ประวัติการทำงานของโจวเฉิงทำคนริษยา
ปัจจุบันได้เข้าสู่่สังคมสงบสุขมาตรฐานการเลื่อนขั้นด้านการงานเริ่มเข้มงวด โจวเฉิงโชคดียิ่งนัก อายุ 15 ปีมีสมรรถภาพตรงตามเงื่อนไขจึงสามารถทำงานล่วงหน้าได้เมื่อก่อนยกระดับเป็แนวหน้าจากผลงาน ปีกลายโจวเฉิงอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ก็ได้เลื่อนตำแหน่ง โยกย้ายมาปักกิ่งและเลื่อนขั้นขึ้นเรื่อยๆคนส่วนใหญ่ล้วนยอมรับความสามารถของเขาด้วยใจจริงแต่มีคนส่วนน้อยมากที่ริษยาอยู่ลึกๆ พูดจาจึงลับลมคมในพิกล
โจวเฉิงกลับเข้าหน่วยเพื่อเปลี่ยนชุดเครื่องแบบบุคลิกเฉื่อยชาดื้อด้านสลายหมดสิ้น เมื่อสวมเสื้อผ้าชุดนี้ เขาจึงกลายเป็ ‘มัจจุราชโจว’ ที่กล้าสู้กล้าชน
สายตาเ็าของเขากวาดอีกฝ่ายแวบเดียว ไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่น้อยทว่าข่มขวัญคนให้รู้สึกพิลึกพิลั่นได้
อีกฝ่ายใจกระตุก ต้องโทษที่ครั้งนี้เวลาพักงานของโจวเฉิงนานเกินไปเขาแทบลืมเลือนแล้วว่ามัจจุราชโจวน่ากลัวเพียงใด
“เหล่าฟาง คุณหนีอะไร ผมไม่กดขี่ใครเสียหน่อย”
มุมปากโจวเฉิงเจือไปด้วยรอยยิ้ม เหล่าฟางยิ่งรู้สึกว่าเขาน่ากลัวยิ่งนักที่จริงแล้วโจวเฉิงและเหล่าฟางทำงานอยู่ในระดับเดียวกัน ทว่าเหล่าฟางไม่รู้ทำไมตนเองถึงหวาดกลัวโจวเฉิงเขาอายุมากกว่าโจวเฉิงสิบปีแท้ๆ มีความาุโมากกว่าโจวเฉิง ใช่แล้วเขาเกลียดโจวเฉิงก็เพราะเหตุนี้ ทั้งที่เขาอายุมากกว่าโจวเฉิง 10 ปี แต่ทำไมความดีความชอบที่โจวเฉิงได้รับนั้นกลับมากกว่าเขาผู้มาทีหลังก้าวหน้ากว่า หากเทียบเทียมกับเขาแล้ว?
หมายความว่าโจวเฉิงที่อายุ 20 ปีเทียบเทียมเขาได้แล้วน่ะสิเหล่าฟางขุ่นเคืองจนแทบทนไม่ได้
ทุกวันนี้หลายพื้นที่กำลังสนับสนุนการเลื่อนขั้นเ้าพนักงานรัฐรุ่นเยาว์แม้โจวเฉิงกับเขาจะผ่านประสบการณ์ทำงานมาด้วยกันแต่เมื่อถึงเวลาเกษียณอายุต้องเป็โจวเฉิงที่มีตำแหน่งสูงกว่าแน่นอน
ล้ำหน้ากว่าเหล่าฟาง 10 ปี ให้เกลียดกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!
