วันต่อมา เป็อย่างที่กู้หนานเฟิงคาดการณ์เอาไว้ นอกจากผู้ประสบภัยเมืองตั้งหยางแล้ว ชาวบ้านจากเมืองอื่นๆ ที่ไม่ได้ประสบภัยต่างทยอยมาที่นี่ด้วยเช่นกัน พวกเขารวมตัวกันอยู่หน้าประตู รวมๆ แล้วน่าจะพันคนเห็นจะได้
โชคดีที่พวกเขาได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว เมื่อวานนี้ได้ออกคำสั่งลงไปให้มีการเฝ้าข้าวต้มหนึ่งถังเอาไว้ทั้งคืน จากนั้นก็ตักให้คนละถ้วย กู้หนานเฟิงตื่นเช้ากว่าหลิวเยว่ เพื่อดูแลการแจกข้าวต้มของบรรดาขุนนางและทหาร
แสงจากดวงตะวันอันอ่อนละมุนในยามเช้าตรู่ส่องมาที่เขาราวกับรอบๆ ตัวเขาถูกห่อหุ้มด้วยชั้นบรรยากาศสีทองบางๆ เขาดูดีจริงๆ อันที่จริงเขาก็เป็สุภาพบุรุษที่หล่อเหลา อีกทั้งยังเป็บุรุษที่ร่ำรวยเทียบเท่าแคว้น เมื่อเขาออกมาปรากฏตัวบริเวณถังไม้จึงยิ่งทำให้มีเสน่ห์ยิ่งนัก
ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลิวเยว่พอดี จึงส่งยิ้มบางๆ ให้นาง เพื่อบอกให้นางกลับไปพักต่อ ที่นี่ไม่ต้องให้ถึงมือนาง ทว่าไหนเลยหลิวเยว่จะยอมจากไป นางเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อมาอยู่ข้างๆ เขา
“ข้ามารักษาความสงบเรียบร้อย”
หลังจากพูดจบแล้วนางก็ะโไปยังผู้ประสบภัยที่ยืนเรียงแถวกันอย่างสะเปะสะปะ
“ทุกคนยืนดีๆ เข้าแถวให้เรียบร้อย”
“ไม่ต้องรีบนะ เสบียงวันนี้มีเพียงพอแน่นอน ได้กินทุกคน”
เมื่อนางะโออกไป ภายใต้คำสั่งของนาง ชาวบ้านผู้ประสบภัยต่างเรียงแถวอย่างเป็ระเบียบ ทุกคนล้วนถือชามของใครของมันเดินหน้าต่อแถวเพื่อรับโจ๊ก และพวกทหารก็ไม่ส่งเสียงะโด่าทอผู้ประสบภัยอีก
เมื่อหลิวเยว่เห็นว่าสงบลงแล้ว นางจึงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ นางสวมหมวกและผ้าคลุมบังหน้าสีขาวบาง ทำให้คนมองหน้านางได้ไม่ชัดเจน นางสวมผ้าคลุมหน้าสีขาวให้เหมือนกับกำลังบังแสงอาทิตย์ แต่จริงๆ แล้วนางปิดบังใบหน้าของตนเพื่อระวังป้องกันปัญหาใหญ่ที่จะตามมา
ผู้ประสบภัยที่เดินผ่านนาง ต่างพูดกับนางไม่หยุด
“ขอบคุณ ขอบคุณ”
หากนางเห็นคนที่มีอายุมากหรือคนที่กำลังอุ้มเด็ก นางจะสั่งทหารที่อยู่ด้านข้างให้คอยดูแลให้มากขึ้น
กู้หนานเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เหตุใดเ้าถึงได้ดูคล่องแคล่วถึงเพียงนี้? คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าเ้าเคยช่วยเหลือผู้ประสบภัยมาก่อนก็ได้นะ”
หลิวเยว่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เคยทำมาก่อนหรือ?
