อาเหมิ่งต๋าทำได้แต่โมโหหนักเดินตามมาข้างหลังเช่นเดิม
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงริมสะพานเหล่าทหารที่ยืนเฝ้าสะพานอยู่ก็หยัดตัวตรง “ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ”
หั่วอี้เพียงพยักหน้าให้น้อยๆ ไม่พูดอะไรเอาแต่พาหลิ่วจิ้งเดินขึ้นไปบนสะพาน สะพานไม่ได้ยาวนักแต่เดินไปสามก้าวก็มีป้อมห้าก้าวมีด่านทุกที่ที่พวกเขาเดินไปถึงก็จะมีเสียงทหารคอยเอ่ยทักทายแสดงความเคารพอยู่ตลอดทาง
เมื่อหลิ่วจิ้งมาถึงกลางสะพานแล้วทอดสายตามองออกไป จึงพบว่าจากตรงนี้จะสามารถมองเห็นได้ไกลมากเห็นแม้กระทั่งประตูเมืองซึ่งอยู่ไกลลิบ
หลิ่วจิ้งลอบทอดถอนใจยามมองโคมไฟที่จุดอยู่ในบ้านเรือนนับหมื่น แต่ละหลังล้วนดูแล้วแสนอบอุ่นแต่กลับไม่มีที่ใดเป็แหล่งพักพิงของนาง
“งามหรือไม่? หากท่านชอบก็สามารถมาได้บ่อยๆ”หั่วอี้กุมมือหลิ่วจิ้งไม่ยอมปล่อย ทั้งคอยกระชับฝ่ามือไล้ไปมา
มือที่กุมกระบี่มานานค่อนข้างหยาบกระด้างยามไล้บนฝ่ามืออ่อนนุ่มของหลิ่วจิ้งกระตุ้นให้นางเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน
เวลานี้พวกเขาเดินมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของสะพานพอดีเมื่อมองจากฝั่งนี้ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับเป็ทัศนียภาพอีกรูปแบบหนึ่ง
ห่างออกไปหลายลี้เป็แม่น้ำที่ไม่นับว่ากว้างนักสายหนึ่งเรือน้อยใหญ่ประดับประดาอย่างสวยงามลอยนิ่งอยู่บนผิวน้ำมากมายหลายลำ
ตัวอักษรสามตัวว่า ‘หอเยี่ยนเฟิ่ง’ บนเรือลำใหญ่ที่สุดสะดุดตาหลิ่วจิ้งนักนางจำที่อาเหมิ่งต๋าพูดได้ว่าจะไปหาความสำราญที่หอเยี่ยนเฟิ่งหรือที่เอ่ยถึงก็คือที่แห่งนี้
หลิ่วจิ้งอาศัยจังหวะนี้ดึงมือนางออกจากมือของหั่วอี้ก่อนจะชี้นิ้วไปยังเรือน้อยใหญ่ไกลออกไปบอกว่า “ท่านแม่ทัพ ที่นั่นคือที่ใดเป็เรือท่องเที่ยวหรือ?”
“ใช่แล้ว” ไม่รู้เพราะเหตุใด ครานี้หั่วอี้จึงมิได้อธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
“องค์หญิง นั่งเรือชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนก็ได้อรรถรสอีกแบบหนึ่ง พวกเราไปดูกันดีหรือไม่”ครั้งนี้อาเหมิ่งต๋ากลับแนะนำอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก
“อาเหมิ่งต๋า เ้าอย่าเลอะเลือนที่เ่าั้เป็ที่ที่องค์หญิงไปได้ที่ใดกัน”
หั่วอี้ถลึงตาใส่อาเหมิ่งต๋า และการตักเตือนในแววตาของเขาครานี้รุนแรงเอาการ
“นั่นเป็สถานที่เช่นใด เหตุใดข้าจึงไปไม่ได้ ท่านดูสิมิใช่มีสตรีตั้งมากมายยืนอยู่ที่หัวเรือหรอกหรือ”
หลิ่วจิ้งรู้แล้วว่าเป็สถานที่เช่นใดแต่กลับแสร้งทำเป็ไม่รู้เพราะองค์หญิงที่อยู่แต่ในวัง ย่อมไม่อาจให้หั่วอี้รู้สึกว่านางรู้มากเกินไป
“นั่นเป็เรือเริงรมย์ ที่ยืนอยู่บนหัวเรือคือหญิงสร้างความบันเทิงพวกนางกำลังออกมาเรียกแขก”
ท่านแน่ใจว่าอยากไปขึ้นเรือหรือไม่ หั่วอี้มองนางด้วยสายตาเย้าหยอก
“เื่นี้… เช่นนั้นก็อย่าไปดีกว่าเ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งหน้าแดงมีท่าทีขัดเขินขึ้นมา
