“เย่ชิงอู่ เ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” เย่ชิงขวงสีหน้าไม่สบอารมณ์ เป็ถึงนายน้อยใหญ่ของตระกูลและว่าที่หัวหน้าตระกูลในอนาคต เย่ชิงอู่หักหน้าตนเองต่อหน้าคนของตระกูลมากมาย จะไม่ให้หงุดหงิดอารมณ์เสียได้อย่างไร
“ก็ไม่มีอะไร แล้วทำไมหรือ?” เย่ชิงอู่ยิ้มแล้วพูดออกมา ทำท่าทางใสซื่อราวกับว่าเื่ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
“เ้า...” สีหน้าเย่ชิงขวงดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม “ไม่มีอะไรแล้วเ้าโจมตีใส่ข้าทำไม?”
เย่ชิงอู่เข้าใจได้โดยทันที “อ๋อ...เ้าหมายถึงเื่นี้หรอกหรือ พี่สาวโจมตีเ้าแล้วจะทำไม? เมื่อสักครู่เ้ายังโจมตีใส่เย่ชิงหานเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
“ข้าโจมตีมันเพราะมันขวางทางข้า จะพูดว่าโจมตีก็ไม่ถูกเพราะข้าแค่ผลักไปเบาๆ ครั้งหนึ่งเพียงเท่านั้นเอง” เย่ชิงขวงอธิบายอย่างรีบร้อน
“เช่นเดียวกันเลย! พี่สาวโจมตีเ้าก็เพราะเ้าขวางทางพี่สาวเช่นกัน จะพูดว่าโจมตีก็ไม่ถูกเพราะพี่สาวใช้พลังไปแค่เพียงห้าส่วนเท่านั้นเอง ถ้าหากใช้พลังทั้งหมดโจมตีออกไปชีวิตน้อยๆ ของเ้าคงไม่เหลือแล้วล่ะ” เย่ชิงอู่พูดออกไปอย่างไม่สนใจไยดี
“เ้า...เ้าทำเช่นนี้เป็การข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า จงใจหาเื่อย่างไม่มีเหตุผล” เย่ชิงขวงโกรธจนควันออกหู แม้จะเป็เช่นนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะลงมือกับเย่ชิงอู่ หากพูดถึงผู้ที่มีตำแหน่งและฐานะสูงศักดิ์ภายในตระกูลเย่ย่อมไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว
เย่ชิงหนิว ปู่ของเย่ชิงอู่คือหนึ่งในสองของผู้าุโสูงสุดของตระกูล นอกจากหัวหน้าตระกูลเย่ เย่เทียนหลง แล้ว เย่ชิงหนิวยังเป็หนึ่งในสามของผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูล มีพลังฝีมือที่กล้าแกร่งถูกจัดให้อยู่ระดับแนวหน้าของเขตปกครองเทพา มีนิสัยชอบปกป้องให้ท้ายลูกหลานและอารมณ์ดุร้ายฉุนเฉียว ดังนั้นเมื่ออยู่ในตระกูลเย่ชิงอู่จะถูกปรนนิบัติราวกับองค์หญิง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงตำแหนน่งฐานะ เอาเพียงแค่ด้านพลังฝีมือ เย่ชิงขวงแม้จะถูกจัดอันดับให้อยู่ในทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐี แต่ก็จัดอยู่ในระดับหางแถวไม่สามารถจะนำมาเปรียบเทียบได้กับอันดับหกอย่างเย่ชิงอู่
“ฮ่าๆ...” เย่ชิงอู่หัวเราะออกมาด้วยเสียงลากยาว หน้าอกใหญ่ั์บริเวณทรวงอกสั่นกระเพื่อมไปมา ทำเอาทุกคนตาลุกวาวกลืนน้ำลายไปตามๆ กัน “รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า? ขายขี้หน้าหรือเปล่าข้าไม่รู้ แต่พี่สาวจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าแล้วจะทำไม? ตอนที่เ้ารังแกเย่ชิงหานยังเห็นโอหังอวดดีอยู่เลย พี่สาวรังแกผู้ที่ด้อยกว่าแล้วจะทำไม? ถุย! เคยเจอคนที่ว่าไร้ยางอายแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอคนที่ไร้ยางอายได้เท่ากับเ้าเช่นนี้...วันนี้ข้าจะประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า... ท่านผู้าุโเย่เตาเป็ผู้ที่ข้าเคารพนับถือที่สุด หากพวกเ้ามีใครกล้าข่มเหงรังแกเย่ชิงหานอีก รู้ถึงหูข้าเมื่อไหร่รอดูว่าพี่สาวคนนี้จะจัดการอย่างไรกับมันผู้นั้น”
เย่ชิงอู่พูดจบหันหน้ามายิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับเย่ชิงหานแล้วหมุนตัวจากไป
เอ่ออ!
