ถูกต้องแล้ว เขาก็คือซูฉางอันนั่นเอง
เขารู้สึกราวตัวเองใกล้จะตายแล้ว คุณชายแห่งเมืองฉางเหมิน กู่หนิงที่เป็ดั่งยอดอัจฉริยะเพิ่งนอนหมอบอยู่แทบเท้าตนแม้แต่ซูโม่ที่ตนแอบชอบมานาน และจี้เต้าที่ชอบกลั่นแกล้งตนมาโดยตลอดก็ล้มกองอยู่บนพื้นดิน แน่นอนว่านอกจากนี้ ยังมีลิ่นหยูที่ตนไม่ค่อยสนิทด้วย ดูเหมือนพวกเขาจะตายไปแล้ว แต่ก็คล้ายยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ว่ายังไง สุดท้ายพวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี
ดังนั้นซูฉางอันจึงไม่คิดว่าตนจะสามารถรอดชีวิตไปได้เช่นกัน
แต่เขาก็ไม่อยากจะตายไปทั้งอย่างนี้ อย่างน้อยก็ไม่อยากตายทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยแบบนี้
เขาเอาแต่หลบอยู่หลังคนอื่นมาั้แ่แรก ทว่าตอนนี้ แผ่นหลังที่คอยให้เขาได้หลบต่างก็ล้มลงจนหมดแล้ว ดังนั้น เขาจึงอยากจะทำอะไรบ้าง แค่ได้ฟาดดาบที่ชักไม่ออกในมือลงบนหัวสัตว์ประหลาดพวกนั้นสักครั้งก็ยังดี ถือว่าเป็การแก้แค้นให้คนที่เคยปกป้องเขามาก่อนก็แล้วกัน ต่อให้จะฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว ต่อให้คนพวกนั้นจะตายไปจนหมดแล้ว ต่อให้ไม่ว่าตนจะทำอะไรเพื่อพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีทางรู้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ซูฉางอันรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
ก่อนหน้านี้ ซูฉางอันคิดอย่างจริงจังอยู่นานว่าตนยังทำอะไรได้อยู่
เขาคิดถึงขนมซูปิ่ง มันเป็ขนมที่โม่โม่ซื้อ และฝากกู่หนิงนำมาให้เขา
เขาย่อมรู้ดีว่านั่นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย คนที่โม่โม่ชอบคือกู่หนิง อย่างไรเสีย กู่หนิงก็เป็ถึงคุณชายแห่งเมืองฉางเหมิน ทั้งยังมีนิสัยใจกว้าง เป็มิตรกับคนรอบๆ แม้แต่ซูฉางอันก็ยังต้องยอมรับเลย ว่าตนรู้สึกชอบกู่หนิงมากจริงๆ แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีตำแหน่งเป็ถึงเจว๋แล้ว แต่โม่โม่ก็ยังชอบกู่หนิงอยู่ดี และซูฉางอันเองก็คิดว่าเช่นนี้ก็ดีแล้ว หากโม่โม่หันมาชอบตนเพราะตำแหน่งเจว๋ที่ได้รับ ตนคงไม่ชอบโม่โม่เฉกเช่นแต่ก่อนแล้ว
แต่เพราะซูปิ่งเป็ของที่โม่โม่ซื้อมาให้ เขาจึงทำใจกินมันไม่ได้เสียที แต่ในตอนนี้เขาก็กำลังจะตายแล้ว หากยังไม่กิน แล้วปล่อยให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นได้ของไป แบบนั้นคงจะเสียของแย่
ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาเล็กน้อยไปกับการกินขนมซูปิ่งชิ้นสุดท้ายอย่างตั้งใจ เขาเคี้ยวมันอย่างละเอียดในทุกๆ คำเลย
จากนั้น ซูฉางอันก็ยืนขึ้น แล้วเดินตรงไปข้างหน้า เดินตรงเข้าไปหาสัตว์ประหลาดพวกนั้น
เขาจะเหวี่ยงดาบในมือไปที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นให้แรงที่สุดแล้วไปตายอย่างไม่มีสิ่งใดค้างคาใจอีก
น่าเสียดายที่ต่อแต่นี้ไป บิดาของเขาจะไม่มีลูกชายอีกแล้ว จู่ๆ ซูฉางอันก็คิดขึ้นเช่นนั้น แต่เมื่อมาคิดๆ ดูอีกทีแล้ว มหาจักรพรรดิประทานทองคำให้ตั้งสองร้อยตำลึง ตอนนี้บิดาก็ยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ยังแต่งภรรยาได้อีกหลายคน แล้วให้กำเนิดลูกชายได้อีกเยอะเลย เมื่อลองมาคิดเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเท่าแต่ก่อนแล้ว
