หญิงสาวตื่นขึ้นมาเพราะอากาศเย็นในตอนเช้า เพื่อที่จะประหยัดฟืน ยุวชนผู้มีการศึกษาจึงเลือกที่จะทำให้เตียงอุ่นเท่านั้น ส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มก็รู้สึกหนาวมาก
ลู่เสวียอีมีความมุ่งมั่นที่จะหาที่อยู่ของตัวเองมากกว่าเดิม เธออยากมีห้องส่วนตัวอยากเผาฟืนอยู่ในห้องอุ่นๆ มากกว่านี้
ลู่เสวียอีซุกอยู่บนเตียงสักพักหนึ่งก็ลุกไปล้างหน้าและเตรียมอาหารกินแบบง่ายๆ ก่อน
หลังอาหาร หม่าตงพาคนที่มาใหม่ไปที่สำนักงานกองพลผลิตเพื่อขอทะเบียนบ้านและแจกจ่ายอาหาร
กัปตันกองพลผลิตพูดกับยุวชนใหม่ “ฉันเป็กัปตันทีมผู้ผลิตชื่อโจวเจียนกั๋ว พวกคุณเป็คนมาใหม่แล้วไม่มีแต้มคะแนนงาน ดังนั้นพวกคุณจึงสามารถยืมได้เฉพาะอาหารจากหมู่บ้านเท่านั้นและจะต้องจ่ายคืนเมื่อได้รับคะแนนการทำงานในปีหน้า ตอนนี้ไปหานักบัญชีเพื่อลงทะเบียน แต่ละคนจะได้รับเสบียง 50 กิโลกรัม ถ้ากินไม่พอก็แลกกับชาวบ้านหรือซื้อจากในหมู่บ้านได้”
หลังจากกัปตันพูดจบ พวกเขาก็ไปหานักบัญชีชื่อหวงจื่อชวน และรับเสบียงคนละ 50 กิโลกรัมในจำนวนนั้นมีข้าวฟ่าง มันเทศและข้าวโพดอยู่คละกัน
ลู่เสวียอีชั่งน้ำหนักเสบียงเสร็จและกำลังจะออกไป อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าถุงที่อยู่ในมือเบาลงและถูกหยิบขึ้น
“หื้อ?” เมื่อหันกลับมาเธอก็เห็นเหรินเฟิงยกถุงกระสอบของเธอพาดบ่าไว้อย่างง่ายดาย
เหรินเฟิงทักทายกัปตันทีมผู้ผลิตก่อนและหันไปถามลู่เสวียอี “มีของอะไรอีกไหม”
“ไม่มีแล้ว” ลู่เสวียอีตอบ
“ถ้างั้นไปกันเถอะ ของค่อนข้างหนัก ฉันจะแบกไปให้” เขาพูดแล้วเดินออกไป ลู่เสวียอีได้แต่ต้องไล่ตามหลัง
ทุกคนดูประหลาดใจที่เห็นเหรินเฟิงมาช่วยลู่เสวียอีแบกของ แต่สวี่หลิงเคยเห็นสถานการณ์นี้มาก่อนตอนที่เหรินเฟิงช่วยเธอยกกระเป๋ากลับมา เธออิจฉามากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามยกถุงเสบียงของตัวเองขึ้นแล้วลากกลับด้วยตัวเองอย่างช้าๆ
ลู่เสวียอีไล่ตามเหรินเฟิงไปแล้วรีบพูดว่า “ฉันแบกเองได้นะ”
เหรินเฟิงมองเธอแล้วพยักหน้าเงียบๆ เหมือนเห็นด้วยแต่ยังแบกของต่อไป
ลู่เสวียอีเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้แต่เดินไปพร้อมกัน แล้วถามเขาแทน “จริงสิสหายเหรินเฟิง ฉันขอถามหน่อยสิ พอจะมีบ้านว่างในหมู่บ้านของคุณบ้างไหม?”
“ถามทำไมอย่างงั้นเหรอ?” เขาถามอย่างสงสัย
“ฉันอยากเช่าบ้าน”
เหรินเฟิงขมวดคิ้ว “คนในกลุ่มยุวชนผู้มีการศึกษารังแกคุณหรือเปล่า?”