เย่ชิงหานตะลึงไปชั่วครู่จึงรีบยิ้มรับด้วยท่าทางแข็งทื่อราวกับเครื่องจักร ทั้งรู้สึกเขินอายทั้งตื่นตระหนกระคนดีใจที่ได้รับการโปรดปรานอย่างคาดไม่ถึง มีชีวิตอยู่ในตระกูลเย่มาหลายปีโดนดูถูกเหยียดหยามนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะมีใครออกหน้ารับแทน ครั้งนี้เย่ชิงอู่จัดการกับเย่ชิงขวงให้ จะไม่ให้เขาตกตะลึงและมึนงงได้อย่างไร กว่าที่เขาจะดึงสติกลับคืนมาได้เย่ชิงอู่ก็จากไปนานแล้ว
หลังจากที่เย่ชิงอู่จากไป สายตาที่ทุกคนมองมาที่เย่ชิงหานตอนนี้แปลกประหลาดไปจากเดิม เนื่องจากเย่ชิงอู่ประกาศออกมาขนาดนั้น หากใครถูกนางจดจำชื่อไว้คงไม่เป็เื่ที่ดีแน่ คำว่า “พี่สาว” ที่ออกจากปากนางมารน้อยคนนี้เป็คำที่น่ากลัวอย่างมาก วัยรุ่นเด็กหนุ่มเด็กสาวของตระกูลล้วนเป็ที่ทราบกันดีถึงกิตติศัพท์ของนาง
เอี๊ยด!
ในขณะที่ทุกคนกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ประตูของทั้งสามห้องเรียนก็ถูกเปิดออกพร้อมกันรวมถึงผู้าุโสามท่านที่ปรากฏกายออกมา
“คนที่เพิ่งเรียกสัตว์อสูรออกมาเมื่อวานทั้งหมดมาที่นี่ ที่เหลือเข้าไปตามห้องเรียนระดับชั้นของตนเอง”
ผู้าุโที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียนระดับชั้นเริ่มต้นพูดออกมาอย่างราบเรียบแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไป ทุกคนที่ได้ฟังต่างเดินเข้าไปยังห้องเรียนของตนเอง เย่ชิงหานปัดทำความสะอาดกางเกงพร้อมกับจ้องมองอย่างเ็าไปยังเย่ชิงขวงที่ตอนนี้สีหน้าดำคล้ำที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องเรียนระดับชั้นเริ่มต้น
ห้องเรียนระดับเริ่มต้นไม่ใหญ่เท่าใดนัก พื้นที่ราวๆ ร้อยตารางเมตร มีที่นั่งจัดเรียงรายอยู่ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบที่ เย่ชิงหานเลือกเดินไปนั่งคนเดียวยังที่มุมข้างหนึ่ง สูดลมหายใจเข้าออกหนักหน่วงอยู่หลายครั้งเพื่อขับไล่ภาพเงาร่างของเย่ชิงอู่ออกไป ทำการสงบจิตใจเพื่อรอฟังบรรยาย
วันนี้เย่ชิงอู่ช่วยตน ทำให้ซาบซึ้งเป็อย่างมาก ในใจเบื้องลึกนับว่านางเป็ญาติสนิทคนหนึ่ง ในหัวยังปรากฏภาพใบหน้าที่สวยงดงามของนางบ่อยๆ แต่ว่าเวลานี้ต้องฟังการบรรยายศึกษาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูร ดังนั้นจึงต้องบังคับตนเองให้สงบจิตสงบใจตั้งใจฟังการบรรยาย
