่สองสามวันนี้ จางเจิ้นอันจะออกไปหาปลาในตอนเช้า พอบ่ายคล้อยกลับมาถึงบ้านก็จะมาดูแลที่ดินผืนนี้ เขาลงแรงต่อเนื่องอยู่สองสามวันเต็ม ในที่สุดก็ผ่านการตรวจสอบของอันซิ่วเอ๋อร์มาได้อย่างทุลักทุเล พอทุบก้อนดินก้อนสุดท้ายจนละเอียด จางเจิ้นอันก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้หน้างานนั้นง่าย แต่เวลาลงมือทำกลับยาก ที่ดินรกร้างผืนนี้บุกเบิกได้ไม่ง่ายดายอย่างที่คิดจริงๆ
เมื่ออันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าพรวนดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าไปหาคราดสี่ซี่มาจากที่ใด นางให้เขาใช้คราดนั้นคราดดินให้ทั่วทั้งแปลง เพื่อกำจัดเศษหญ้าใบไม้ และเก็บก้อนหินน้อยใหญ่ออกไปทิ้ง ซึ่งก็กินเวลาไปอีกครึ่งค่อนวัน
หลังจากนั้นจึงนำขี้เถ้ามาโรยให้ทั่ว แล้วตามด้วยการใส่ปุ๋ยอีกเล็กน้อย ในที่สุดแปลงผักนี้ก็ถือว่าจัดเตรียมเสร็จสมบูรณ์ ่เวลาที่ฝนตกพรำๆ ติดต่อกันนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว อากาศในวันนี้เริ่มมีแดดออกบ้างแล้ว กลางคืนก็มีแสงจันทร์ ดูท่าว่าพรุ่งนี้คงจะเป็วันที่อากาศแจ่มใส
“พรุ่งนี้พวกเราขึ้นเขาไปตัดไผ่มาทำรั้วดีไหมเ้าคะ?” ก่อนนอนในตอนค่ำ อันซิ่วเอ๋อร์กอดจางเจิ้นอันไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงหวานใส
“ได้สิ” จางเจิ้นอันพยักหน้ารับคำ แต่แล้วพลันพลิกร่างกดนางลงใต้ร่าง ก้มลงกระซิบข้างใบหูของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “แต่ว่า... คืนนี้ข้ายังอยากจะพรวนดินต่ออีกสักหน่อย”
“ท่านนี่ร้ายจริงๆ!” อันซิ่วเอ๋อร์ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาเป็อย่างดี นางเอื้อมมือทุบลงไปบนแผงอกเขาเบาๆ แต่สำหรับจางเจิ้นอันแล้ว แรงทุบนั้นราวกับหยาดฝนพรำ ไม่ได้สร้างแรงกดดันอันใดให้เขาสักนิด มีแต่จะยิ่งทำให้ทั่วร่างของเขารู้สึกซาบซ่านและร้อนผ่าวขึ้นไปอีก
จางเจิ้นอันเอื้อมมือไปรวบมือนางไว้บนแผงอกตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เ้าจะยอมหรือไม่? ข้าอดทนมาตั้งหลายวันแล้วนะ”
อันซิ่วเอ๋อร์ฟังแล้วอดที่จะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้กำลังออดอ้อนนางอยู่หรือนี่? ก็จริงอยู่ นับั้แ่ครั้งล่าสุดนั้น นางยังคงหวาดหวั่นไม่หาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัวอีก แต่พอนึกถึงความเหนื่อยยากที่เขาลงแรงบุกเบิกแปลงผักตลอดหลายวันที่ผ่านมา ใจของอันซิ่วเอ๋อร์ก็พลันอ่อนยวบลง นางจึงกล่าวว่า “ก็ได้เ้าค่ะ ถือว่าเป็รางวัลให้ท่านก็แล้วกัน แต่ว่าท่านต้อง... เบาๆ นะ...”
