ประการแรก จะไปหาศัตรูชาวแคว้นเหลยของหรงชิงมาจากที่ใด? ต่อให้หาพบแล้วต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถเร่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นเฟิงเพื่อลงมือตามแผนการ?เกรงว่าหากส่งคนจากเมืองหลวงไปตามหาถึงแคว้นเหลยก็คงต้องใช้เวลาหกวันแล้วกระมัง?
ยังมีอีก หากมีคนสารภาพว่าเขาเป็คนสั่งการเื่นี้เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จพ่อและไทเฮา เขายังจะมีโอกาสแก้ตัวหรือไม่?
นอกจากนั้นแม้ตอนนี้หรงชิงจะพำนักอยู่ในเมืองหลวง ทว่าความสามารถในการรบราฆ่าฟันศัตรูคงไม่ลดน้อยลงถึงตอนนี้การป้องกันของจวนแม่ทัพจะไม่เข้มงวดนักล้วนมีแต่ข้ารับใช้ในเรือนที่ไร้ความสามารถแต่แค่แม่ทัพหรงเพียงผู้เดียวก็สามารถจัดการโจรกระจอกเ่าั้ได้แน่นอน
ปัญหาแรก... สามารถแก้ไข ไม่จำเป็ต้องไปหาคนมาจากแคว้นเหลยจะเอาจริงเอาจริงถึงขนาดนั้นไปทำไมกัน? ให้คนจำนวนหนึ่งแต่งกายเป็คนของแคว้นเหลยก็เพียงพอแล้วทว่าจะต้องปลอมตัวให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้วทำให้ผู้คนรู้ได้ทันทีที่เห็นว่านี่คือคนแคว้นเหลย ห้ามไม่ให้มีพิรุธแม้แต่น้อย
ปัญหาที่สอง... แท้จริงแล้วก็แก้ไขได้ง่ายดายเช่นกันขอเพียงหาสิ่งที่สามารถสั่งการคนผู้นั้นให้ลงมือให้พวกเขายอมตายแต่ไม่กล้าสารภาพออกมาก็เป็พอแท้จริงแล้วเื่นี้สามารถมอบหมายให้เป็หน้าที่ขององครักษ์เงาองครักษ์เงาเหล่านี้ กระทั่งหมู่โฮ่วกับท่านตาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จะนับประสาอะไรกับไทเฮาหรือเสด็จพ่อ? และหากไทเฮากับเสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรเห็นพวกเขาก็ไม่มีทางรู้ว่าเป็คนของเขาอย่างแน่นอน
ส่วนปัญหาที่สาม... แท้จริงแล้วช่างง่ายดายยิ่งนักขอเพียงกระทำด้วยความระมัดระวังสักหน่อยและไม่ให้แม่ทัพหรงรู้ตัวก็พอจวนแม่ทัพมีอาณาเขตกว้างขวางไม่น้อย หากขณะหรงหว่านซีถูกลักพาตัวไม่ส่งเสียงร้องจะสามารถทำให้ผู้ใดใกัน? จะมีผู้ใดออกมาขัดขวางงั้นหรือ?
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเผยสีพระพักตร์ยินดีฉินอิ่งเยว่จึงรู้ว่าองค์รัชทายาทไม่เพียงแต่ยอมรับแผนการของนางแต่ยังคิดหาวิธีการลงมือเรียบร้อยแล้ว ทว่านางกลับยังแสร้งถาม “เตี้ยนเซี่ย...ความคิดของหม่อมฉันเป็อย่างไรบ้างเพคะ? หากแผนการนี้ไม่ดีขอเตี้ยนเซี่ยอย่าทรงตำหนิหม่อมฉันโปรดทรงอภัยที่หม่อมฉันโง่เขลาด้วยเถิดเพคะ”
“หือ เปิ่นกงจะตำหนิเ้าได้อย่างไรกัน? เ้าตั้งใจช่วยเปิ่นกงคิดแผนการเยี่ยงนี้เปิ่นกงนึกเอ็นดูเ้ายังช้าไปเสียด้วยซ้ำ” องค์รัชทายาทตรัส
ขณะกล่าวตบลงบนบ่านางอย่างเบามือ “เ้าจงว่านอนสอนง่ายเปิ่นกงจะไปจัดการเื่นี้”
“หม่อมฉันส่งเสด็จเตี้ยนเซี่ยเพคะ... เตี้ยนเซี่ยคืนนี้...ท่าน...จะยังเสด็จมาหรือไม่เพคะ?” ฉินอิ่งเยว่เอ่ยถามอย่างขัดเขิน
“วันนี้ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเื่นี้จะจัดการเป็อย่างไรบ้างเ้าพักผ่อนไปก่อนเถิด ไม่จำเป็ต้องรอเปิ่นกง” องค์รัชทายาทตรัส
“เพคะ... เตี้ยนเซี่ยทรงอย่าได้เหน็ดเหนื่อยจนดึกดื่นนักนะเพคะโปรดรักษาสุขภาพไว้เป็หลัก” น้ำเสียงและสีหน้าของฉินอิ่งเยว่แลดูผิดหวังยิ่งนัก