เหล่าฟางเพิ่มขวัญกำลังใจให้ตนเอง สอพลอเสียหน่อย
“ตาข้างไหนของนายที่เห็นว่าฉันหนี? โจวเฉิงนายเก่งกาจจริงนะ”
โทษทางวินัยที่ตัดสินแล้วยังสามารถยกเลิกได้ เหล่าฟางเพียงแค่ไม่ยอมรับโจวเฉิงที่ได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษทว่าโจวเฉิงไม่สนใจเขาสักนิด สำหรับโจวเฉิง เดิมทีโทษทางวินัยนั้นไร้ต้นสายปลายเหตุอีกทั้งผู้บังคับบัญชาเบื้องบนอุ้มชูโจวเฉิงมากกลัวโทษทางวินัยจะทิ้งรอยด่างพร้อยไว้กับประวัติงานของโจวเฉิง ต่อมาจึงได้ประชุมพิจารณาอีกครั้ง ทำให้ ‘โทษ’ ของโจวเฉิงถูกยกเลิก
เปลี่ยนเป็การตักเตือนอบรม ไม่บันทึกลงประวัติการทำงาน
เหล่าฟางเป็แค่คนขลาด โจวเฉิงคร้านจะถกเถียงกับเขา จึงก้าวขาเดินจากไป
เหล่าฟางยังคงรู้สึกประหลาดใจ เขานินทากับผู้อื่นเป็การส่วนตัวมัจจุราชโจวเฉิงนั่นกลับมาจาก ‘พักงาน’ เหมือนสภาวะอารมณ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง?
“เขาต้องวางแผนร้ายอะไรอยู่แน่!”
โจวเฉิงอารมณ์ดีขึ้น แต่เหล่าฟางไม่กล้ายุแหย่เขา ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นมัจจุราชโจวยิ้มแย้มเป็ครั้งคราวยิ่งหวาดกลัวเหลือเกินเกิดเื่แปลกประหลาดเช่นนี้จะต้องมีเื่ไม่ชอบมาพากลแน่ ใครจะรู้บางทีมัจจุราชโจวอาจกำลังกลั้นโทสะจัดการพวกเขาอยู่หรือเปล่า
ทว่าผู้บังคับบัญชากลับพอใจไม่น้อย โจวเฉิงพิจารณาความผิดตนได้ไม่เลวกลายเป็คนสุขุมมากขึ้น
ความจริงน่ะหรือ?
เขาแค่ตกอยู่ในห้วงของความรัก...
โจวเฉิงที่อายุ 20 ปีไม่เคยมีคนรักใครไม่รู้บ้างว่าในสายตาของเขาบุรุษสตรีล้วนเหมือนกันทั้งหมด
และใครจะคิดว่าโจวเฉิงจะสามารถหาคนรักได้ด้วยตนเองการคาดการณ์ของทุกคนคือเขาจะเหมือนกับผู้อาภัพในการหาภรรยาเ่าั้ที่ยืดเยื้อจนอายุเกือบ 30 ถึงโดนกดดันให้ดูตัวแต่งงาน ผลปรากฏโจวเฉิงพานพบกับเซี่ยเสี่ยวหลานระหว่างการพักงาน
ก่อนรายงานตัวกลับทั้งสองคนเพิ่งตกลงคบหาดูใจกันอีกด้วยบุรุษผู้เพลิดเพลินในห้วงรักนั้นเต็มไปด้วยความสดชื่นเบิกบานคนนอกจึงรู้สึกว่านิสัยของโจวเฉิงโอนอ่อนขึ้นบ้างแล้ว
พอคิดถึงเซี่ยเสี่ยวหลานโจวเฉิงก็มีความ้าบางอย่างที่อยากจะกุมอกยกยิ้มอย่างโง่เง่าภรรยาของเขาดีไปเสียหมด ไม่ว่าตรงไหนเขาก็รู้สึกรักใคร่
น่าเสียดายที่อายุของทั้งสองคนยังไม่ถึงเกณฑ์ ต้องรออีกสองปีถึงเข้าสู่ประตูวิวาห์ได้
ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน เสี่ยวหลานก็จะได้มาเล่าเรียนที่ปักกิ่ง
โจวเฉิงยิ้มแย้มกับต้นหลิวที่ใบร่วงหลุดเกลี้ยงต้นหนึ่งในสนามออกกำลังกายเหล่าฟางกระเย้อกระแหย่งผ่านมามัจจุราชโจวเฉิงคนนี้ซุกซ่อนเล่ห์กลร้ายกาจอะไรไว้กันแน่นะสู้กันอย่างเปิดเผยสักยกไม่ดีกว่าหรือ?