นางยังกล่าวไม่ทันจบประโยคดี ริมฝีปากอิ่มก็ถูกเขาบดเบียดถลำลึกเข้ามาเสียแล้ว คำพูดที่เหลือจึงถูกกลืนหายไปในลำคอ เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงหอบหายใจแ่เบา
เตียงไม้เก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ค่ำคืนนี้ ย่อมเป็อีกราตรีที่ลมสารทและหยาดน้ำค้างหยกได้พานพบ ชนะเลิศกว่าความสุขอื่นใดในโลกหล้า
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่ออันซิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็ยามที่ตะวันขึ้นสูงโด่งแล้ว นางค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง นั่งเอนหลังพิงผนังอย่างเกียจคร้าน เมื่อคืนเขาช่างรุนแรงเหลือเกิน นางรู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังและเอวของตนแทบจะยืดตรงไม่ได้เสียแล้ว
จางเจิ้นอันเดินเข้ามา ในมือถือชามโจ๊กเข้ามาให้นาง กล่าวว่า “มา กินเสียหน่อยเถิด”
“ไม่อยากกินเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า มองเขาด้วยแววตาตัดพ้ออยู่บ้าง
จางเจิ้นอันยกมือลูบปลายจมูกตนเอง เมื่อคืนเขาออกจะตามใจตนเองมากไปหน่อย ก็ช่วยไม่ได้ รสชาติของนางช่างหอมหวานยอดเยี่ยมเหลือเกิน ทำให้เขาเสพติดจนไม่อาจถอนตัว ทั้งยังอดทนอดกลั้นมาแล้วหลายวัน จึงไม่สนใจเสียงอ้อนวอนของนางหลายต่อหลายครั้ง ทำได้เพียงปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสัญชาตญาณ รังแกนางอยู่หลายรอบหลายครา คาดไม่ถึงเลยว่า ผลสุดท้ายกลับทำให้ภรรยาผู้น่าทะนุถนอมของตนต้องเหนื่อยล้าไปเสียได้
“ข้าป้อนเ้าเอง” เขาเดินมานั่งลงข้างเตียง กล่าวว่า “ข้าตั้งใจทำโจ๊กเนื้อปลาให้เ้าเป็พิเศษเลยนะ ใช้เวลาไปไม่น้อยทีเดียว”
“เช่นนั้นก็ได้เ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปล้างหน้าบ้วนปากก่อน” อันซิ่วเอ๋อร์พอได้กลิ่นหอมของโจ๊ก ก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว นางโบกมือไล่ให้เขาถอยไป ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น ทว่าตอนก้าวลงจากเตียง ขาของนางกลับอ่อนแรงไปชั่วขณะ ยังดีที่จางเจิ้นอันมีสายตาและปฏิกิริยาว่องไว รีบเข้ามาประคองนางไว้ได้ทัน จึงไม่ทำให้นางต้องล้มลงไปกองกับพื้น
อันซิ่วเอ๋อร์เหลือบมองเขาอย่างตัดพ้อ สายตาคู่นั้นราวกับกำลังร้องทุกข์ จางเจิ้นอันจำต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ขืนนางยังมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ต่อไป เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะยังอดทนอดกลั้นไหวหรือไม่ ต้องรู้ไว้ด้วยว่าบุรุษในยามเช้าตรู่นั้น... มักจะเปี่ยมไปด้วยพลังวังชาเสมอ
เมื่อเห็นนางเดินช้าๆ อย่างยากลำบากทีละก้าว จางเจิ้นอันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา ยื่นแขนออกไป กล่าวว่า “ข้าอุ้มเ้าไปส่งเอง”
“ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะ...” นางยังกล่าวไม่ทันจบ ร่างทั้งร่างก็ถูกจางเจิ้นอันอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขนด้วยท่าเ้าสาวเสียแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำได้เพียงรีบยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอของเขาไว้ ทว่าในใจกลับรู้สึกหวานล้ำราวกับเคลือบด้วยน้ำผึ้ง นางจึงถือโอกาสซบศีรษะลงกับแผงอกกว้างของเขาเสียเลย
เพียงระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ก้าว ก็มาถึงยังจุดหมาย จางเจิ้นอันใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้นางนั่งลง ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์กลับยังคงอาลัยอ้อมกอดอันอบอุ่นของจางเจิ้นอัน ไม่ยอมลงจากอ้อมแขนเขาแต่โดยดี ในความทรงจำของนาง นานมากแล้วที่ท่านพ่อเคยอุ้มนางเช่นนี้
“นั่งลงดีๆ เถิด” จางเจิ้นอันก้มตัวลงเพื่อวางนางนั่งบนเก้าอี้ ทว่านางกลับยังคงใช้แขนคล้องคอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งยังส่งสายตาหวานเยิ้มราวกับเส้นไหมมาให้ ชวนให้หัวใจของเขาเต้นระส่ำคันยุบยิบ
เขาก้มหน้าลงจุมพิตชิมรสริมฝีปากของนางอีกครั้ง จูบจนนางอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นางจึงค่อยผลักเขาออก แล้วยอมนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี
จางเจิ้นอันเห็นนางนั่งนิ่งไม่ขยับ ก็ทำได้เพียงหยิบถ้วยน้ำมาให้ ตักผงยาขัดฟันในแปรงสีฟันแล้วยื่นส่งให้นาง นางรับมาขัดฟันขาวสะอาดของตนเบาๆ เขานึกขึ้นได้ว่าอากาศค่อนข้างเย็น ก่อนหน้านี้จึงใช้ไฟที่เหลือจากการหุงโจ๊กเมื่อเช้าอุ่นน้ำร้อนเตรียมไว้ให้นาง ตอนนี้น้ำคงจะอุ่นกำลังพอดีแล้ว
“เสร็จหรือยัง ข้าเตรียมน้ำไว้ให้เ้าแล้ว วางอยู่บนชั้นวาง” จางเจิ้นอันเอ่ยเรียกจากอีกด้าน
“ข้าไม่อยากลุก ท่านยกมาให้ข้าหน่อยสิเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ก็ได้ๆ” เขารู้สึกว่าตนเองเป็บุรุษอกสามศอกแท้ๆ แต่กลับต้องมาคอยทำงานรับใช้เล็กๆ น้อยๆ เช่น การยกน้ำรินชาเช่นนี้ แต่ก็น่าแปลกที่พอเป็การปรนนิบัติรับใช้ภรรยาผู้น่าเอ็นดูของตนผู้นี้ เขากลับรู้สึกเต็มใจเป็อย่างยิ่ง โอ๊ย นี่มันอาการป่วยแบบไหนกัน? เป็เพราะเขาหลงใหลในร่างกายของนาง หรือเพราะเขาเริ่มชอบนางเข้าแล้วกันแน่? ช่างมันเถอะ! อย่างไรเสียนับแต่นี้ไปนางก็คือภรรยาของเขาแล้ว
“ท่านช่วยล้างหน้าให้ข้าด้วยสิเ้าคะ” เมื่อเขายกอ่างน้ำมาให้ นางก็เงยหน้าขึ้น กล่าวออกมาอย่างที่เรียกได้ว่าชักจะเหลิงได้ใจไปหน่อยแล้ว
พอได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังของนาง จางเจิ้นอันก็ไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธได้เลย เขาจึงก้มหน้าลงบิดผ้าขนหนูผืนเล็ก แล้วบรรจงเช็ดหน้าให้นางอย่างเบามือ ทั้งๆ ที่เป็เพียงการล้างหน้าอันแสนธรรมดา เขากลับรู้สึกว่ามือไม้ของตนสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง จนต้องหลับตาลงไม่กล้าแม้แต่จะมองตรงๆ ทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไปพลางรีบๆ เช็ดหน้าให้นางจนเสร็จ
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็อดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้ คิกๆ นางเห็นนะว่าใบหูของเขาเริ่มแดงก่ำแล้ว ดูท่า เขาก็ไม่ใช่คนเ็าไร้หัวใจอย่างที่คิดเสียหน่อย
“เ้าหัวเราะอันใดรึ?” จางเจิ้นอันหันหน้ากลับมาถาม เมื่อเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เพิ่งล้างเสร็จของนาง ขาวอมชมพูระเรื่อ ช่างน่ามองยิ่งนัก
“ข้าอารมณ์ดีนี่เ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงหัวเราะคิกคัก รอจนกระทั่งเขาเก็บอ่างล้างหน้ากลับไปแล้ว นางจึงเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหูเขาแ่เบา “ท่านพ่อ...”
“เมื่อครู่เ้าเรียกข้าว่ากระไรนะ?” จางเจิ้นอันได้ยินดังนั้นก็ใเป็อันมาก
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ” อันซิ่วเอ๋อร์แกล้งเรียกซ้ำอีก
ใบหน้าของจางเจิ้นอันพลันดำคล้ำลงทันที เขากระซิบเสียงเข้ม “ต้องเรียกว่าท่านพี่!”