แต่หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จออกจากเรือน ฉินอิ่งเยว่ค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น บนใบหน้าไร้ซึ่งความผิดหวังแม้เพียงเศษเสี้ยว
หลังออกจากจวนองค์รัชทายาทองค์รัชทายาทจึงมุ่งหน้าไปยังจวนฉางเล่อโหว[1]
แต่ไม่เสด็จเข้าไปทางประตูหน้า กลับเสด็จเข้าไปทางประตูหลังจวนจากนั้นตรงไปยังเรือนพำนักของท่านโหวน้อยซงซวี่ผู้เป็รัฐทายาท[2] ของจวนฉางเล่อโหวหากเข้ามาทางประตูหลักคนทั้งจวนจะต้องออกมาต้อนรับเขาไม่อยากทำให้เป็เื่เอิกเกริกถึงเพียงนั้นเพราะหากภายหลังมีคนนึกขึ้นได้จะไม่เป็การดี
รัฐทายาทของฉางเล่อโหวผู้นี้ แม้จะอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีปีนี้พึ่งจะอายุยี่สิบ ทว่าพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างก่อนหน้านี้ติดตามหรงชิงและหลิงอ๋องไปอารักษ์ชายแดนเป็เวลาสองปี นับถือหรงชิงเป็‘อาจารย์’ มาโดยตลอด เป็ผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหรงชิงมากที่สุดเขาเดินทางกลับราชสำนักในเวลาเดียวกันกับหรงชิง หลังกลับมายังราชสำนักหรงชิงมักเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในจวน ทำให้ห่างเหินกันเล็กน้อย
ทว่ามีความชอบที่ถูกคอกับเขาจึงไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งทั้งยังเคยโน้มน้าวหรงชิงเพราะอยากให้หรงชิงยอมรับการหมั้นหมายทว่าตาแก่หรงชิงกลับไม่ยอมรับฟัง
ซงซวี่สูงเจ็ดฉื่อ[3] มีบุคลิกคล้ายกับบัณฑิตรูปงามยิ่งนักความสามารถทางด้านวรรณกรรมไม่เลว นอกจากนั้นยังชอบร่ำเรียนกระบวนท่าวิชากระบี่ด้วยเหตุนี้จึงเป็ที่ชอบพอของสตรีในเมืองหลวงจำนวนไม่น้อย
พบซงซวี่กำลังฝึกกระบี่อยู่ใต้ต้นหลิวภายในลานตวัดกระบี่จนใบต้นหลิวปลิวละล่อง องค์รัชทายาทแย้มสรวลพลางปรบพระหัตถ์ “ดี! ดีมาก!วิชากระบี่ของคุณชายช่างล้ำเลิศจริงๆ!”
เมื่อได้ยินเสียงขององค์รัชทายาท ซงซวี่รีบโยนกระบี่ในมือทิ้งวิ่งตามทางมายังหน้าประตูแล้วค้อมคำนับ “ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทเสด็จมาจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้รับเสด็จ... ข้ารับใช้ของข้าน้อยมัวทำอะไรอยู่ไม่รู้จักมาเรียนให้ทราบสักนิด! เป็เหตุให้หมางเมินต่อไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยอีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะลงโทษพวกเขาให้หนักพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไอหยาคุณชายไม่จำเป็ต้องมากพิธี” องค์รัชทายาทตรัส “เปิ่นกงไม่ให้พวกเขามาบอกเ้าเองคุณชายรีบลุกขึ้นเถิด”
ซงซวี่ลุกขึ้น “ในเมื่อเป็พระประสงค์ของไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยข้าน้อยก็จะปล่อยพวกเขาไป เตี้ยนเซี่ยทรงมีพระเมตตายิ่งนักข้าน้อยละอายใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทแย้มสรวลและทอดพระเนตรมองผู้คนรอบข้างซงซวี่เห็นเช่นนี้จึงเข้าใจในทันที เขารีบไล่ข้ารับใช้ที่ถือถาดน้ำชาและถาดผลไม้ออกไปจนหมด
ภายในลานเงียบสงบ ซงซวี่จึงเชิญองค์รัชทายาทเข้าไปในห้อง
