ห้องหนังสือแห่งนี้ แทบไม่เหลือเค้าเดิมของโรงเก็บของอีกต่อไปแล้ว เพราะผนังทั้งสี่ด้านก่อขึ้นจากหินทั้งหมด หวังหย่วนฉิงนำผ้าฝ้ายลายดอกไม้เล็กๆ สีชมพู มาขึงคล้ายผ้าม่านบนผนังสามด้าน ทำให้ห้องดูสว่างสดใสขึ้นมาทันที
การออกแบบนี้ช่างแปลกใหม่และถูกใจหมี่หลันเยว่มาก ในสายตาของหมี่หลันเยว่ นี่คือสไตล์คันทรีเกาหลีในยุคต่อๆ ไป พอมองดูอบอุ่นหัวใจ หวังหย่วนฉิงยังออกแบบให้ผ้าลายดอกไม้บนผนังด้านหนึ่งเฉียงขึ้นคล้ายผ้าม่านจริงๆ ด้านในเป็ภาพหน้าต่างที่หมี่จิ้งเฉิงวาดเอง เป็หน้าต่างที่มองเห็นหาดทรายและคลื่นทะเลทางใต้ การออกแบบนี้สร้างความประหลาดใจมาก
ส่วนผนังหินที่ไม่ได้ขึงผ้าดอกไม้ ก็ติดตั้งชั้นหนังสือขนาดใหญ่มหึมา แน่นอนว่าหนังสือที่จะนำมาวางบนชั้นนั้น หวังหย่วนฉิงเลือกแล้วเลือกอีก คัดแล้วคัดอีก ดูเล่มไหนก็เสียดายไปหมด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ เมื่อชั้นวางเต็มไปด้วยหนังสือ เธอก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมา
บนชั้นหนังสือเว้นที่ไว้หนึ่งในสี่ สำหรับเด็กๆ หนังสือภาพสำหรับเด็กจะถูกวางไว้ตรงนั้น และใต้ผนังที่อยู่ตรงข้ามกับชั้นหนังสือ มีม้านั่งเล็กๆ สองแถว เตรียมไว้สำหรับเด็กๆ ที่ไม่สามารถนำหนังสือกลับไปอ่านที่บ้านได้ ส่วนตรงประตูวางโต๊ะทำงานไว้ ใช้เป็โต๊ะเก็บเงิน
บนผนังด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน มีป้ายประกาศสำหรับลูกค้าขนาดใหญ่ ติดไว้บนผ้าฝ้ายลายดอกไม้ด้วยเข็มกลัด นี่เป็ความคิดของหมี่หลันเยว่แน่นอน เขียนความรับผิดชอบและหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะที่ไม่จำเป็ในภายหลัง โดยจะมีข้อความพิเศษเขียนว่า ถ้าลูกค้าท่านใดมีความคิดเห็นต่าง สามารถไม่เช่าหนังสือที่นี่ได้
ในขณะที่พ่อแม่กำลังวุ่นวายกับร้านเช่าหนังสือของครอบครัว หมี่หลันเยว่และพี่ชายก็ยุ่งกับการประชาสัมพันธ์ที่แผงหนังสือเล็กๆ ด้านนอก พวกเขาทำบัตรเล็กๆ ชนิดหนึ่ง โดยวาดที่อยู่ของบ้านในรูปแบบแผนที่ออกมา เพราะอยู่ห่างจากแผงนี้แค่สอง่ตึก จึงวาดได้ไม่ยาก
ด้านหลังบัตร เขียนชื่อร้านหนังสือ เป็สิ่งที่คนในครอบครัวตกลงกัน ตอนนี้ยังไม่มีหน่วยงานบริหารจัดการธุรกิจอะไร พวกเขาสามารถติดป้ายบนผนังด้านนอกบ้านได้อย่างเปิดเผย เพื่อให้ลูกค้าหาได้ง่ายขึ้น ชื่อร้านหนังสือคือ ‘ร้านหนังสือริมทาง’
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีโทรศัพท์ ไม่อย่างนั้น การเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไปด้วย จะทำให้หาง่ายขึ้น แม้จะน่าเสียดายอยู่บ้าง แต่การใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกว่าเธอทำได้ดีพอแล้ว ยังไงซะ ใน่กลางยุค70 ยังเป็ยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างค่อนข้างคลุมเครือ หมี่หลันเยว่อาศัยประสบการณ์จากชาติก่อน คว้าโอกาสต่างๆ มาก่อน