“คิกๆ ก็มีเพียงท่านพ่อของข้าเท่านั้นที่เคยตามใจข้าถึงเพียงนี้ ประกอบกับท่านก็อายุมากกว่าข้า ข้าเรียกท่านว่าท่านพ่อ ท่านก็ไม่เสียเปรียบอันใดนี่เ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก
“ข้าดูแก่ถึงเพียงนั้นเชียวรึ?” จางเจิ้นอันเม้มริมฝีปาก คิดคำนวณอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าจะอายุห่างกันจริงๆ เสียด้วย แต่ไม่สิ เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ต่อให้บุรุษที่บรรลุนิติภาวะแล้วแต่งงานั้แ่อายุสิบแปด ก็ยังไม่อาจมีบุตรสาวที่โตเท่านางได้อยู่ดี
“ไม่แก่เลยสักนิดเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ข้าไปกินโจ๊กก่อนนะเ้าคะ เดี๋ยวจะเย็นชืดหมดเสียก่อน”
เมื่อได้พักผ่อนครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงกลับคืนมาบ้างแล้ว จางเจิ้นอันยกชามโจ๊กตามนางออกมาจากห้องนอนมายังโถงกลางบ้าน มองดูนางค่อยๆ ตักโจ๊กเข้าปากทีละคำจนหมดชาม จึงเอ่ยถาม “จะกินเพิ่มอีกหน่อยหรือไม่?”
“อิ่มแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์วางชามลง กล่าวว่า “นี่ก็สายมากแล้ว วันนี้พวกเรายังต้องขึ้นเขาไปตัดไผ่นี่เ้าคะ”
“ข้าขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องสักครู่ ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วเ้าค่ะ” ขณะที่กล่าวนางก็เดินเข้าห้องไป เพียงครู่เดียวก็เดินกลับออกมา นางรวบผมยาวขึ้นเป็มวยเรียบร้อยอยู่ด้านหลังศีรษะ บนร่างสวมใส่เสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน
“เหตุใดจึงแต่งกายเช่นนี้?” จางเจิ้นอันเห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดเช่นนั้น ก็อดรู้สึกสงสารและปวดใจขึ้นมาไม่ได้ คาดไม่ถึงเลยว่านางจะมีเสื้อผ้าที่เก่าขาดถึงเพียงนี้
อันซิ่วเอ๋อร์ถูกสายตาของเขามองจนรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง นางหลบสายตาเขาวูบหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกล่าวตอบอย่างไม่ถือสา “ก็เราจะขึ้นเขากันนี่เ้าคะ เดี๋ยวเสื้อผ้าดีๆ จะโดนกิ่งไม้เกี่ยวขาดเอาได้”
“ไม่เป็ไร ต่อไปไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว หากมันขาด พวกเราก็แค่ซื้อชุดใหม่ก็สิ้นเื่” จางเจิ้นอันกล่าว
“เช่นนั้นไว้คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่นะเ้าคะ ครั้งนี้ข้าเองก็เปลี่ยนมาแล้ว เอาเช่นนี้ไปก่อนแล้วกันนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจนัก พลางจะเอื้อมมือไปรับจอบจากมือเขา ทว่าเขากลับพลิกมือเปลี่ยนข้างถือจอบไปไว้อีกด้าน แล้วใช้มือข้างที่ว่างนั้นจูงมือนางแทน
ใบหน้าของอันซิ่วเอ๋อร์พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ทั้งสองเดินออกจากประตูไป คนหนึ่งสะพายตะกร้าสาน ที่เอวเหน็บมีดพร้า มือถือจอบ ส่วนอีกคนกลับเดินอิงแอบอยู่ข้างกายเขาด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
ระหว่างทาง เมื่อชาวบ้านคนอื่นๆ เห็นเข้า ต่างก็เอ่ยทักทายอันซิ่วเอ๋อร์กันเสียงดัง “ซิ่วเอ๋อร์ เ้ากับสามีจะไปไหนกันรึหรือ?”