องค์รัชทายาทรู้เื่นี้ไม่อาจปกปิดหากมัวแต่ปกปิดจนพูดจาเยิ่นเย้อวกไปวนมาคงไม่ได้ฟังเื่ที่มีประโยชน์อะไรด้วยเหตุนี้ทันทีที่นั่งลงจึงเอ่ยถึงเื่ชายแดน
แต่ก็ไม่อาจพูดโจ่งแจ้งออกไป และไม่มีทางบอกออกไปตามตรงว่า‘เปิ่นกง้าให้คนปลอมตัวเป็โจรแคว้นเหลยเพื่อไปปล้นคุณหนูหรง’
“เปิ่นกงอ่านหนังสืออยู่ในจวน จู่ๆอ่านเจอเื่เกี่ยวกับแคว้นเหลยแล้วเกิดความสนใจ จึงมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับเ้า”
เมื่อได้ยินองค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้แน่นอนว่าซงซวี่ย่อมต้องพูดทุกอย่างที่รู้ ไม่ว่าองค์รัชทายาทตรัสถามสิ่งใดเขาล้วนแต่ตอบคำถามอย่างน้ำไหลไฟดับ
ครั้นสนทนากันจนหนึ่งชั่วยามองค์รัชทายาทจึงพอเข้าใจถึงเอกลักษณ์ของชาวแคว้นเหลยและเื่ราวที่เกิดขึ้นในหลายปีนั้นตอนแม่ทัพหรงประจำการอยู่ชายแดน
แท้จริงแล้วชาวแคว้นเหลยก็ไม่ได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอะไรนักสรุปได้เพียงคำเดียวว่า — บึกบึนบุรุษแคว้นเหลยมีรูปร่างกำยำมากกว่าคนทั่วไปในแคว้นเฟิงเล็กน้อยเื่อื่นไม่แตกต่างเท่าใดนัก
รูปแบบการแต่งกายไม่แตกต่างจากแคว้นเฟิงเท่าใดเพียงแต่ประเพณีนิยมปลูกฝังให้มีความแข็งแกร่งกล้าหาญดังนั้นต่อให้เป็ตระกูลมั่งคั่งสักหน่อยก็ไม่ชอบสวมอาภรณ์เนื้อดีเพราะเดินเหินไม่สะดวกเพราะฉะนั้นผู้คนทั่วไปต่างชอบสวมผ้าป่านเนื้อหยาบในบางครั้งแม้แต่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลยยังสวมผ้าป่านเนื้อหยาบเหมือนประชาชนทั่วไปยามเสด็จประพาส
จากคำกล่าวของซงซวี่เขาได้รับรู้เื่ที่มีประโยชน์มากที่สุดเื่หนึ่งคือคดีหนึ่งที่แม่ทัพหรงสะสางก่อนจะเดินทางกลับราชสำนักในปีนั้นหรงหว่านซีกับหลิงอ๋องร่วมมือกันวางแผนและสามารถจับกุมตัวการใหญ่ของเครือข่ายค้ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดของชายแดนแคว้นเหลยจำนวนหนึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถพังทลายเครือข่ายนี้ได้สำเร็จ
เหตุผลที่เครือข่ายนั้นสามารถก่อคดีตามหัวเมืองชายแดนแคว้นเฟิงโดยไม่ถูกค้นพบเพราะพวกเขาใช้เครื่องหอมชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “จุ้ยเมิ่งฉาง[4]”กล่าวกันว่าเครื่องหอมนี้สามารถส่งกลิ่นได้ไกลและมีฤทธิ์เป็เวลานานผู้ที่สูดดมเครื่องหอมนี้จะหลับสนิทอยู่ในห้วงความฝันต่อให้มีคนมาตีกลองข้างหูก็ไม่รู้สึกตัว
องค์รัชทายาทนำเื่ทั้งสองมาปะติดปะต่อกันแน่นอนว่าหากมีแค่สองเื่นี้ แผนการคงยังไม่สมบูรณ์แบบนักแต่ถ้ารวมเื่เครื่องหอม “จุ้ยเมิ่งฉาง” เข้าไปก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องสำเร็จและสามารถทำให้ตนพ้นจากผู้ต้องสงสัยเื่นี้
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเครื่องหอม ‘จุ้ยเมิ่งฉาง’นี้มีวิธีการทำอย่างไร? มีชื่อที่ดีถึงเพียงนี้คาดว่ากลิ่นคงต้องหอมรัญจวนยิ่งนัก” องค์รัชทายาทตรัส
[1]โหวคือชื่อบรรดาศักดิ์ขุนนาง เรียงจากสูงไปต่ำคือ อ๋อง กง โหวปั๋ว จื่อ หนาน
[2] รัฐทายาทหมายถึงบุตรชายผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา
[3]เจ็ดฉื่อ ประมาณ160-175 เิเ
[4]จุ้ยเมิ่งฉาง แปลว่าเมามายในห้วงนิทราอันยาวนาน