ในตอนเย็นที่ออกไปตั้งแผง พี่น้องทั้งสองแจกบัตรเล็กๆ แบบนี้ให้กับเด็กๆ ทุกคนที่มา พร้อมทั้งอธิบายอย่างละเอียด เพื่อให้พวกเขาสามารถหาที่อยู่ของร้านหนังสือใหม่ที่บ้านของตนเองได้ แม้ว่าการทำบัตรจะค่อนข้างลำบาก เพราะพี่น้องทั้งสองวาดด้วยมือเอง และแจกไม่พอทุกวัน แต่ก็อดทนในแต่ละวันได้
"ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะคะ ถ้ามีโอกาส ไปที่ร้านเช่าหนังสือที่บ้านของพวกเราได้เลยค่ะ พรุ่งนี้พวกเราจะไม่มาตั้งร้านที่นี่แล้ว หวังว่าจะได้เจอกับทุกคนที่ร้านหนังสือที่บ้าน แล้วเจอกันใหม่"
เมื่อเก็บแผงเสร็จ หมี่หลันเยว่และหมี่หลันหยางก็รู้สึกใจหายเล็กน้อย
"หลันหยาง หลันเยว่ วันนี้พวกเราไปส่งพวกเธอที่บ้านดีไหม จะได้จำทางไว้ เผื่อพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเสียแรงหา ฟังจากที่พวกเธอพูดมา ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ กลับบ้านก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก แบบนี้เป็ยังไง"
จู่ๆ รุ่นพี่ที่โรงเรียนเดียวกับหมี่หลันหยางคนหนึ่งก็เสนอแนะ ทำให้เด็กๆ ตื่นเต้นกันใหญ่
"พวกเราไปส่งพวกเธอดีกว่านะ ตกลงไหม ตกลงนะ"
"คุณลุงครับ พวกเราไปส่งพวกเขาได้ไหม ยังไงพรุ่งนี้พวกเราก็จะไปกันเองอยู่แล้ว"
ไม่คิดเลยว่าจะมีคนตอบรับมากมายขนาดนี้ หมี่จิ้งเฉิงดูนาฬิกา ยังไม่เย็นเกินไป ถนนสอง่ตึกก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่
"เอาล่ะ พวกเธอไปกับพวกเราก็ได้"
เมื่อได้รับการอนุญาตจากผู้ใหญ่ เด็กๆ ก็ยิ่งตื่นเต้นกันใหญ่ เดินไปบ้านของหมี่หลันเยว่อย่างครึกครื้นตลอดทาง ไม่ไกลจริงๆ ไม่กี่นาทีก็ถึง เห็นป้ายสีขาวตัวอักษรสีแดงสะดุดตาเขียนว่า ‘ร้านหนังสือริมทาง’ อยู่บนผนังด้านขวาของประตูไม้บานคู่ที่ทาสีเขียวเข้ม
"ว้าว หลันหยาง ป้ายนี้ดีนะ ใครช่วยนายทำเหรอ"
ยังคงเป็รุ่นพี่ที่โรงเรียนคนเดิม ดูเหมือนจะเป็คนที่ตรงไปตรงมา ชอบพูดคุย
"พ่อผมทำเอง สวยไหมล่ะ"
เด็กๆ ที่อยู่หน้าประตูพยักหน้าพร้อมกัน
"สวยครับ/ค่ะ"
เพราะมีคนจำนวนมาก เสียงนี้ดึงดูดให้ชาวบ้านละแวกนั้นออกมาดู
"คุณลุงเก่งจังเลยครับ/ค่ะ ป้ายนี้ทำได้สวยมาก ตัวหนังสือก็สวย ขอบลายดอกไม้ข้างๆ ก็สวย"
สำหรับฝีมือการเขียนภาพของพ่อ หมี่หลันเยว่ไม่กล้าวิจารณ์ เพราะระดับของตัวเองต่ำเกินไป แต่เธอรู้ว่า กลอนคู่สำหรับตรุษจีน ป้ายผ้าต้อนรับการมาเยือนของผู้นำ ป้ายนิเทศ ภาพจิตรกรรมฝาผนังของโรงเรียน ล้วนมาจากฝีมือของพ่อทั้งสิ้น แค่นี้ก็คุ้มค่าที่หมี่หลันเยว่จะชื่นชมแล้ว
"พวกเธออยากเข้าไปดูข้างในไหม"
เมื่อมาถึงหน้าบ้านแล้ว หมี่หลันหยางจึงพาเด็กๆ เหล่านี้เข้าไปเยี่ยมชมรอบๆ ซึ่งทำให้เด็กๆ เหล่านี้ต่างก็ชื่นชมไม่ขาดปาก ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะมาแน่นอน และจะพาเพื่อนมาด้วย