ตอนนี้ เขาเดินผ่านร่างของกู่เซี่ยนจวินและหลิวต้าหง แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าสัตว์ประหลาดพวกนั้นแล้ว
สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเปลี่ยนจากเป้าหมายเดิมมาเป็ซูฉางอันราวกับถูกท้าทายเช่นนั้น พวกมันร้องคำรามแล้วพุ่งตรงเข้ามาแล้ว
ทว่าซูฉางอันกลับหัวเราะออกมาอย่างประหลาด มันเป็เสียงหัวเราะที่ออกมาจากใจจริง
ราวจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องนภาโดยไม่สนสิ่งชั่วร้ายที่พุ่งเข้ามาหาเลยแม้แต่น้อย
จู่ๆ แสงดาวก็สว่างไสวขึ้นทันตา แสงดาวส่องผ่านท้องฟ้าที่แสนมืดมิด ส่องผ่านต้นไม้หนาทึบลงมายังพื้นดิน ส่องให้ศพที่นอนระเนระนาดอยู่บนพื้นดินชัดแจ้ง และส่องให้ดวงตาของซูฉางอันชัดแจ้งขึ้นด้วยเช่นกัน ตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงระยิบระยับ ราวกับหมู่ดาวบนท้องนภาไม่มีผิด
เขายกมือขวาที่จับด้ามดาบขึ้นอย่างสุดแรง ตัวดาบที่ขาวกระจ่างดูตัดกับท้องนภาที่ดำมืดราวฟ้ากับดิน คล้ายเป็หมาป่าผู้แสนดุร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา แต่ก็ราวกับัวิเศษที่พุ่งฝ่านภาลงมา
ถูกต้องแล้ว ครั้งนี้ซูฉางอันสามารถชักดาบออกมาได้แล้ว
ั้แ่มั่วทิงอวี่จากไป ในที่สุดคมดาบที่ถูกผนึกมานานถึงสองปีก็ปรากฏต่อสายตาของคนทั้งหลายอีกครั้ง
มันร้องคำรามราวกับซาตานจากขุมนรก แผดเสียงสนั่นไม่ต่างไปจากหมาป่าที่โกรธเกรี้ยวเลย
ซูฉางอันรู้สึกราวอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากดาบ แล้วแทรกซึมเข้าไปในร่างของเขา เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพียงแต่เ้าสิ่งนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่น และสนิทสนมมากเหลือเกิน ความรู้สึกที่ได้จากมัน เหมือนกับที่ได้รับจากมั่วทิงอวี่ไม่มีผิด
เขาจับดาบเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วเลิกคิ้วขณะเพ่งมองไปยังสิ่งชั่วร้ายที่พุ่งเข้ามาหา
วินาทีนั้น ลมแรงโหมกระหน่ำ
มันเป็สายลมที่พลังแห่งคมดาบก่อให้เกิดนั่นเอง แน่นอนว่าซูฉางอันไม่มีทางแสดงพลังแห่งคมดาบแบบนั้นออกมาได้แน่ เหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถดึงดาบออกมาได้นั่นเอง ทว่าพลังแห่งคมดาบที่ลอยอยู่ทั่วอากาศ เป็พลังที่มั่วทิงอวี่ทิ้งเอาไว้ให้ก่อนแล้ว
พลังแห่งคมดาบพุ่งไปทั่วทุกสารทิศ เมื่อัักับมัน สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายก็จะแหลกสลายกลายเป็ผุยผงไปสิ้น เหตุนี้ สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดจึงถูกกำจัดลงอย่างสิ้นซาก โดยที่สิ่งชั่วร้ายชุดใหม่ยังไม่ทันได้ปรากฏตัวขึ้นเลยด้วยซ้ำ
ในที่สุดคนชุดดำก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็ย่ำแย่
เขามองซูฉางอันด้วยความช็อก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็กลายเป็แหบแห้งอีกครั้ง “เ้าเป็ใคร? นี่มันดาบอะไรกัน!”