แน่นอน ต่อให้สู้กันอย่างเปิดเผยเขาก็เอาชนะโจวเฉิงไม่ได้อยู่ดี
-----------------------------------------
ตอนบ้านหลิวเชือดหมูเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้กลับไป
หลังจากช่วยหลิวหย่งดำเนินการเช่าบ้านเสร็จเซี่ยเสี่ยวหลานก็นำเงินออกเดินทางไปหยางเฉิง
ครั้งนี้รวมเงินต้นทุนได้ 5000 หยวนหลังค้าขายเรียบร้อยเธอและหลี่เฟิ่งเหมยจะมีเงินสำหรับเปิดร้านมากขึ้นเนื่องจากมีสินค้าที่จะนำเข้าไม่น้อย เธอจึงพาหลิวเฟินไปด้วยเสียเลยหลิวเฟินไม่เคยเดินทางไกล จนถึงตอนนี้ไปสถานที่ที่ไกลที่สุดคือซางตู
เมื่อมีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินวั่งต๋า เวลาขอจดหมายแนะนำจึงสะดวกมากกรอกชื่อของหลิวเฟินลงไป เซี่ยเสี่ยวหลานก็สามารถซื้อตั๋วรถได้แล้ว
ที่สถานีรถไฟผู้คนหนาแน่นทำให้หลิวเฟินประหม่าแต่พอเห็นคนจะเบียดเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอกุลีกุจอปกป้องลูกสาว อีกทั้งแนบชิดข้างกายเซี่ยเสี่ยวหลานกลัวว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะโดนบีบ
ตั๋วรถสองใบราคาห้าสิบกว่าหยวน ทั้งสองคนเดินทางไปยังหยางเฉิงหนึ่งรอบแค่ค่ารถก็ต้องจ่ายมากกว่าหนึ่งร้อยหยวนยังไม่นับบ้านพักในหยางเฉิงและค่ากินดื่มระหว่างเดินทางของสองคนหากเซี่ยเสี่ยวหลาน ‘เพิ่งฟื้น’ เหมือนกับครั้งนั้น ต่อให้เธออยากพาหลิวเฟินจากไปไกลแสนไกลแต่สองแม่ลูกไร้เงินทองไร้อำนาจจะหนีไปก็ไปได้ไม่ไกลนัก
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หลิวเฟินอยากไปที่ไหนเซี่ยเสี่ยวหลานมีค่าเดินทางไปที่นั่น
ในกระเป๋ามีเงิน พวกเธอสองคนอยู่สถานที่ใดก็สามารถดำรงชีวิตได้
ทว่าห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอนย่อมต่ำต้อย [1] สำราญใจกับการหาเงินในถิ่นฐานของตนดีกว่า หลิวเฟินไม่ใช่คนที่มีนิสัยยินดีในการหาเื่ใส่ตัวเธอพอใจในชีวิตตอนนี้เหลือเกิน
“คราวนี้ฉันจะไปเยี่ยมพี่สาวคนหนึ่งครั้งแรกที่ไปหยางเฉิงเธอช่วยเหลือฉันไว้มาก”
ไป๋เจินจูมีแผงผลไม้ พุทราของซางตูราคาไม่แพงเซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิดดีแล้วว่าอีกฝ่ายรับประทานไม่หมดยังขายได้จึงนำพุทราแดงสองถุงติดไปด้วย อย่างไรเสียตอนขาไปสองแม่ลูกก็มือเปล่า พุทราแดงสองถุงไม่เป็อุปสรรค
พุทราแดงสดใหม่ราคาชั่งละ 0.15 หยวนเซี่ยเสี่ยวหลานบรรจุสองถุงขึ้นรถ ทั้งหมดเป็จำนวน 100 ชั่ง
จ่ายเงิน 15 หยวน หลิวเฟินก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
ขณะเงินทองขัดสนใครจะไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ทุกวันนี้วันหนึ่งหลิวเฟินไม่ได้ทำเงินเพียง 15 หยวนเท่านั้น ในเมื่อ ‘พี่ไป๋’ ตามคำกล่าวของเซี่ยเสี่ยวหลานเคยให้ความช่วยเหลือ การขอบคุณจึงเป็เื่ที่สมควรนั่งรถไฟสามสิบกว่าชั่วโมงถึงหยางเฉิง หลิวเฟินก็ได้เพิ่มพูนประสบการณ์เช่นกันแต่เธอพูดน้อยจนเคยชินแล้ว แบกพุทราหนึ่งถุงไว้ เซี่ยเสี่ยวหลานบอกไปไหนก็ไปนั่นไม่มีข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย
“เสี่ยวหลาน ลูกแบกไหวไหม? เอาถุงนั้นของลูกให้แม่แบกเถอะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ฟัง “แบกได้ พวกเรานั่งรถไป”
เดิมทีมีรถเข็นคันเล็ก ครั้งนี้เซี่ยเสี่ยวหลานจะนำเข้าสินค้าจำนวนมากรถเข็นไม่มีทางแก้ปัญหาได้ บางทีอาจต้องจัดการฝากขนส่งส่งกลับไปยังซางตู
ในเมืองใหญ่อย่างหยางเฉิงนี้มีรถประจำทางนี่ก็เป็ประสบการณ์แปลกใหม่ที่หลิวเฟินไม่เคยััเช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานถามคนสัญจรจนเข้าใจว่านั่งรถอย่างไร สองแม่ลูกเปลี่ยนสายรถสองเที่ยวจึงถึงแผงผลไม้ของไป๋เจินจูอุณหภูมิของหยางเฉิงสูงกว่าซางตู ต้นฤดูหนาวอากาศไม่เย็นมากนัก เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินแบกพุทราไปโน่นมานี่กว่าจะเจอบ้านไป๋ก็ร้อนจนเหงื่อซึมไปทั้งกาย
แผงผลไม้ของไป๋เจินจูตั้งอยู่บริเวณทางแยก
แสงอาทิตย์อบอุ่นของหยางเฉิงสาดส่องเสียทำให้คนอยากนอนหลับ แม้หยางเฉิงจะเหมาะกับการเพาะปลูกผลไม้แต่ถูกจำกัดด้วยฤดูกาลปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีเรือนกระจกเพาะปลูกผลไม้นอกฤดูกาลเยอะขนาดนั้นผลไม้ที่สามารถขายได้ใน่เดือนพฤศจิกายนจึงไม่มากมายนัก
แอปเปิ้ล ส้ม และส้มโอ สามอย่างนี้พื้นที่หลักบนแผงผลไม้
ยังมีสาลี่แห้งผากอีกจำนวนหนึ่งด้วย
“ซื้อผลไม้หรือ?”
เสียงของไป๋เจินจูแ่เบา พอเบิกตามอง พบว่าเป็เซี่ยเสี่ยวหลาน
“พี่ไป๋ ฉันมาหาพี่”
ไป๋เจินจูเกิดอาการทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
เธอเที่ยวเล่นกับเด็กผู้ชายมาั้แ่วัยเยาว์วิชาที่สืบทอดมาจากครอบครัวทำให้เธอไร้เทียมทานในหมู่เด็กชายอายุใกล้เคียงกันเด็กสาวอรชรอ้อนแอ้นต้องคบค้าสมาคมอย่างไร ไป๋เจินจูไม่มีประสบการณ์เลยสักนิดเดียว
และเซี่ยเสี่ยวหลานก็คือเด็กสาวอรชรอ้อนแอ้น
ก่อนหน้านี้ไป๋เจินจูแค่บอกที่อยู่ไปตามเื่ตามราวไม่คาดคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะมาหาเธอจริง
“สหายเสี่ยวหลาน!”
เธอดูแห้งแล้งไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด เซี่ยเสี่ยวหลานจึงปล่อยให้เธอกระอักกระอ่วนไม่ได้เลยรีบแนะนำหลิวเฟินให้รู้จัก
ไป๋เจินจูยิ่งประหม่ามากขึ้น พาผู้ใหญ่มาด้วยสินะ พุทราแดง 50 ชั่งต่อหนึ่งถุง เธอสามารถหิ้วสองถุงได้อย่างสบายๆ หญิงสาวช่างซื่อบื้อยิ่งนักดันถามออกไปว่าคราวนี้เซี่ยเสี่ยวหลานมาขายผลไม้ใช่หรือไม่
“พุทราแดงของเธอนี่สดใหม่พอดี เสียดายที่แผงของฉันขายไม่ค่อยได้แต่เธอวางใจเถอะ ฉันจะช่วยเธอขายสินค้าออกแน่นอน”
เชิงอรรถ
[1]人离乡贱 ห่างไกลบ้านเกิดย่อมต่ำต้อย หมายถึง คนจากบ้านเกิดไปอยู่ในที่ที่ไม่มีคนรู้จักสนิทสนมไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ถูกผู้อื่นละเลย