“เปล่าๆ ฉันแค่รู้สึกว่าอยู่รวมกันไม่สะดวกเท่าไหร่”
เหรินเฟิงจ้องมองแล้วเห็นว่าลู่เสวียอีไม่ได้ดูเหมือนพูดโกหกจึงเอ่ยปาก “ก็มีอยู่นะ บ้านที่สุดขอบทางเหนือ เ้าของบ้านคนก่อนป่วยตายไป 3-4 ปีแล้ว บ้านหลังนั้นยังว่างมาตลอด”
เมื่อเห็นดวงตาของลู่เสวียอีเป็ประกายขึ้นมา เหรินเฟิงก็พูดต่อ “คุณจะอยู่คนเดียวจริงๆ เหรอ อยู่คนเดียวจะยิ่งลำบากไม่สะดวกยิ่งกว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นอีกนะ” เพราะเธอเป็ผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่คนเดียว เธอต้องหาฟืนหาบน้ำด้วยตัวเอง เขากลัวว่าแขนขาผอมบางของเธอจะทนไม่ไหว
ลู่เสวียอีกล่าว “ไม่เป็ไร ตอนนี้ฉันตั้งใจจะทำอาหารกินเองเลยต้องทำทุกอย่างเองอยู่แล้ว ฉันไม่สะดวกจะหยิบของดีๆ ออกมากินต่อหน้าพวกเขา ถ้าได้ออกไปอยู่คนเดียวคงจะดีกว่า”
เมื่อครุ่นคิดถึงความพิเศษของเธอชายหนุ่มก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว เกร็งว่าการอยู่ร่วมกันจะทำให้มีคนระเคะระคายถึง ‘พลังพิเศษ’ ของเธอได้ ในที่สุดเหรินเฟิงก็ตกลงจะพาเธอไปดูบ้านหลังจากเอาเสบียงไปส่งให้เธอที่ลานของยุวชน
จากนั้นทั้งสองก็ออกไปดูบ้านต่อโดยไม่รอช้า
เมื่อไปถึงบริเวณที่เหรินเฟิงบอก ลู่เสวียอีเห็นเขาชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง “นั่นบ้านฉันเอง ถ้าคุณขาดเหลือหรือ้าอะไรก็มาหาฉันที่นี่ได้”
ถัดจากจากนั้นไม่ไกลเธอก็เห็นบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ใหญ่นัก มีสองห้องทางทิศตะวันตกและตะวันออก ส่วนครัวอยู่ตรงกลาง มีเตาไฟเชื่อมกับเตาในห้องสองฝั่ง ด้านข้างมีโรงฟืนค่อนข้างใหญ่ นี่เป็เพราะฤดูหนาวที่ยาวนาน ชาวบ้านจึงมักจะสะสมฟืนให้มากเป็พิเศษ ส่วนที่น่ายินดีคือบ้านหลังนี้มีบ่อน้ำด้วยแม้จะเป็บ่อเล็กๆ ก็ตาม
สภาพบ้านและสนามดูชำรุดทรุดโทรมอยู่บ้าง เป็เพราะไม่มีคนอยู่มาหลายปีแล้วและไม่มีคนคอยซ่อมบำรุง
เหรินเฟิงอธิบาย “บ้านหลังนี้ว่างมานานแล้ว คนในหมู่บ้านไม่มีเงินซื้อ ส่วนบางคนก็กดราคามากเกินไป ยังไงรายได้ตรงนี้ก็เป็ของส่วนกลาง สุดท้ายไม่ได้ข้อยุติก็เลยไม่มีใครได้อยู่ในบ้านหลังนี้”
บ้านหลังนี้ดูสภาพดีและแข็งแรงกว่าอีกหลายบ้านที่พวกเขาเดินผ่านมา แน่นอนว่าต้องมีคนอยากได้แต่ก็เกินกำลังจึงได้ว่างมาถึงตอนนี้
“มีบ้านหลังอื่นอีกหรือเปล่า?”
“มีบ้านฟางสองสามหลังที่สภาพไม่ค่อยดีแล้ว พูดตามตรงมันไม่ปลอดภัยที่จะเข้าอยู่ได้เร็วๆ นี้แม้จะเร่งซ่อมก็ตาม”
“คุณพาฉันไปบ้านกัปตันหน่อย ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันอยากเช่าที่นี่”
เหรินเฟิงไม่ปฏิเสธ เขาพาเธอเดินกลับไปทางสำนักงานกองผลผลิต เมื่อกัปตันเห็นพวกเขากลับมาก็สับสนเล็กน้อย
ลู่เสวียอีพูดจุดประสงค์ของเธอทันที “กัปตันคะ ฉันอยากจะเช่าบ้าน …ได้หรือเปล่าคะ?”