จู่ๆ คนธรรมดาๆ ตรงหน้าก็ะเิพลังที่มากมายเช่นนี้ออกมา มันเป็พลังที่พิเศษ และเย็นะเืเหลือเกิน เขาที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ดูคล้ายกับดาบเล่มหนึ่ง ดาบที่พุ่งผ่าท้องนภาและพื้นปฐีได้ แต่อย่างไรเสียพลังนั้นก็อ่อนแอมากเกินไป คนชุดดำหาได้กลัวไม่
เพียงแต่ดาบในมือของเ้าคนธรรมดาตรงหน้าช่างน่าพิศวงเหลือเกิน เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งความอันตรายที่ทำให้เขาะเิความระแวดระวังขึ้นโดยสัญชาตญาณ เดิมเขายังคิดว่าในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดสามารถทำอันตรายเขาได้แล้วเสียอีก
คนธรรมดาทำอะไรเขาไม่ได้! นักรบแห่งดาราจักรทำไม่ได้! แม้แต่คนของหอดาราก็ทำไม่ได้เช่นกัน!
ทว่าเขากลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายจากร่างของเด็กหนุ่มที่แสนธรรมดา คนที่ยังไม่ได้เป็นักรบระดับหลอมจิตเลยด้วยซ้ำ
เขามีชีวิตอยู่มานานเกินไป นานจนลืมไปแล้วว่าความตายเป็เช่นไร ทว่าวินาทีนี้ ซูฉางอันกลับทำให้เขาจำคำๆ นั้นได้อีกครั้ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ซูฉางอันไม่ได้ให้ความสนใจกับเขา เ้าสิ่งที่พุ่งเข้ามาในร่างกายเริ่มขับเคลื่อนขึ้น เขารู้สึกราวมีพลังอำนาจมากจนใช้ไม่หมดเช่นนั้น และพลังเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมากกว่าเดิม บางที เขาอาจจะสังหารคนชุดดำ และแก้แค้นให้กู่หนิงกับพวกได้
และแล้ว เขาก็พุ่งตรงเข้าไปหาคนชุดดำพร้อมกับดาบในมือ จากนั้นก็ะโขึ้นสูงภายใต้การจับจ้องด้วยความตกตะลึงของหลิวต้าหงกับกู่เซี่ยนจวิน
ดาบใหญ่ถูกยกขึ้นเหนือศีรษะ แสงดาวประทับลงบนใบหน้า ซูฉางอันร้องคำรามเสียงดังสนั่นราวกับพญาราชสีห์
ลมกระโชกสงบลงชั่วคราว พลังแห่งคมดาบจำนวนนับไม่ถ้วนกลายมาเป็พญาัที่พันรอบตัวดาบ แม้ร่างของเขาจะอยู่ท่ามกลางราตรี แต่กลับสว่างไสวราวนี่เป็่กลางวันเช่นนั้น
วินาทีนั้น ร่างของเขาคล้ายจะทับซ้อนกับร่างของชายในคืนหิมะเมื่อสองปีก่อน
จู่ๆ เขาก็กระจ่างแจ้งขึ้น ชื่อของดาบนี้...
เขาตัดสินใจบอกชื่อของมันกับคนชุดดำ
“ดาบนี้มีนามว่า... มั่วทิงอวี่!”
สีหน้าของคนชุดดำกลับมาจริงจังอีกครั้ง เขาถึงกับเก็บมือสีดำที่ปักอยู่ภายในร่างของปีศาจต้นไม้กลับเข้าไปในร่างเลยทีเดียว ตอนนี้ ต้นไม้ั์แห้งเหี่ยวจนไม่ต่างไปจากไม้ผุๆ ท่อนหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีชีวิตอยู่
เขามองร่างที่ะโขึ้นสูง พลางยื่นมือทั้งสองข้างออกไป ทั้งมือที่ขาวเนียนราวกับหยกและมือที่แห้งเหี่ยวราวกับโครงกระดูก
เขาพูดเสียงเบาหวิว “ร้อยอสูร!” จู่ๆ ก็มีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่เื้ัเขา มันเป็ฝูงสิ่งชั่วร้ายที่เคยปิดล้อมและโจมตีหลิวต้าหงกับพวกก่อนหน้านี้นั่นเอง ิญญาทั้งหลายยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วส่งเสียงคำรามที่ทั้งน่าสยดสยองและสิ้นหวังออกมาไม่หยุด ราวกับว่าพวกมันถูกขังเอาไว้ในกรงเื้ัชายชุดดำเช่นนั้น
จากนั้น ชายชุดดำจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “จรัสแสง!”