หลังจากที่เกิดเื่ของเย่ชิงอู่ ลูกหลานของตระกูลที่อยู่ภายในห้องเรียนระดับเริ่มต้นก็ไม่มีใครไปท้าทายเย่ชิงหานอีก จะมีก็แค่เพียงนั่งแยกให้ห่างออกไปราวกับว่าเย่ชิงหานไม่มีค่าพอให้พวกเขาจะมานั่งด้วยข้างๆ
ผู้าุโประจำชั้นเรียนระดับเริ่มต้นรูปร่างหน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ ถ้าหากเดินอยู่ข้างนอกคงไม่มีใครดูออกว่าเป็ผู้าุโของตระกูลเย่ เมื่อเห็นว่าทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ตัวข้าเย่เทียนสิง เป็ผู้าุโของโรงเรียนสัตว์อสูรและเป็อาจารย์ที่จะสอนความรู้เกี่ยวกับสัตว์อสูรให้แก่พวกเ้า พวกเ้าจงจำไว้ให้ดีข้ามีเวลาไม่มาก สามารถสอนพวกเ้าได้เพียงแค่สามวันเท่านั้น หลังจากสามวันพวกเ้าเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก”
“ก่อนอื่นข้าจะแนะนำย่อๆ เกี่ยวกับสัตว์อสูร สัตว์อสูรเป็สายพันธุ์ที่แปลกมหัศจรรย์ อาจจะพูดได้ว่าเหมือนกับเป็สัตว์เลี้ยงของพวกเ้า สัตว์อสูรตัวใดที่ทำพันธสัญญาแห่งิญญามันจะซื่อสัตย์กับเ้าไปตลอดชีวิต แม้สัตว์อสูรตายแต่เ้ายังอยู่ แต่ถ้าเ้าตายสัตว์อสูรก็จะตายตามไปด้วย ดังนั้นพวกเ้าจะต้องรักและปกป้องสัตว์อสูรของตนเองให้ดี เพราะมันจะอยู่เป็เพื่อนและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเ้าไปตลอดชีวิต”
“สัตว์อสูรแบ่งออกเป็สามประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทโจมตี ประเภทป้องกัน และประเภทสนับสนุน สัตว์อสูรภายในตระกูลเย่ของเราส่วนมากจะเป็ประเภทโจมตี ดังเช่นสัตว์อสูรประเภทโจมตี ‘พยัคฆ์โลหิต’ ของท่านจ้าวเมืองเย่เจี้ยน สัตว์อสูรประเภทป้องกัน ‘หมีั์เ้าดินแดน’ ของท่านหัวหน้าตระกูล แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรประเภทป้องกันจะโจมตีไม่ได้เื่ แม้ว่าท่านหัวหน้าตระกูลจะถูกยอมรับว่าเป็ผู้มีพลังป้องกันเป็อันดับหนึ่งในระดับชั้นผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้านพลังโจมตีก็ยังถูกจัดให้อยู่ในระดับแนวหน้าด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เพื่อให้พวกเ้ารู้ว่าสัตว์อสูรของตนเองเป็ประเภทไหน จากนั้นจะได้รู้ว่าควรพัฒนาไปในทิศทางไหนอย่างไรดี”
ที่แท้ยังมีแบ่งแบบนี้อีก เย่ชิงหานพยักหน้าแสดงอาการว่าเข้าใจ ข้อมูลเหล่านี้หากไม่ได้เข้ามาฟังการบรรยายคาดว่าในหนังสือทั่วๆ ไปคงหาอ่านไม่เจอ แล้วไอ้เ้าอสูรน้อยเขาเดียวของตนเองเล่าเป็ประเภทไหน?
