หลี่เฉิงครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะพูดตัวเลขออกมา "เช่นนั้นก็ห้าร้อยอีแปะก็แล้วกัน"
ห้าร้อยอีแปะ?
หันจินและซ่งอวี้ครุ่นคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าราคานี้เหมาะสมยิ่งนัก พลั่วหนึ่งเล่มทำให้ในครอบครัวมีคนช่วยทำนาและขุดดินมากขึ้นอีกหนึ่งแรง อีกทั้งราคาห้าร้อยอีแปะก็ไม่ได้เกินกำลังที่จะรับได้ เพียงตั้งใจสะสมเงินก็ซื้อได้ เป็ราคาที่เหมาะสมแล้ว
"ได้ เช่นนั้นก็ตกลงตั้งราคากันที่ห้าร้อยอีแปะ"
เมื่อคลี่คลายปัญหาทั้งหมดได้แล้ว ซ่งอวี้และหันจินก็ผ่อนคลายลง ทั้งสองหารือปัญหาอื่นๆ เล็กน้อย พบว่าการตีพลั่วไม่ยาก แค่เพียงนำออกมาขาย ต้องมีร้านตีเหล็กอื่นๆ ลอกเลียนแบบอย่างแน่นอน
ขืนเป็เช่นนี้ ระยะแรกต้องเตรียมการให้พร้อม
ในตอนหลังซ่งอวี้เสนอช่องทางขายอีกหนึ่งช่องทาง หากคนที่มีฐานะร่ำรวยจะซื้อพลั่ว ย่อมซื้อปริมาณมาก คนร่ำรวยในเมืองจะว่ามีมากก็ไม่มาก มีน้อยก็ไม่น้อย หากหันจินดึงลูกค้าเหล่านี้เอาไว้ในมือได้ั้แ่แรก วันข้างหน้ายามพวกเขา้าตีพลั่วอีก เช่นนั้นย่อมมาให้หันจินทำ
แน่นอน ซ่งอวี้บอกกับหันจินแล้ว ขอเพียงร้านตีเหล็กร้านอื่นๆ เริ่มตีพลั่ว เช่นนั้นสัญญาระหว่างพวกเขาเป็อันยุติ แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นพลั่วน่าจะขายได้พอประมาณแล้ว ซ่งอวี้ไม่จำเป็ต้องคว้างานนี้เอาไว้ เพื่อเงินเพียงไม่กี่ตำลึง สู้ยุติงานนี้ แล้วได้รับความรู้สึกดีๆ จากหันจินยังจะดีเสียกว่า
เป็จริงตามคาด เมื่อหันจินได้ยินซ่งอวี้พูดเช่นนี้ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความนับถือและซาบซึ้ง
รอให้ซ่งอวี้และหลี่เฉิงเดินออกไปจากร้านตีเหล็ก ก็ใกล้เวลามื้อเที่ยงแล้ว ทั้งสองเดินไปที่ร้านขายเกี๊ยวซึ่งก่อนหน้านี้เคยมากินด้วยกัน สั่งเกี๊ยวสองชาม หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ พวกเขาก็ตรงไปยังร้านยาถงอัน
เมื่อคราวก่อนลูกศิษย์ที่ร้านยาถงอันเคยเจอซ่งอวี้ รู้ว่านางมาขายสมุนไพร ด้วยเหตุนี้จึงเดินไปตามท่านอาจารย์ของตนออกมา
เป็เพราะเดินทางไกล ทั้งยังตรงไปคุยเื่ค้าพลั่ว จากนั้นก็เดินมายังร้านยาถงอัน ระหว่างนี้ได้พักกินเกี๊ยวเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น เวลานี้จึงมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากซ่งอวี้ ดวงแก้มของนางแดงระเรื่อ
แววตาลุ่มลึกของหลี่เฉิงมองไปที่นางครู่หนึ่ง ทว่าซ่งอวี้กลับไม่เห็นสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงเดินไปตรงหน้าซ่งอวี้ ยื่นมือไปเช็ดหน้าผากให้กับนาง ขณะที่นางไม่ทันได้หลบเลี่ยง "เหงื่อไหลเช่นนี้แต่ก็ไม่รู้จักเช็ดเหงื่อ ประเดี๋ยวเป็ไข้หวัดขึ้นมา เ้าลำบากแน่"
ดวงแก้มของซ่งอวี้แดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม ทว่าไม่มีทีท่าจะผลักเขาออก นางพูดพึมพำ "เื่เยอะจริงๆ ข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้นเสียหน่อย"
ตอนที่หมอชราเดินออกมาจากด้านใน ทั้งสองก็แยกออกจากกันนานแล้ว
หมอชราพยักหน้าให้กับซ่งอวี้ "ครั้งนี้แม่นางซ่งก็จะมาขายสมุนไพรอีกแล้วหรือ?"