"พวกเรายินดีต้อนรับพวกเธอมาอ่านหนังสือที่บ้าน แต่มีข้อหนึ่ง ห้ามหนีเรียนมาอ่านหนังสือที่นี่ ดังนั้นเวลาเช่าหนังสือของบ้านพวกเรา จะเป็ไปตามเวลาเรียนของพวกเธอ ดูจากป้ายที่อยู่ข้างนอกประตูได้ มีเขียนไว้อย่างละเอียด"
พอได้ยินว่าทำได้แค่ใน่เวลาที่ไม่ได้เรียน บางคนที่วางแผนจะหนีเรียนมาอ่านหนังสือ ก็ร้องโอดครวญอย่างสิ้นหวัง ฟังดูก็รู้ว่าวางแผนไว้แล้ว
"ร้านหนังสือแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็หน้าที่ของพี่ชาย ดังนั้นจึงต้องเป็ไปตามเวลาของพี่ชาย"
"นั่นหมายความว่า ใน่ครึ่งวันที่หลันหยางไม่ได้เรียน ร้านหนังสือก็จะเปิดได้ใช่ไหม"
ยังมีคนสนใจเื่เวลาขนาดนี้ ช่างทำให้หมี่หลันเยว่ปวดหัวจริงๆ ใน่ทศวรรษที่ 70 นักเรียนประถมยังคงเรียนแค่วันละครึ่งวันเท่านั้น อาทิตย์หนึ่งเรียนตอนเช้า แต่อีกอาทิตย์จะเรียนตอนบ่าย
หมี่หลันเยว่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็แบบนี้ อาจเป็เพราะโรงเรียนมีครูน้อย ต้องแบ่งเวลาสอนนักเรียนแต่ละชั้นปี หรืออาจเป็เพราะในเวลานั้นถ้านักเรียนมาเรียนพร้อมกันหมด โรงเรียนจะไม่มีที่นั่ง ซึ่งเหตุผลที่แท้จริง หมี่หลันเยว่ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าพอขึ้นมัธยมต้นแล้ว ถึงจะได้เรียนเต็มวัน
"พวกเธอไม่ใช้เวลาครึ่งวันนั้นทำการบ้านให้เสร็จหรือไง"
ช่างเป็เด็กที่น่าปวดหัวจริงๆ แต่ก็มีคนเน้นย้ำทันที
"พวกเราจะไม่เสียเวลาทำการบ้านแน่นอน ตอนที่หลันหยางไม่ได้เรียน พวกเราจะมาช่วยเขาเปิดร้านหนังสือได้ไหม"
มองดูท่าทางกระตือรือร้นของเด็กๆ เหล่านี้ หมี่หลันเยว่เกือบจะใจอ่อนแล้ว ยังไงซะ พี่ชายมีเวลาพักครึ่งวันจริงๆ การปล่อยทิ้งไว้ก็เป็การสิ้นเปลืองเปล่าๆ แต่ไม่คิดว่าพ่อจะขัดจังหวะอย่างหนักแน่น
"ไม่ได้ ถ้าหลันหยางเปิดร้านหนังสือใน่ครึ่งวันที่พัก อาจจะมีคนหนีเรียนมาอ่านหนังสือได้ การหาเงินเป็เื่เล็ก การทำให้เด็กเสียการเรียนเป็เื่ใหญ่ เื่นี้ห้ามเด็ดขาด"
พอได้ยินว่าผู้ใหญ่ห้าม เด็กๆ ก็รู้ว่าการชักชวนหมี่หลันหยางและหมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้ผล จึงสัญญาว่าจะมาเช่าหนังสือในวันพรุ่งนี้ แล้วก็ลูบเบาะลายดอกไม้ที่นุ่มนิ่มบนม้านั่งเล็กๆ อย่างอาลัยอาวรณ์แล้วจากไป
ชีวิตจึงเข้าสู่ภาวะปกติ ร้านเช่าหนังสือของครอบครัวจะเปิดทำการอย่างเป็ทางการในเวลาบ่ายสามโมงของทุกวัน ถ้าเป็่ครึ่งวันที่พี่ชายไปเรียน หมี่หลันเยว่จะกลับมาเปิดร้านเอง หมี่หลันเยว่ที่อายุยังไม่ถึงหกขวบดี การกลับบ้านคนเดียวจะไม่ทำให้ใครต้องกังวล เด็กในยุคนี้อายุห้าหกขวบก็วิ่งเล่นกันเต็มถนนแล้ว ในยุคต่อๆ ไป ช่างไม่อยากจะคิดเลย อุ้มลูกไว้ในมือ ก็ยังมีคนมาแย่ง