ใช่ ที่เมืองตั้งหยางแห่งนี้ นางเคยมี่เวลาวัยหนุ่มสาวที่แสนมีความสุขที่สุดกับอวิ๋นซู่
เมืองตั้งหยางตั้งอยู่ทางตอนล่างของแม่น้ำหวง ฤดูร้อนทุกปีปริมาณน้ำฝนจะพุ่งสูงขึ้น และง่ายต่อการเกิดน้ำท่วม ราชสำนักจัดสรรเงินให้มาขุดลำคลองและสร้างอ่างเก็บน้ำทุกปี แต่ยังคงมีอุทกภัยเกิดขึ้นทุกปี
ประมาณสามปีก่อนเห็นจะได้ ทุกๆ ฤดูร้อน ฮ่องเต้และองค์หญิงจะสั่งให้อวิ๋นซู่มาดูแลและควบคุมการบริหารจัดการน้ำ สภาพแวดล้อมที่นี่ลำบากมาก ดังนั้นอวิ๋นซู่จึงไม่ได้พาหลิวเยว่มาด้วย ตอนนั้นหลิวเยว่จงใจสร้างเื่ในจวนตระกูลเจิน อีกทั้งบิดาของนางก็ไม่เคยควบคุมพฤติกรรมของหลิวเยว่ บิดาของนางอยู่บนหลังม้าั้แ่ที่นางยังเล็กจนกระทั่งนางเติบใหญ่ ดังนั้นตอนที่อวิ๋นซู่ไม่ให้นางติดตามไปด้วย นางจึงลอบเดินตามขบวนเดินทางของเขาไปอย่างเงียบๆ เมื่อไร้หนทางให้กลับแล้ว นางถึงได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าอวิ๋นซู่ บังคับเขาให้พานางไปที่เมืองตั้งหยางด้วย นางจำได้ ตอนปีแรก ขณะที่อวิ๋นซู่เดินทางไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ เขาก็เห็นนางมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา เขาทั้งดีใจทั้งจนปัญญา ได้แต่อุ้มนางขึ้นมาบนหลังม้าของตนเองและทั้งสองก็ควบม้าไปด้วยกัน
แม้ว่าตอนนั้นอวิ๋นซู่จะเป็เพียงองค์ชายสาม และไม่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้องค์ก่อน การที่ฮ่องเต้องค์ก่อนส่งเขามาที่เมืองตั้งหยางอันลำบากนี้แม้ว่าเบื้องหน้าจะเพื่อฝึกฝนเขา แต่จริงๆ แล้วก็เพื่อลดกำลังของเขา ไม่เช่นนั้นหากกำลังของเขามีมากเท่าไร เมื่อเทียบกับองค์ชายใหญ่ เขาสามารถคุกคามการสืบทอดของราชบัลลังก์ในอนาคตได้ ดังนั้นเส้นทางนี้จึงมีคนไม่มากที่ติดตามเขา มีเพียงทหารข้างกายไม่กี่นายเท่านั้น ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากนี้กลับเป็่เวลาที่หลิวเยว่มีความสุขที่สุด
อวิ๋นซู่จับสายบังเหียนด้วยมือข้างเดียว และอีกมือก็กอดนางไว้ในอ้อมแขนเพื่อไม่ให้นางลำบากมากเกินไป นางคิดในใจ ตอนนั้นยังไม่มีการแย่งชิงในราชสำนัก ไม่มีการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ และอวิ๋นซู่รักนางที่สุด
ตอนนั้นอวิ๋นซู่มาถึงเมืองตั้งหยาง ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากราชสำนักเป็เพียงการบรรเทาทุกข์ แต่เขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
“การบรรเทาทุกข์เป็เพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพียงบริหารจัดการน้ำให้ดีย่อมสามารถขจัดปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเมืองตั้งหยางทุกปีได้”
เขาคือคนที่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เมื่อกล่าวออกมาก็ลงมือทำทันที มีการเกณฑ์ทหารม้า และลงทุนสร้างแหล่งเก็บน้ำ ส่วนเื่บรรเทาทุกข์ชาวบ้าน เป็หลิวเยว่นำอาหารไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านเอง