ซ่งอวี้วางตะกร้าสะพายหลังลง ทว่าไม่ได้มีท่าทีจะให้หมอชราดู นางยิ้ม "ใช่เ้าค่ะ แค่ว่าสมุนไพรที่ข้าอยากจะขายให้ท่านหมอในครั้งนี้ แตกต่างจากเมื่อคราวก่อน"
สมุนไพรแตกต่างจากเดิม?
ดวงตาของหมอชราเป็ประกาย "หรือว่าแม่นางซ่งได้สมุนไพรล้ำค่ามา? คือหลินจือหรือว่าโสมอายุร้อยปี?" สมุนไพรเหล่านี้ราคาสูงลิ่ว แต่ดันเป็สมุนไพรที่ช่วยชีวิตคนได้ ร้านยาถงอันขาดแคลนยาพวกนี้มาโดยตลอด ขอเพียงมีคนนำมาขาย พวกเขาล้วนรับซื้อ
แต่น่าเสียดาย สมุนไพรเหล่านี้หายากยิ่งนัก แม้พวกเขาจะยินดีจ่ายเงินราคาสูง แต่ก็ไม่มีคนนำมาขาย
ทว่าคิดไม่ถึงว่าซ่งอวี้กลับส่ายหน้า "ข้าไม่มีโสม และไม่มีหลินจือ ความเป็จริง..." ซ่งอวี้ชะงักครู่หนึ่ง "ความเป็จริงสมุนไพรยังคงเป็สมุนไพรเดิม เพียงแต่ดีกว่าก่อนหน้านี้ก็เท่านั้น"
คำพูดของซ่งอวี้ ทำให้หมอชรางุนงง
สมุนไพรที่ซ่งอวี้นำมาขายเมื่อคราวก่อนเป็สมุนไพรชั้นดี นางบอกว่าจะมาขายสมุนไพรที่ดีกว่าเมื่อคราวก่อน หรือว่าจะเป็สมุนไพรที่ดีที่สุด? แต่แม้จะเป็สมุนไพรที่ดีที่สุด แต่ก็ได้เงินเพิ่มไม่กี่อีแปะเท่านั้น จำต้องพูดอธิบายเป็พิเศษด้วยหรือ?
ท่ามกลางแววตาฉงนของหมอชรา ซ่งอวี้อธิบายความแตกต่างของสมุนไพรเหล่านี้หนึ่งรอบ โดยเฉพาะตอนที่นางบอกว่าประสิทธิภาพของยาจะดียิ่งขึ้น อีกทั้งส่วนที่เป็พิษต่อร่างกายก็ลดน้อยลงไปกว่าครึ่ง ดวงตาของหมอชราพลันเบิกกว้างทันที
"แม่นางซ่งอย่าพูดจาเหลวไหล สมุนไพรสามารถตากแห้งแล้วเก็บรักษาไว้ได้ โดยไม่ทำลายประสิทธิภาพของยา นี่คือวิธีการเก็บรักษาสมุนไพรเพียงวิธีการเดียว วิธีแปรรูปสมุนไพรที่แม่นางพูดถึง ไร้สาระสิ้นดี!” หมอชราอยู่ในวงการแพทย์มานานนับสิบปี ไม่เคยได้ยินสิ่งที่ซ่งอวี้พูดมาก่อน แน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อ
ซ่งอวี้คาดเดาเอาไว้ั้แ่แรกแล้ว นางไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย นางหยิบสมุนไพรขึ้นมาแล้วพูด "นี่คือสมุนไพรที่ผ่านการแปรรูป หากท่านหมอไม่เชื่อคำพูดเมื่อครู่ของข้า พวกเราเดิมพันกันดีหรือไม่?"