“พวกเราจะขึ้นเขาไปตัดไผ่สักหน่อยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ
“แหม คุณชายจางนี่ช่างไม่รู้จักถนอมบุปผางามเอาเสียเลยนะ มีภรรยางดงามปานนี้ แทนที่จะเลี้ยงดูให้อยู่ดีกินดีที่บ้าน ยังจะใจดำพานางขึ้นเขาไปลำบากอีกรึ?” สตรีบางคนที่กล้าหน่อย เห็นอันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มแย้ม ก็เริ่มเอ่ยล้อเลียนจางเจิ้นอันอย่างไม่เกรงกลัว
“ที่ไหนกันเ้าคะ ท่านพี่ของข้าต่างหากที่ไม่ยอมให้ข้าออกมาง่ายๆ ข้าอยู่ที่บ้านมีแต่จะอุดอู้เบื่อหน่าย จึงได้รบเร้าขอตามเขาขึ้นมาเดินเล่นบนเขาสักหน่อยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รู้ดีว่าจางเจิ้นอันไม่ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้า จึงเป็ฝ่ายเอ่ยตอบแทนเขาทั้งหมด
“เช่นนั้นซิ่วเอ๋อร์ก็ช่างมีวาสนาจริงๆ” น้ำเสียงของเหล่าสตรีเริ่มเจอประชดประชัน พวกนางคิดในใจว่า แต่งงานกับคนแบบนี้แล้วยังยิ้มหวานได้ขนาดนี้ ต้องเป็พวกเสแสร้งแกล้งยิ้มเป็แน่ พอลับหลังผู้คนแล้ว ใครจะรู้ว่าเ้าจางตาบอดนั่นจะทุบตีนางอย่างไรบ้าง
พออันซิ่วเอ๋อร์กับจางเจิ้นอันเดินคล้อยหลังไปแล้ว เหล่าสตรีกลุ่มนั้นก็เริ่มจับกลุ่มซุบซิบนินทากันทันที กล่าวว่า “เ้าจางตาบอดนั่นมันโชคดีจริงๆ นะ ได้สาวงามอย่างซิ่วเอ๋อร์มาเป็ภรรยา”
“ก็เขามีเงินนี่นา จ่ายสินสอดทีเดียวตั้งหกตำลึง ในหมู่บ้านเราจะมีใครจ่ายไหวกัน?”
“ใช่ๆ เห็นปกติบ้านตระกูลอันทำท่ารักถนอมลูกสาวนัก ที่แท้ก็เป็แค่พวกหน้าเงินขายลูกสาวกินนั่นเอง”
“คนอย่างเ้าจางตาบอดนั่น ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีมีเมตตา นี่คงเพราะเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ถึงได้ทำดีกับนาง รอให้ผ่านไปสักพักสิ ไม่แน่ว่าอาจจะโหดร้ายยิ่งกว่าตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อนั่นเสียอีก”
ตาเฒ่าหลี่คนนั้นอีกแล้ว!
สามีของข้าทั้งหน้าตาดี ทั้งยังรู้จักรักใคร่ถนอมคน ดีกว่าตาเฒ่าหลี่หน้าโหดนั่นเป็ร้อยเท่าพันเท่า!
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของเหล่าสตรี ก็รู้สึกโกรธจนเจ็บแปลบในอก นางจึงกระซิบกับจางเจิ้นอันเสียงแ่เบา “คนพวกนี้น่าชังนัก ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่นลับหลังอยู่เรื่อย”
“อย่าไปใส่ใจพวกนางเลย” จางเจิ้นอันกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ข้าน่ะไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ แต่ข้าโกรธที่พวกนางพูดจาว่าร้ายท่าน ท่านไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย แต่คนพวกนี้กลับเอาแต่เรียกท่านลับหลังว่าจางตาบอด นี่มันไม่เท่ากับแช่งท่านหรอกหรือเ้าคะ น่าชังจริงๆ!” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
จางเจิ้นอันคาดไม่ถึงว่าที่นางโกรธถึงเพียงนี้เป็เพราะ้าปกป้องเขา ในใจพลันรู้สึกอ่อนยวบลงอย่างประหลาด เขาจึงเอื้อมมือไปกุมมือนางไว้แน่น กล่าวว่า “ต่อไปก็อย่าไปใส่ใจพวกนางอีกเลย พวกนางอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดไป ปากของพวกนางเอง อย่างไรข้าก็ไม่ได้เสียหายตรงไหนสักหน่อย!”