“เช่าบ้านเหรอ? ทำไมไม่อยู่รวมกับยุวชนคนอื่นล่ะ”
นักบัญชีที่อยู่ข้างๆ ก็สำทับว่า เธอเป็ผู้หญิงตัวคนเดียวคงจะไม่ปลอดภัยถ้าออกมาอยู่ข้างนอก
ยุวชนผู้มีการศึกษาเหล่านี้ถูกส่งมาจากเบื้องบน ถ้าเกิดอันตรายกับพวกเขาในหมู่บ้าน หลายคนจะต้องเดือดร้อน พวกเขาไม่อยากรับความเสี่ยงนี้
ตอนนี้เหรินเฟิงพูดกับกัปตันว่า “ลุงสามให้เธอเช่าเถอะ บ้านเก่าผู้เฒ่าชูยังว่างอยู่ ให้เธอเช่าที่นั่นครอบครัวของผมยังคอยช่วยดูแลเธอได้”
กัปตันและนักบัญชีหันมามองหน้ากัน พวกเขารู้สึกแปลกๆ และค่อนข้างรู้สึกว่าเ้าหนุ่มคนนี้มีแรงจูงใจบางอย่าง
แต่เ้าเด็กนี่ไม่เคยสนใจผู้หญิงอื่นมาก่อนเลย ไม่เคยเห็นเขาจะห่วงใยคนอื่นขนาดนี้ หรือว่าเขาจะชอบยุวชนหญิงคนใหม่?
กัปตันโจวจ้องมองเหรินเฟิงอย่างพิจารณา เขากับครอบครัวเหรินเฟิงเป็ญาติกัน เขาเคยได้ยินพี่สะใภ้บ่นหลายครั้งเื่คู่ครองของลูกชายคนนี้ หายากที่เ้าหนูนี่จะมีใจให้ผู้หญิงคนหนึ่ง
หรือจะให้โอกาสคนหนุ่มให้ได้สานสัมพันธ์ดี?
“บ้านหลังนั้นว่างอยู่ก็จริงแต่มันก็เก่าและทรุดโทรมอยู่บ้าง ถ้าอยากอยู่ที่นั่น นอกจากต้องจ่ายค่าเช่าแล้ว คุณต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงด้วยตัวเองนะ”
นักบัญชีบอก “ปกติแล้วนี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของหมู่บ้าน ดังนั้นคุณต้องหาคนมาช่วยงานเองอีกด้วย”
เหรินเฟิงรีบบอก “ไม่เป็ไร เดี๋ยวผมไปช่วยเอง”
“ไม่เป็ไรๆ เดี๋ยวฉันค่อยทำเองก็ได้” เดิมทีเธอไม่อยากรบกวนคนอื่นเท่าไหร่ แต่พวกเขาไม่ปล่อยให้เธอพูด เมื่อกัปตันเห็นว่ามีคนเสนอตัวช่วยแล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ
ลู่เสวียอีโล่งอกที่กัปตันยอมให้เธอเช่าบ้านอยู่เอง “แล้วค่าเช่าคือเท่าไหร่เหรอคะ?”
นักบัญชีตอบอย่างรวดเร็ว “คิดเป็รายปี ปีละ 5 หยวน” หมู่บ้านเคยตกลงเื่นี้กันแล้วและนี่เป็ราคาที่พวกเขาลงความเห็นร่วมกัน
“งั้นฉันจะจ่ายค่าเช่าห้าปีก่อนเลย แต่บ้านหลังนี้คงไม่ถูกยกให้ใครมาอยู่อีกใช่ไหมคะ?” เธอถามเพื่อให้แน่ใจ เธอไม่อยากให้มียุวชนคนใหม่ถูกส่งไปอยู่ที่นั่นหลังจากเธอใช้เงินจ่ายค่าเช่าไปแล้ว
“ถ้าคุณไม่เห็นด้วยมันก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน” กัปตันกล่าว
“งั้นฉันจ่ายค่าเช่าตอนนี้เลย ช่วยเขียนใบรับรองให้ฉันด้วย”
กัปตันและนักบัญชีมองคนทั้งสองแว๊บหนึ่งแล้วสบตากันเล็กน้อย จากนั้นจึงเขียนใบรับรองและประทับตรามอบให้ลู่เสวียอี
หญิงสาวรับใบรับรองมายังลิงโลดใจ “ขอบคุณกัปตัน ตอนนี้ฉันมีเื่ที่ต้องทำแล้ว ไม่รบกวนคุณต่อล่ะ”
“ไปเถอะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้