สภาพแวดล้อมตอนนั้นลำบากมาก หลิวเยว่ยังดีกว่าสักหน่อย นางเพียงแค่ยืนคุมอยู่ข้างๆ แต่อวิ๋นซู่กลับต้องยืนเฝ้าอยู่ข้างแม่น้ำทั้งวันทั้งคืน ต้องคอยศึกษาวิธีการและควบคุมทุกอย่าง เขากลับมาที่พักด้วยความเหนื่อยล้าทุกวัน และผล็อยหลับไปโดยที่แม้แต่มื้อเย็นก็ไม่ได้กิน
ตอนนั้นเขาเป็แค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง หลิวเยว่เห็นแล้วก็ปวดใจ ขอร้องให้เขาไม่ต้องไปอีก เื่พวกนี้ให้คนอื่นไปทำก็พอแล้ว เขาที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นเอ่ยตอบนางว่า
“ถ้าทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด ในเมื่อข้ามาฝึกฝนประสบการณ์กับประชาชน แน่นอนว่าข้าย่อมต้องเข้าไปในหมู่พวกเขา เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าราษฎร้าอะไรกันแน่ หวาดกลัวอะไรบ้าง ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับพวกเขา ในอนาคตจะได้มีประโยชน์จากพวกเขา ได้ใจประชาชน ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนถึงจะได้ครองใต้หล้า”
เพราะเขากำลังจะหลับ ดังนั้นเขาจึงพูดไปเรื่อยเปื่อยไร้ซึ่งตรรกะ ในเวลานั้นหลิวเยว่ยังอยู่ในวัยที่ไม่รู้เื่ราว นางจึงไม่สังเกตเห็นความทะเยอทะยานของเขา
แต่ตอนนี้ เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว เวลานั้นเขายังคงเป็เพียงเด็กหนุ่ม ทว่าเขากลับมีใจทะเยอทะยานแล้ว
อดีตที่ไม่ควรคิดถึง หากคิดถึงมัน ย่อมจะรู้สึกได้ถึงทุกอย่าง ทั้งหมดนี้ถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็แค่เจินลิ่วซีที่ไม่เข้าใจโลกใบนี้เท่านั้น
กลับมาเมืองตั้งหยางครั้งนี้ สภาพแวดล้อมยังคงเหมือนเดิม คำพูดของกู้หนานเฟิงทำให้นางคิดไปได้ไกลถึงเพียงนี้
“ตามความน่าจะเป็ เสบียงที่พวกเรานำมาด้วยน่าจะถูกใช้จนหมดอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็ต้องผลิตออกมาให้เร็วที่สุด”
กู้หนานเฟิงและหลิวเยว่กังวลมากกว่าใต้เท้าจู้เสียอีก
ผู้ประสบภัยที่มาเมืองตั้งหยางนับวันก็ยิ่งมากขึ้น ผู้ประสบภัยในเมืองได้กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ทว่าวันต่อมา เมื่อประตูเมืองเปิด จำนวนคนก็เพิ่มขึ้นสองเท่ามากกว่าเมื่อคืน พวกเขารับไม่ไหวแล้วทำได้เพียงใส่น้ำในโจ๊กให้มากขึ้น เพื่อรับประกันว่าจะอยู่ได้อีกหลายวัน
เพราะครั้งนี้กู้หนานเฟิงขนส่งเสบียงอาหารมาในนามของพระสนมซิน ดังนั้นทั่วทั้งเมืองจึงให้ความนับถือแก่พระสนมซิน
หลิวเยว่ไปที่ใด เตี๋ยเย่ก็ตามเข้าไปที่นั่น นางยังคงเงียบเหมือนเดิม แต่เพราะมีนางอยู่ข้างๆ หลิวเยว่จึงรู้สึกสบายใจ เตี๋ยเย่กำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนในความมืดนอกประตูเมือง
“ความอดอยากไม่ได้เลวร้ายที่สุด ที่น่ากลัวที่สุดคือโรคระบาด”
โรคระบาด? นี่คือสิ่งที่หลิวเยว่กังวลมากที่สุด หลังเกิดภัยพิบัติมีคนตายมากมาย จึงไม่อาจจัดการตามพิธีอย่างเหมาะสมได้ทั้งหมด บางส่วนถูกฝัง บางส่วนไม่ได้ถูกฝัง ความเป็ไปได้ที่จะเกิดโรคระบาดครั้งนี้มีมากเกินไป
นางหารือกับกู้หนานเฟิงแล้ว และกู้หนานเฟิงก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“ไปหาใต้เท้าจู้เพื่อหาทางแก้ไข เพิ่มกำลังทหารเผาร่างที่อดตายอยู่ในเรือน จัดการอย่างเหมาะสม ไม่เช่นนั้นโรคระบาดจะแพร่กระจาย และผลที่ตามมาย่อมยากจะจินตนาการ”
ใต้เท้าจู้ที่ได้ยินความคิดของเขา เช็ดเหงื่ออย่างเบื่อหน่ายก่อนจะรับปากเต็มคำและลงมือทำ
่อดอยากเข้าสู่่คงตัว ทว่าใต้เท้าจู้ยังไม่ได้ใช้มาตรการแม้แต่น้อย
และตามที่พวกเขาคาดไว้ โรคระบาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้นแล้ว
อย่างแรก มีบางคนทางตอนใต้ของเมืองไอและมีไข้สูง มีตุ่มพองทั่วทั้งร่างกายและเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา อีกทั้งหลายคนในทางเหนือของเมืองต่างมีอาการเดียวกันและเสียชีวิตในอีกสองสามวันต่อมา
กู้หนานเฟิง หลิวเยว่ เตี๋ยเย่และคนอื่นๆ รู้ว่ามันเป็โรคระบาดที่ยากจะหลีกเลี่ยง
เมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ทั่วทั้งเมืองตั้งหยางจึงตกอยู่ในความตื่นตระหนกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แทบไม่มีใครกล้าเดินบนถนน แม้แต่อากาศที่หายใจก็ดูเหมือนจะปนเปื้อนด้วยมลพิษ
ใน่เวลาสำคัญนี้ จู่ๆ ใต้เท้าจู้ก็วิ่งหอบหายใจมาด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ฮ่อง...ฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว”
“ฮ่องเต้เสด็จมาได้อย่างไร?” กู้หนานเฟิงรู้สึกเหลือเชื่อ
แต่หลิวเยว่กลับรู้สึกเหมือนศีรษะจะะเิ อวิ๋นซู่มาทำไม? ตอนนี้เขาเหมือนร่างอวตารของเซียน จะมายังที่ทุรกันดารแบบนี้ได้อย่างไร? อีกอย่าง ที่นี่ก็อันตรายมาก
ใต้เท้าจู้เอ่ย
“ฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จมาถึง ยังไม่ทันได้พักก็เสด็จไปดูแลจิตใจของประชาชนทันที ตอนนี้น่าจะอยู่บนอาคารแล้ว”
ใต้เท้าจู้พากู้หนานเฟิงและคนอื่นไปเข้าเฝ้า หัวใจของนางกระวนกระวายยากจะสงบ นางมองกู้หนานเฟิงขึ้นไปบนอาคาร นางพยายามอยู่ให้ห่างพลางมองไปยังบุรุษที่อยู่บนอาคาร
เป็เขาจริงๆ อวิ๋นซู่ บนอาคารนั้นลมแรงพัดชายเสื้อของเขาให้ปลิวไสว แม้จะห่างไกล แต่ยังััได้ถึงความทะนงตนของเขา ความเย่อหยิ่งที่ดูแคลนใต้หล้า
ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่ใต้เท้าจู้ที่อยู่ด้านข้างกลับคุกเข่าลงก้มหมอบพลางโขกศีรษะไม่หยุด และกู้หนานเฟิงก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเคร่งขรึม ข้างกายเขาก็คืออันกงกง กำลังโค้งกายรอรับคำสั่ง
รัศมีของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวรู้สึกประหม่าและหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว แม้หลิวเยว่จะอยู่ห่างไกลออกมามาก แต่หัวใจของนางก็ยังสั่นคลอน
หลังจากผ่านไปนานกู้หนานเฟิงก็กลับมา ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมและพูดกับหลิวเยว่
“ใต้เท้าจู้ตายแล้ว”
หัวใจของหลิวเยว่พลันหนักอึ้ง นางรู้สาเหตุ สิ่งที่อวิ๋นซู่เกลียดที่สุดคือขุนนางที่ทุจริต ตามด้วยขุนนางที่ไม่ทำอะไรเลย และใต้เท้าจู้ก็มีครบทั้งสองสิ่ง
นางได้ยินขุนนางคนอื่นๆ พูดคุยกัน
“ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับแหล่งเก็บน้ำในเมืองตั้งหยางเสมอมา ใน่สองปีแรกแหล่งเก็บน้ำยังมั่นคง ลำคลองที่ปล่อยน้ำก็เป็ไปอย่างเหมาะสม แต่ใน่สองปีที่ผ่านมา เพราะใต้เท้าจู้ละเลยการดูแลจึงเกิดอุทกภัยขึ้นเช่นนี้ การแจกจ่ายอาหาร บรรเทาทุกข์ ทำให้ประชาชนเสียชีวิต และตอนนี้ยังเกิดโรคระบาดที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงพิโรธมาก จึงสั่งปะาเขา”
หัวใจของหลิวเยว่พลันเย็นะเื ร่างกายของนางค่อยๆ เย็นเยียบ ใต้เท้าจู้สมควรได้รับโทษนั้น หญ้าและต้นไม้ทุกต้นในเมืองตั้งหยางล้วนได้รับการดูแลจากอวิ๋นซู่เป็อย่างดีในตอนนั้น ในโลกที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองในตอนนี้ กลับเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะมาด้วยตนเอง
กู้หนานเฟิงเอ่ยถาม
“คืนนี้ฮ่องเต้ทรงพักที่ใด?”
ขุนนางเอ่ยอย่างกังวล
“ฮ่องเต้เสด็จมาในครั้งนี้ ไม่ประสงค์ให้ชาวบ้านรู้ว่าพระองค์เสด็จมา ดังนั้นพระองค์จึงทรงไม่อยู่ในเมืองนี้ อันกงกงบอกว่า ฮ่องเต้ทรงมีเรือนเก่าในตั้งหยาง คืนนี้น่าจะไปพักที่นั่น”
“เรือนเก่าในตั้งหยาง? แล้วจัดส่งคนคุ้มกันไปหรือยัง?” แม้ว่ากู้หนานเฟิงจะไม่ใช่ขุนนาง แต่ตอนยังเล็กเขาก็อยู่ข้างกายเสนาบดีกู้มาตลอด จึงเข้าใจเื่ราวในราชสำนักและเื่ราวตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ เคยส่งให้ฮ่องเต้พระองค์นี้มาดูแลราษฎรในเมืองตั้งหยาง
“เมื่อครู่ฮ่องเต้เพิ่งรับสั่งให้ท่านไปร่วมทานอาหารค่ำ ทรงไม่สะดวกบอกเองเพราะคนเยอะเกินไป”
กู้หนานเฟิงไม่อยากให้หลิวเยว่อยู่คนเดียว ทว่าก็จนปัญญา เพราะพระราชโองการของฮ่องเต้นั้นยากจะคัดค้าน ทำได้เพียงทำตามเท่านั้น
โชคดีที่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจ
“เ้ารีบไปรีบกลับ ระวังตัวด้วย”
“อืม ข้าจะเอาอาหารอร่อยมาฝากเ้าด้วย”
หลิวเยว่ยิ้ม ก่อนจะครุ่นคิดและเอ่ยกำชับ
“เ้าช่วยเตือนฮ่องเต้ให้รีบออกไปจากเมืองตั้งหยาง ที่นี่จะประทับอยู่นานไม่ได้”
มีทั้งภัยพิบัติ โรคระบาด เขาคือร่างเซียนอวตาร จะมีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อยไม่ได้ กู้หนานเฟิงรับปากและออกไปกับขุนนางผู้นั้นทันที