เย่เทียนสิงค่อนข้างพอใจเมื่อเห็นทุกคนใช้สมองครุ่นคิดจึงได้กล่าวต่อ “สำหรับเื่เกี่ยวกับสัตว์อสูรของตนเองเป็ประเภทไหนนั้น ต่อไปภายภาคหน้าข้าจะสอนพวกเ้าวินิจฉัยเอง ตอนนี้เรามาพูดถึง่ระยะเวลาสาม่ใหญ่ของสัตว์อสูรกันก่อน ระยะแรกคือ ระยะอ่อนแอ ตอนนี้สัตว์อสูรของพวกเ้าทั้งหมดล้วนอยู่ในระยะอ่อนแอ ไม่มีพลังในการต่อสู้ ชอบนอน ต่อมาระยะที่สองคือ ระยะเติบโต สัตว์อสูรที่ชนิด ประเภทไม่เหมือนกันระยะเวลาที่ใช้ในการเติบโตก็ยาวสั้นไม่เท่ากัน ยิ่งระยะเติบโตสั้นเพียงใดพลังในการต่อสู้ยิ่งไม่สูง ระยะสุดท้ายคือ ระยะเติบโตเต็มวัย ความสามารถทุกๆ ด้านของสัตว์อสูรจะบรรลุถึงขั้นสูงสุด”
เย่เทียนสิงเพิ่งจะพูดจบ นักเรียนคนหนึ่งก็รีบยกมือขึ้นถามว่า “เรียนถามท่านผู้าุโ สัตว์อสูรจะผ่านระยะอ่อนแอได้อย่างไร? เมื่อวานข้าน้อยป้อนอาหารให้มัน แต่ไม่ว่าอะไรมันก็ไม่ยอมกิน”
“ไอ้โง่ สัตว์อสูรระยะอ่อนแอไม่กินอาหารธรรมดา หมูลายตัวที่เ้าเรียกออกมาเ้าคิดจะให้มันกินอาหารหมูจริงๆ รึ?” นักเรียนคนนั้นยังไม่ทันจะพูดจบ เย่ชิงเฟิงที่นั่งอยู่ด้านหน้ารีบพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูถูกดูแคลน ทุกคนที่ได้ยินต่างหัวเราะกันครื้นเครงขึ้นมาโดยทันที
“อย่าเอะอะโวยวาย” เย่เทียนสิงกวาดสายตาเ็ามองไปยังเย่ชิงเฟิง เย่ชิงเฟิงรีบหดหัวกลับไปทันที ก่อนจะมาที่นี่บิดาได้กำชับตนเองอย่าได้เสียมารยาทต่อผู้าุโเย่เทียนสิง เมื่อเห็นว่าทุกคนสงบลงแล้วเย่เทียนสิงจึงกล่าวต่อ “เย่ชิงเฟิงพูดไม่ผิด สัตว์อสูรที่อยู่ในระยะอ่อนแอมีอยู่สองวิธีที่จะทำให้มันข้ามผ่านระยะนี้ไปได้ วิธีที่หนึ่งเรียกมันกลับเข้าไปภายในมิติสัตว์อสูรที่อยู่ภายในร่างของตนเอง จากนั้นมันจะรอดูดกลืนพลังปราณรบส่วนหนึ่งมาเป็อาหารในขณะที่พวกเ้าทำการฝึกฝนจนค่อยๆ เติบโตขึ้น ส่วนวิธีที่สองคือการกลืนกินแก่นผลึกมารอสูรระดับหนึ่ง ซึ่งก็คือกลืนกินแก่นผลึกมารอสูรนั่นเอง”
เรียกกลับเข้าไปมิติสัตว์อสูรที่อยู่ภายในร่าง? กลืนกินแก่นผลึกมารอสูร? ดวงตาของเย่ชิงหานเปล่งประกายความยินดี เรียกสัตว์อสูรกลับเข้าไปในร่างสิ่งนี้เขารู้มาก่อนหน้าแล้วแต่ไม่รู้ว่าวิธีการต้องทำอย่างไร ส่วนการให้สัตว์อสูรกลืนกินแก่นผลึกมารอสูรเพื่อข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอเป็ครั้งแรกที่เคยได้ยิน ดังนั้นจึงตั้งอกตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
