนี้ได้หายไปจนหมดแล้ว ภายในทางน้ำแห่งนี้จึงไม่มีพลังอะไรที่น่ากดดันหลงเหลืออยู่เลย สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่งุนงงอย่างมาก หากว่ากันตามหลักการแล้ว หลังจากเข้าสู่ระดับเขตแดนเต๋า เืทุกหยดก็จะมีพลังมหาศาล หากที่แห่งนี้เคยมมีเืของหยาจื้อไหลผ่านจริงๆ ละก็ ก็ควรมีพลังของหยาจื้อปรากฏอยู่จึงจะถูกต้อง
“บางทีที่แห่งนี้อาจไม่ใช่เืของหยาจื้อ แต่พื้นของแม่น้ำสายนี้ล้วนเป็สีแดงทอง จึงน่าจะเกิดจากการเปื้อนเืของหยาจื้อ” ฉินอวี่พยายามคิดอยู่นานก็ไม่สามารถเข้าใจเื่นี้ได้ เขารู้สึกได้เพียงว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะยังมีสิ่งที่ไม่รู้จักอีกเป็จำนวนมาก
ขณะที่ฉินอวี่กำลังเดินตรงไปตามทางน้ำ เขาก็เดินมาถึงจุดกำเนิดของทางน้ำสายนี้
ในเวลานี้ อันดับหนึ่งเต็มไปด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดเลอะเทอะ ก้าวเดินอยู่อย่างโซเซ อันดับหนึ่งในตอนนี้จะไปเหลือความฮึกเหิมเหมือนตอนเข้ามาได้อย่างไร?
สิบเดือนมาแล้ว เป็เวลาสิบเดือนเต็มแล้ว หากเทียบความอิสระและความสะดวกสบายกับฉินอวี่แล้ว ในสิบเดือนนี้ ก็เป็เหมือนดั่งฝันร้ายของอันดับหนึ่ง ในสิบเดือนนี้เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการปิดล้อมโจมตีของพยนต์มรณะกว่าหลายร้อยครั้ง และมีมากกว่าสิบครั้งที่ถูกพยนต์มรณะที่แข็งแกร่งมากไล่ตาม
แดนมรณะแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด ราวกับไม่มีจุดเริ่มต้นและปลายทาง อันดับหนึ่งยังคงเดินตรงลึกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงอีกฟากหนึ่งได้ เนื่องด้วยที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้พลังของมโนจิตได้ และมีพยนต์มรณะอยู่ทุกหนแห่ง อันดับหนึ่งจึงต้องพ่ายแพ้ให้กับเกราะในใจครั้งแล้วครั้งเล่า
อันดับหนึ่ง ต้องมีหวังสิ!
ั้แ่เด็กจนโต อันดับหนึ่งไม่เพียงแต่จะมีสายเืหยาจื้อที่บริสุทธิ์กว่าคนอื่นๆ แต่ยังมีพร์อันน่าใ อีกทั้งยังผ่านการกระตุ้นสายเืทั้งสามชนิด สายเืทั้งสี่รวมอยู่ในร่างเดียวกัน แม้แต่ในบรรดาหยาจื้อสิบสามฝ่ายก็จัดว่าเป็คนที่หาได้ยากในรอบล้านปี หากไม่เป็อะไรไปเสียก่อนเวลาอันควร
การมายังหอคอยขัดเกลาในครั้งนี้นับเป็สิ่งที่อันดับหนึ่งไม่เต็มใจนัก บิดาของเขาก็ได้ห้ามปรามเขาแล้วเช่นกัน แม้แต่คนในเผ่าเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดยั้งเขาไว้ไม่ให้เข้ามายังหอคอยขัดเกลา แต่แล้วด้วยความแน่วแน่และด้วยความรู้ที่มีเกี่ยวกับแดนมรณะของอันดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่อันดับหนึ่งก็มั่นใจว่า ในเมื่อผู้นำสามารถออกมาจากแดนมรณะได้ ตัวเขาก็จะต้องออกไปได้เช่นกัน
แต่ในสิบเดือนนี้ ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ได้ทำลายความมั่นใจในตนเองของอันดับหนึ่งให้สลายไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทำให้อันดับหนึ่งเสียความตั้งใจไปอย่างสมบูรณ์
“เืของหยาจื้อ ขอเพียงข้าสามารถได้เืของหยาจื้อมา ข้าก็ออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว! ขอเพียงออกไปจากที่นี่ ข้าจะต้องฆ่าหวังซิงเฉินได้แน่นอน หากไม่ฉีกเขาให้เป็ชิ้นๆ คนอย่างข้าอันดับหนึ่งก็ยินดีจะอยู่ในเหวลึกไปตลอดกาล!” อันดับหนึ่งะโดังในใจ
อันดับหนึ่งกำลังจมอยู่ในความขุ่นเคืองและสิ้นหวัง โดยไม่ทันสังเกตเลยว่า เขาไม่พบกับพยนต์มรณะมาเป็ระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ในวันนี้ ชายที่กำลังเดินโซเซหยุดลงอย่างกะทันหัน พลังปราณและเืลมในร่างกายเริ่มพลุ่งพล่าน ความรู้สึกสนิทที่ไม่อาจบรรยายได้ปรากฏขึ้นในใจ อันดับหนึ่งตกตะลึงไปทันที และเงยหน้าขึ้นมองไปเบื้องหน้า
ในความสับสนนั้น อันดับหนึ่งก็มองเห็นูเาที่สูงตระหง่าน ในภวังค์เช่นนี้ อันดับหนึ่งเริ่มได้ยินเสียงเรียกที่ดังมาจากไท่กู่...
“นั่น... ใช่บรรพชนหรือไม่?” อันดับหนึ่งมองไปตรงหน้าอย่างตกตะลึง
และในเวลาเดียวกันนี้
อีกด้านหนึ่งของแดนมรณะ
ชายหนุ่มที่ดูมอมแมมได้อุ้มศพศพหนึ่งเอาไว้ และเดินอยู่ในส่วนลึกของแดนมรณะอันกว้างใหญ่ราวกับซากศพเดินได้ และด้านหลังของเขา ก็พบกับวัวกระทิงตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเืตัวหนึ่ง และกระทิงตัวนี้ถูกจัดอยู่ในอันดับสามของรายนามระดับสามัญ
“เป็แบบนี้ได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น!”
“เผ่าหยาจื้อ... เผ่าหยาจื้อ ตัวข้าหยางเต้าชั่วชีวิตนี้จะไม่ทำลายเผ่าหยาจื้อของเ้า... ข้าสาบานจะทำให้ได้!”
“ั้แ่นี้ไป บนโลกใบนี้ไม่มีหยางเต้าอีกแล้ว จะมีเพียงหยาง! เทียน! เต้า!”