ทุกครั้งที่หมี่หลันเยว่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเล็กๆ มองดูร้านเช่าหนังสือ ในขณะเดียวกัน เธอก็สามารถใช้โอกาสที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่บ้าน อ่านหนังสือเล่มใหญ่ๆ บางเล่มได้ ทำให้เธอมีความสุขมาก เมื่อเทียบกับการคลานอยู่ใต้ผ้าห่มเพื่อแอบอ่านหนังสือภาพในชาติที่แล้ว ชาตินี้ของเธอมีความสุขมากพอแล้ว
แม้ว่าชาติที่แล้วของหมี่หลันเยว่จะไม่มีความสำเร็จอะไรมากมาย แต่ข้อดีอย่างเดียวของเธอก็คือ การสืบทอดนิสัยรักการอ่านของพ่อแม่ เธอเป็คนชอบอ่านหนังสือมาั้แ่เด็ก เรียงความของเธอเป็ตัวอย่างในชั้นเรียนเสมอ และเขียนเรียงความโดยไม่ต้องร่าง เขียนได้ในครั้งเดียว ตรงนี้เธออาจจะเหมือนแม่ หวังหย่วนฉิงเป็ครูสอนภาษาจีน
ดังนั้น เมื่อหมี่หลันเยว่อายุสามสิบกว่า เธอจึงเริ่มเขียนนิยายบนอินเทอร์เน็ตตามความสนใจของเธอ แม้ว่าจะไม่ได้รับผลประโยชน์ที่เป็รูปธรรมมากนัก แต่ในแง่ของความทะเยอทะยาน เธอได้รับความพึงพอใจบ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่เพื่อนร่วมงานบางคนรู้เื่นี้ เธอดูเหมือนจะกลายเป็ตัวแทนของคนที่มีวัฒนธรรม
เมื่อคิดถึงตอนนี้ มันก็ตลกดี ชื่อเสียงจอมปลอมที่ไม่สามารถนำผลประโยชน์ใดๆ มาให้ตนเองได้ มีอะไรให้พึงพอใจ หมี่หลันเยว่คิดไม่ออกว่าทำไมชาติที่แล้วเธอถึงใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขขนาดนั้น
‘ร้านหนังสือริมทาง’ ก็ถือว่าดีกว่าที่คาดไว้มาก เหมือนกับที่หมี่หลันเยว่พูดจริงๆ ผู้ใหญ่บางคนที่พาลูกหลานมาเช่าหนังสือการ์ตูน ก็เริ่มเช่าหนังสือทั่วไปมาอ่านด้วย ใน่ฤดูหนาวฃยังคงรักษาสถานะที่มั่นคงไว้ได้ โดยเฉลี่ยแล้วรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยหยวน
แม้แต่เดือนที่ฉลองตรุษจีนก็ไม่ได้หยุด กลับกลายเป็ว่า เพราะผู้ใหญ่และเด็กๆ ต่างก็หยุดงาน ร้านหนังสือที่ปิดทำการเพียงสองวัน ในเช้าวันที่สาม ก็มีคนมาเคาะประตูบ้าน บังคับให้เปิดร้าน และเปิดทำการตลอดทั้งวัน แต่เงินก็ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกมีความสุข
เมื่อฤดูร้อนกลับมาอีกครั้ง ครอบครัวสกุลหมี่ก็มีเงินเก็บเล็กน้อย มีกำไรหลายร้อยหยวน นี่เป็สิ่งที่ตอนแรกไม่กล้าคิด หวังหย่วนฉิงเปิดบัญชีเงินฝากให้ลูกชายคนโตและลูกสาวแต่ละคน เงินที่พวกเขาเคยหาได้ เป็ของพวกเขาเองทั้งหมด แต่รายได้หลังจากเปิดร้านหนังสือ จะถูกนำออกมายี่สิบเปอร์เซ็นต์ในแต่ละเดือน แล้วนำไปฝากเข้าบัญชีของเด็กๆ แต่ละคน ถือเป็ค่าตอบแทนที่เด็กๆ เฝ้าร้าน
หมี่หลันเยว่ที่อายุหกขวบแล้ว อยู่บ้านไม่ได้จริงๆ ถ้าให้เธอแกล้งเป็เด็กต่อไป เธอจะบ้าตาย ดังนั้น เธอจึงอ้อนวอนต่อแม่อย่างหนักแน่น ขอไปโรงเรียน หวังหย่วนฉิงรู้ระดับความสามารถของลูกสาว และรู้ว่าเธอฉลาดและว่านอนสอนง่าย ดังนั้น คำขอของหมี่หลันเยว่จึงไม่ได้รับการขัดขวาง และได้เข้าเรียนอย่างราบรื่น