เย่เทียนสิงไม่สนว่าพวกเด็กๆ จะคิดอะไรอยู่ ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ “เมื่อเลิกเรียนแล้วให้พวกเ้าไปที่หอบำรุงพลเบิกเอาแก่นผลึกมารอสูร สำหรับวิธีการใช้เดี๋ยวข้าจะพูดถึงภายหลัง...ตอนนี้เรามาพูดถึงร่างสัตว์อสูรกัน ตามหลักการสัตว์อสูรทุกตัวที่ผ่าน่ระยะอ่อนแอแล้วจะสามารถรวมร่างกับเ้าของได้ หลังจากรวมร่าง เ้าของจะได้รับผลของพละกำลัง ประสาทัั ความเร็วและด้านอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับคุณภาพและประเภทของสัตว์อสูรด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ เย่ชิงขวงมีสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดหมีคลั่ง เฉพาะพลังฝีมือส่วนตัวปัจจุบันคือระดับสองของขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ แต่หลังจากรวมร่างกับสัตว์อสูรพลังฝีมือของเขาจะบรรลุถึงระดับสามขั้นสูงสุดของขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ ตอนนี้สัตว์อสูรของเขายังคงอยู่ในระยะเติบโต ถ้าหากอยู่ในระยะเติบโตเต็มวัยหลังจากรวมร่างพลังฝีมือจะเทียบได้กับระดับขอบเขตนักรบอย่างแน่นอน”
“นี่ก็คือความน่ากลัวของสัตว์อสูรตระกูลเย่ และเป็รากฐานที่สำคัญที่ทำให้ตระกูลเย่ตะลุยต่อสู้ไปทั่วหล้าได้อย่างองอาจ...อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ สัตว์อสูรบางตัวหลังจากผ่านเข้าสู่ระยะเติบโตมีโอกาสที่จะปรากฏ...ความสามารถพิเศษ แน่นอนว่าโอกาสที่จะปรากฏนั้นน้อยมากๆ ทั่วทั้งตระกูลเย่มีเพียงสิบกว่าตัวที่ปรากฏความสามารถพิเศษ ถ้าหากสัตว์อสูรตัวใดปรากฏความสามารถพิเศษขึ้นเรียกได้ว่าเป็ที่น่ากลัวอย่างที่สุด พลังรบเพิ่มพูนมากมายมหาศาล...หากพวกเ้าคนใดสัตว์อสูรปรากฏความสามารถพิเศษต้องรีบแจ้งทางตระกูลเป็อันดับแรก...เอาละวันนี้การบรรยายพอแค่นี้ พวกเ้ากลับไปแล้วก็ทดลองเรียกสัตว์อสูรกลับเข้าไปภายในมิติสัตว์อสูรดู ค่อยๆ ฝึกฝนไม่ต้องรีบร้อน ภายในสิบวันสามารถเรียกกลับเข้าไปได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้...วิธีเรียกสัตว์อสูรกลับ วิธีทำให้สัตว์อสูรข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอ ร่างสัตว์อสูร ความสามารถพิเศษลึกลับหลังรวมร่าง
ทั้งหมดทั้งมวลเย่ชิงหานฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม เขาจดจำคำพูดทุกคำของผู้าุโเย่เทียนสิงเพื่อประทับไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ เพราะมันเกี่ยวพันถึงการเติบโตในภายภาคหน้าของสัตว์อสูรของตน สัตว์อสูรเขาเดียวที่เทียบได้กับอสูรศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเติบโตขึ้นจะนำความตื่นเต้นดีใจอะไรมาสู่ตนเองบ้าง? เย่ชิงหานเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยความเบิกบานใจ จากนั้นรีบตรงดิ่งไปยังหอบำรุงพลอย่างไม่รีรอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้