การแปรรูปยาสมุนไพรจีนเป็ที่นิยมในยุคปัจจุบันแล้ว ตอนนั้นด้วยความสงสัยที่มีต่อขั้นต่อการแปรรูปสมุนไพร นางจึงตั้งใจเรียนเื่นี้เป็พิเศษ ด้วยเหตุนี้นางจึงเชื่อมั่นในตนเองเป็อย่างยิ่ง ขอเพียงหมอชรายอมทดลอง เช่นนั้นย่อมเห็นข้อดีของการแปรรูปยาสมุนไพร
อาจจะเป็เพราะความเชื่อมั่นในคำพูดของซ่งอวี้ที่โน้มน้าวใจได้ดีเหลือเกิน หมอชราตกตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าไม่ได้โต้กลับ
หลี่เฉิงยืนดูอยู่ข้างๆ รู้สึกเพียงว่าซ่งอวี้ในเวลานี้เจิดจรัสยิ่งนัก นางงดงามจนทำให้ผู้คนตกตะลึง แววตาเพ้อฝันของหลี่เฉิงจับจ้องไปยังซ่งอวี้ อยากจะมองเข้าไปในหัวใจของนาง ไม่ให้ลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์
เวลานี้ เยี่ยสุยคงใกล้จะมาถึงแล้วกระมัง หลี่เฉิงยืนอยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร
หมอชราลูบเคราของตนเอง ความตกตะลึงดึงสติของเขากลับมา ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างโมโห สีหน้าจึงเคร่งขรึม พูดตำหนิออกไปโดยไม่คิด
"แม้แม่นางซ่งจะรู้จักสมุนไพร แต่ด้านการรักษาไม่ได้ง่ายเหมือนที่แม่นางคิด หากตอนนี้แม่นางยอมรับผิด เช่นนั้นข้าจะถือว่าแม่นางอายุน้อยจึงไม่รู้ความ ไม่ถือสาแม่นาง มิเช่นนั้นวันข้างหน้าข้าคงไม่อาจทำการค้ากับแม่นางได้"
หมอชราศึกษาด้านการแพทย์มาทั้งชีวิต ไม่อาจบอกว่าตนมีความสามารถเหนือกว่าหมอในสมัยโบราณ แต่ดูแล้วซ่งอวี้อายุไม่ถึงยี่สิบ กล้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ สำหรับหมอชราแล้ว ถือเป็การไม่ให้เกียรติวิชาแพทย์ ทั้งยังเป็การไม่เคารพชีวิต การรักษาและช่วยชีวิตคนไม่ง่ายเช่นนั้น
ซ่งอวี้ยิ้ม ทว่าไม่ยอมอ่อนข้อ นางเอ่ยปากพูด "หากข้าทำผิดจริง เช่นนั้นข้าก็จะยอมรับความผิด แต่ตอนนี้ท่านหมอไม่ยอมเดิมพันกับข้า ทั้งยังไม่ได้ทดสอบดูว่าสมุนไพรแปรรูปเหล่านี้ไร้ประโยชน์จริงหรือไม่ ก็ให้ข้ายอมรับผิดแล้ว เช่นนี้ถือเป็การทึกทักเอาเองหรือไม่? ด้านการแพทย์ แม้จะต้องระมัดระวังและรอบคอบ แต่หากไม่เคยแม้แต่ทดสอบ เช่นนั้นจะพัฒนาได้อย่างไร?"
ความมั่นใจของนาง ทำให้คนหวั่นไหวยิ่งนัก
"เหมือนที่ข้าพูดในตอนแรก ยาสมุนไพรนี้มีประสิทธิภาพหรือไม่ เพียงทดสอบก็ได้คำตอบแล้ว ท่านและข้าไม่จำเป็ต้องโต้เถียงกัน" ทองแท้ไม่กลัวไฟ นางยังคงมีท่าทีเช่นเดิม ไม่มีทีท่าจะยอมรับผิดแม้แต่น้อย
หมอชราในยามนี้ลังเลยิ่งนัก ด้านหนึ่งเป็เพราะวิชาแพทย์นั้นเข้มงวดยิ่งนัก หากยาสมุนไพรมีปัญหา ไม่แน่อาจจะทำร้ายผู้อื่นและทำร้ายตนได้ อีกด้านหนึ่ง เขาก็เห็นด้วยกับคำพูดของซ่งอวี้
ด้านการแพทย์หลายร้อยปีที่ผ่านมา จางรั่วหลินคือคนเดียวที่คุณงามความดีของเขาเปรียบได้ดั่งเทพเซียน เขาใช้เวลานับสิบปีในการศึกษาวิชาแพทย์ สุดท้ายก็เขียน 'บันทึกอายุร้อยปี' ขึ้นมาได้ ทำคุณงามความดีให้กับการแพทย์ในภายหลัง
ในตำรามีการบันทึกตำรับยาโบราณสิบเจ็ดหน้า สามารถรักษาห้าโรคที่ไม่อาจรักษาได้ ช่วยชีวิตคนได้นับร้อยนับพัน จึงอย่าได้กล่าวถึง สมุนไพรมากมายที่ไม่เคยได้ยินชื่อซึ่งบันทึกเอาไว้ในตำรา กล่าวได้ว่าเขาคือหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยกลับชาติมาเกิด ก็ไม่ได้เกินไปเลยแม้แต่น้อย
แม้คนรุ่นหลังจะเคารพและนับถือจางรั่วหลินเป็อย่างยิ่ง แต่ความเป็จริงตอนที่ ‘บันทึกอายุร้อยปี' ถูกเขียนขึ้นนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยต่างตั้งคำถาม เพียงแต่พวกคนที่หวาดระแวงสงสัยอยากที่จะโต้เถียงเนื้อความในตำรา จึงได้ทำการทดลองโดยเฉพาะ สุดท้ายกลับถูกตอกกลับ ท้ายที่สุดก็ยอมรับด้วยใจ
หมอชราเดินวนไปมา ในที่สุดตาชั่งในใจก็เอนเอียง แค่มองสีหน้าของเขา น่าจะเป็เพราะเมื่อครู่พูดเสียงเหี้ยมจนเกินไป เวลานี้จึงกระอักกระอ่วนที่จะยอมอ่อนข้อให้