“องค์หญิง พี่ใหญ่แค่แกล้งทำให้ท่านใเท่านั้นแม้เรือบางลำจะทำการค้าประเภทนั้น แต่แม่นางในหอเยี่ยนเฟิ่งล้วนขายความสามารถมิได้ขายตัวพวกนางล้วนเป็ศิลปินอันดับต้นๆ ของแคว้นชางอี้ เื่ฉินหมากอักษรภาพวาดหาใช่คนทั่วไปจะเทียบได้องค์หญิงสามารถลองไปดู คุณหนูในบ้านเรือนทั่วไปยังมักไปที่นั่น”
“เป็ดังนี้หรือท่านแม่ทัพ หากเป็เช่นที่ว่ามาข้าก็อยากไปดูสักหน่อยเพราะสามารถเรียนรู้เข้าใจวัฒนธรรมของต่างแคว้นได้จากสถานที่เช่นนี้ได้ดีที่สุด เนื่องจากมักมีผู้มีความสามารถพิเศษซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ด้วย”
หลิ่วจิ้งรู้ว่าไม่ว่าซอกมุมใดของแคว้นชางอี้นางต้อง่ชิงโอกาสไปทำความคุ้นเคยอย่างเต็มกำลัง เพราะการจะชำระหนี้แค้นของนางหาใช่เพียงจวนแม่ทัพเล็กๆ จะทำได้ หากแต่นาง้ากำลังหนุนจากทั้งแคว้นชางอี้
นางนึกถึงคำที่บิดาเคยกล่าวไว้ “จงออกไปััโลกภายนอกไม่เอาแต่หลบอยู่ในเรือน” นางไม่อาจเอาแต่สงบนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของจวนแม่ทัพแต่ต้องไปรู้จักทุกสิ่งในใต้หล้า
ด้วยเหตุนี้แม้จะเป็สถานเริงรมย์ นางก็ต้องไปดูให้รู้สักหน่อย
นางจำได้ว่าครั้งยังอยู่ในแคว้นต้าเว่ย คนทรยศผู้นั้นเคยอาศัยหญิงในหอคณิกามาช่วยเขาเสาะหาข่าวครานั้นนางยังล้อเขาเล่นว่าอย่าได้หลงกลของสตรีลุ่มหลงในกลิ่นรสจนถอนตัวมิได้เชียว
ครานั้นคนผู้นั้นยังเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า ต่อให้ถอนตัวไม่ขึ้นก็จะต้องถอนตัวจากเ้าไม่ขึ้นเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้หลิ่วจิ้งก็ว้าวุ่นรำคาญใจนัก “ท่านแม่ทัพพวกเราไปดูกันเถิด”
นาง้าอาศัยเื่อื่นมาหันเหความสนใจของตน หาไม่แล้วคิดว่านางคงต้องเป็บ้าแน่
“ตกลง นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงก็มีอารมณ์นึกสนุกที่แห่งนั้นกลับมิใช่ว่าไปไม่ได้ ที่ข้าปฏิเสธจะพาท่านไปเมื่อครู่ก็ด้วยกลัวว่าท่านจะทนเห็นเื่เริงรมย์เช่นนั้นไม่ไหวเพราะองค์หญิงก็คงไม่เคยัักับเื่โสมมเหล่านี้มาก่อนกระมัง”
“ก็ด้วยไม่เคยพบเห็นมาก่อนจึงรู้สึกอยากรู้ท่านแม่ทัพคงไม่คิดว่าสิ่งที่ข้าคิดทำน่าตื่นใเกินไปหรอกนะเ้าคะ”
“จะคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเมื่อท่านคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมของแคว้นเราแล้ว ท่านก็จะเข้าใจเองเหล่าสตรีชั้นสูงจำนวนมากล้วนเป็แขกประจำของหอเยี่ยนเฟิ่ง อาเหมิ่งต๋าพูดไม่ผิดศิลปินในนั้นเพียงขายศิลปะไม่ขายตัว ยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เพียงแต่พวกนางแต่ละคนมีความจำเป็ในการหาเลี้ยงชีพ จึงมิอาจไม่มาทำงานเช่นนี้เท่านั้น”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด จะมัวอยู่ที่นี่ทำไมอีกเล่า”อาเหมิ่งต๋าเดินลงสะพานไปเรียกรถม้ามาเป็คนแรก คงเพราะคิดว่าไปที่นั่นต้องเดินทางอีกสักระยะหนึ่งนั่งรถม้าไปน่าจะสะดวกกว่า
รถม้าของจวนแม่ทัพคอยตามพวกเขามาตลอดทางอยู่แล้ว เมื่ออาเหมิ่งต๋ากวักมือเรียกพวกเขาจึงเคลื่อนรถมาตรงหน้าอย่างรวดเร็วรอจนหั่วอี้พาหลิ่วจิ้งลงจากสะพานก็สามารถขึ้นรถม้าตรงไปที่ริมแม่น้ำได้ทันที