แสงนั้นบริสุทธิ์จนแทบไม่อาจทนมองตรงๆ ได้เลยทีเดียว จากนั้นสิ่งชั่วร้ายที่อยู่เื้ัก็พุ่งเข้าไปในร่างของชายชุดดำ ปานพวกมันถูกแสงสีขาวที่ประกายออกมาหลอมละลายเช่นนั้น
เขายืนอยู่กับที่พร้อมกับแสงที่สว่างไสวราวกับดวงตะวัน
เขายกมือขึ้นไปรับดาบที่ฟันลงมา ตอนนี้ ทั้งมือซ้ายและขวาของเขาล้วนขาวเนียนราวกับหยกทั้งคู่
ในที่สุด ดาบกับมือคู่นั้นก็ปะทะเข้าด้วยกันแล้ว
มันไม่ได้รวดเร็วราวกับสายฟ้าอย่างที่คิดเอาไว้ คนชุดดำ ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าคนชุดขาวแล้ว เขารับดาบนั้นเอาไว้ได้อย่างมั่นคงและง่ายดายเหลือเกิน
เขายักยิ้มมุมปากอย่างโเี้ แล้วกล่าวขึ้น “แม้ดาบของเ้าจะแลดูประหลาดก็จริง แต่น่าเสียดายที่เ้ามันอ่อนแอเกินไป”
ซูฉางอันรู้สึกสลดใจเล็กน้อย เขาคิดขึ้นในใจว่าสุดท้ายตนก็ไม่อาจเทียบชั้นกับมั่วทิงอวี่ได้อยู่ดี หากมั่วทิงอวี่เป็คนเหวี่ยงดาบลงมาล่ะก็ เ้าคนชุดขาวนี่ต้องถูกบั่นหัวแน่
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ยอมแพ้เขารู้สึกว่ายังพอจะมีแรงเหลืออยู่
เส้นเืที่ขมับของซูฉางอันบวมปูดเนื่องจากออกแรงมากเกินไป เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ แล้วส่งแรงทั้งหมดที่มีเข้าไปในดาบนั้น แต่คมดาบก็ยังขยับไปข้างหน้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนชุดขาวยังไม่สะทกสะท้านใดๆ เลย
“ไม่มีประโยชน์หรอก แม้ดาบนี้จะไม่เลว แต่เ้ามันอ่อนแอเกินไป” น้ำเสียงของคนชุดขาวคล้ายเป็การกล่อมเสียมากกว่า
ซูฉางอันรู้สึกเสียใจมาก เดิมเขายังคิดว่าตนจะแก้แค้นให้เพื่อนได้เสียอีก แต่สุดท้ายก็ยังสู้คนชุดขาวไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเหวี่ยงดาบลงบนร่างของคนชุดขาวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ทว่าเพียงไม่นาน ความเสียใจที่มีก็แปรเปลี่ยนไปเป็ความโกรธแทน เขาไม่เคยเกลียดใครมากขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยอยากให้ใครไปตายมากขนาดนี้เลย
ราวจะรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของเขา ของบางอย่างพุ่งเข้าไปในร่างของเขาอีกแล้ว
เ้าสิ่งนี้แตกต่างไปจากสิ่งที่พุ่งเข้ามาในร่างของเขาเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เ้าสิ่งนี้คล้ายกับจอมราชันที่ถูกขุนนางทรยศ มันพุ่งเข้าไปในร่างของซูฉางอันพร้อมกับความเกลียดชังที่มากจนล้นฟ้า ซูฉางอันอยากจะต่อต้านมัน แต่สำหรับพลังนั้นแล้ว พลังต่อต้านของเขาก็ไม่ต่างไปจากตั๊กแตนที่คิดจะหยุดเกวียนที่กำลังวิ่งอยู่เลยสักนิด สุดท้ายแล้ว เ้าสิ่งนั้นก็ยังพุ่งเข้ามาในร่างของเขาได้อย่างตามใจอยู่ดี
ซูฉางอันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกระแทกลงที่กะโหลก จู่ๆ พลังหนึ่งก็กระจายออกมาจากหน้าท้อง แล้วพุ่งไปทั่วร่างของเขาอย่างรววดเร็ว
ดวงตาข้างซ้ายแปรเปลี่ยนไปเป็สีขาวคล้ายหิมะที่เมืองฉางเหมิน ส่วนตาขวาก็มีสีดำสนิท ไม่ต่างไปจากค่ำคืนของเขาโยวหยุนเลย
“นิกคลาซาน” เขาเปล่งเสียงที่มีความหมายไม่แน่ชัดออกมาจากปาก เสียงนั้นถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงที่แตกต่างกันถึงสองเสียง เสียงหนึ่งก็น่าเกรงขาม เคร่งขรึม ส่วนอีกเสียงกลับเย็นะเืไม่ต่างไปจากน้ำแข็ง
คนชุดขาวเบิกตาโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เพียงพริบตาเดียว มันก็เปลี่ยนไปเป็ตกตะลึงเสียแล้ว พลันความรู้สึกที่มีชื่อว่าความกลัวก็ะเิขึ้นกลางใจ จู่ๆ ร่างของเขาก็สั่นเทาขึ้นเสียอย่างนั้น
เขาเข้าใจภาษานั้น
มันเป็ภาษาที่เก่าแก่มากอย่างหนึ่ง เป็คำพิพากษาที่จักรพรรดิมีต่อขุนนางต่ำต้อย เป็เปลวเพลิงแห่งความโกรธที่เทพเ้ามีต่อสิ่งชั่วร้าย
มันไม่ใช่คาถาอะไร และไม่มีพลังใดๆ แฝงอยู่เลยด้วย แต่ในโลกใบนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ความหมายของมัน และคนเ่าั้ก็ต้องเคยเป็เทพเ้าที่ควบคุมโลกทั้งใบมาก่อนแน่
พวกเขาแสดงพลังได้ด้วยเพียงคำพูดเท่านั้น แค่คิด โลกทั้งใบก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามที่พวกเขาปรารถนา มันเป็สิ่งที่อยู่เหนือกว่าพลัง เวทมนตร์ หรือสิ่งใดๆ ในโลกทั้งนั้น
และภาษาโบราณเมื่อครู่แปลว่า... ฏสมควรตาย!
พืชพรรณ ูเา แม่น้ำ ท้องนภา ทุกสิ่งทุกอย่างภายในโลกราวจะได้รับคำสั่งบางอย่าง พวกมันส่งเสียงคำรามอันน่าพิศวงขึ้น พลันของบางอย่างก็ไหลออกมาจากร่างของชายชุดขาว ไม่เพียงแค่พลังกับกำลังภายในเท่านั้น แต่สิ่งที่ไหลออกมายังมีเืเนื้อและกระดูกด้วย
เขาััได้ถึงกลิ่นอายของวันเวลามากขึ้นเรื่อยๆ ชายชุดขาวเริ่มแก่ชราลง ร่างกายของเขาชราลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว ร่างนั้นหดลง ราวเป็ลูกโป่งที่ถูกเจาะรูอย่างไรอย่างนั้น
เพียงไม่นาน เขาก็กลายเป็คนแก่ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดและแห้งเหือดไปเสียแล้ว ใบหน้าของเขาไม่ได้หล่อเหลาอีกต่อไป ดวงตาของเขาบวมโบ๋ออกมาด้านนอก ราวอาจจะหล่นออกมาจากเบ้าเมื่อใดก็ได้ กระดูกหน้าผากก็ตั้งสูงเด่น ปานกำลังจะแทงตัวออกมาจากิัอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้ เขาคล้ายกับโครงกระดูกที่มีหนังบางๆ หุ้มเท่านั้น แต่ก็คล้ายกับศพที่แห้งเหือดจนไม่มีสิ่งใดเหลืออีกแต่เขายังไม่ตาย สีขาวบนชุดคลุมของเขาสลายหายไป แล้วค่อยๆ กลับมาเป็สีดำดังเดิม แสงเจิดจ้าที่ทั้งโดดเด่นและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์เองก็เช่นกัน เขากลายเป็คนชุดดำที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตดังเดิมอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือเขาในตอนนี้ ไม่ได้มีรูปลักษณ์งดงามเหมือนเดิมอีกแล้ว และมือทั้งสองข้างก็กลายเป็โครงกระดูกแห้งเหือดไปจนหมดแล้ว
“อ้าก!!!” เขาร้องคำรามอย่างสุดแรง แขนของเขาไม่อาจรับคมดาบของซูฉางอันได้อีกต่อไป
ดาบของซูฉางอันเหวี่ยงฟันลงไปเบื้องล่าง หั่นครึ่งร่างของคนชุดดำ ราวเป็ผักสดที่ถูกมีดหั่นเท่านั้น แต่ร่างนั้นกลับไม่มีเืเลยแม้แต่หยดเดียว ตอนนี้ร่างกายของเขาแห้งเหือดและไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว
ทว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ เขาหอบหายใจ คล้ายยังออกมาจากความหวาดกลัวเมื่อครู่ไม่ได้เช่นนั้น