ั้แ่หลิ่วจิ้งขึ้นรถม้ามา นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก
แม้รถม้าจะมีขนาดใหญ่เพียงพอ ทว่าอาเหมิ่งต๋ากลับไม่มานั่งรถม้าด้วยแต่ไปเอาม้าตัวหนึ่งมาจากผู้ติดตามขี่นำหน้าไปก่อนเสียอย่างนั้น
ในรถม้าจึงมีเพียงหั่วอี้กับหลิ่วจิ้งสองคน ยามเห็นสายตาพลุ่งพล่านของหั่วอี้นางก็รู้สึกว่าไม่เข้าทีแล้วจึงอ้างว่าจะชมทิวทัศน์และเปิดม่านหน้าต่างขึ้น ยื่นหัวออกไปดูภาพด้านนอก อาศัยเื่นี้หลบเลี่ยงความปรารถนาร้อนรุ่มของอีกฝ่าย
ตลอดทางหั่วอี้กลับมิได้ทำสิ่งใด นางชมทิวทัศน์ หั่วอี้ชมนางอยู่กันท่ามกลางบรรยากาศพิเศษเช่นนี้ ไม่ถึงชั่วครึ่งก้านธูปก็ไปถึงที่หมายแล้ว
หลังลงจากรถม้า พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังหอเยี่ยนเฟิ่งเมื่อนางขึ้นเรือมาแล้วและเห็นว่ามีฮูหยินขุนนางตลอดจนคุณหนูจำนวนมากอยู่ในนั้นนางจึงรู้ว่าเหตุใดแม้นางจะเป็สตรีแต่กลับมิได้ถูกผู้อื่นมองด้วยสายตาประหลาดเลย
“ท่านแม่ทัพมาแล้ว เมื่อครู่ท่านแม่ทัพอาเหมิ่งต๋าสั่งเอาไว้ว่าพอท่านมาถึงให้พาไปที่ห้องเทียนจื้อที่หนึ่งเ้าค่ะ”
เด็กสาวอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งเข้ามาย่อตัวคารวะหั่วอี้พูดเสียงอ่อนเสียงหวานพลางนำทางเดินไป
ดูท่าหั่วอี้จะมาที่นี่เป็ประจำหลิ่วจิ้งเห็นว่าแม้เขาจะเดินตามหลังสตรีที่นำทาง แต่ที่ใดต้องเลี้ยว ที่ใดต้องเดินเขาดูคุ้นเคยไปเสียหมด
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้องเทียนจื้อที่สตรีผู้นั้นเอ่ยถึง ในห้องพบว่ามีอาเหมิ่งต๋านั่งกินของว่างอยู่ก่อนหน้าแล้ว
คงเพราะเมื่อครู่เขาเอาแต่คอยห้ำหั่นกับหลิ่วจิ้งจึงยังกินไม่อิ่มกระมัง
หลิ่วจิ้งคิดถึงท่าทางไม่สบอารมณ์ของอาเหมิ่งต๋ายามเห็นนางกินกุ้งเมาจนหมดเมื่อครู่นี้ก็พลันอยากหัวเราะออกมานัก
แม้จะรู้แต่แรกแล้วว่าที่นี่ขายเพียงศิลปะไม่ขายตัวแต่เมื่อหลิ่วจิ้งเห็นหญิงขายศิลปะที่นอนทอดตัวยาวอยู่บนเก้าอี้แกะสลักงดงามนางก็ต้องใเป็หนักหนา
สตรีผู้นี้สวมชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว แต่ตรงหน้าอกกลับไม่มีสิ่งใดคาดรัดไว้ภายในจึงมองเห็นหน้าอกได้รำไร ซึ่งเมื่อเทียบกับการไม่สวมเสื้อผ้าแล้ว การแต่งกายเช่นนี้กลับยิ่งน่าเย้ายวนมากกว่า
นางนอนตะแคง สะบัดชายกระโปรงที่เลยจากขาเรียวยาวไว้ข้างหนึ่งทำให้ต้นขาขาวนวลทั้งคู่อร่ามอยู่ต่อสายตาทุกคน
หลิ่วจิ้งมองไปทางหั่วอี้ด้วยความสงสัยภาพตรงหน้านี้ต่างกับสิ่งที่นางคิดไว้เกินไปนักนางนึกว่าในเมื่อสตรีที่อยู่ที่นี่เพียงขายศิลปะไม่ขายตัวก็ย่อมต้องแต่งกายเรียบร้อยแต่ภาพที่เห็นยามนี้ ไม่ว่าเป็บุรุษคนใดก็ย่อมต้องจิตใจพลุ่งพล่านทั้งสิ้น
หลิ่วจิ้งพบว่าหั่วอี้กลับไม่ได้มองนาง ความสนใจของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวนางหากแต่จับจ้องหญิงชุดแดงที่ทอดตัวบนเก้าอี้ยาวผู้นั้นอยู่เงียบๆ
_____________________________
