เล่มที่ 3 บทที่ 72
ฮูหยินชั้นที่หนึ่ง, ฮูหยินหลิงเป็สิ่งต้องห้ามของราชวงศ์ ในบรรดาขุนนางและราชวงศ์ แม้กระทั่งองค์ชายรัชทายาทที่ทำตัวแหกคอกในปัจจุบัน ยังไม่กล้าไม่เคารพต่อฮูหยินหลิง
เวลานี้องค์หญิงซาเหรินมาถึงจงหยวน และฮูหยินหลิงได้เป็เ้าภาพจัดงานเลี้ยง อันที่จริงหากพูดให้กระจ่าง มันเป็งานเลี้ยงพบปะเพื่อหาคู่ เป็การสร้างโอกาสในการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานในราชวงศ์ ในเวลาเดียวกันยังนับเป็โอกาสที่องค์หญิงซาเหรินจะได้เลือกสวามีด้วยเช่นกัน
ในโอกาสเช่นนั้น มู่หรงฉิงซึ่งเป็ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมงาน อีกทั้งนางเพิ่งแต่งงานกับครอบครัววาณิช แม้ว่าจะทำการค้ากับราชวงศ์ ถึงกระนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง และประการที่สอง นางเป็ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วย่อมไม่มีเหตุผลที่จะเข้าร่วม
“เทียบเชิญได้ส่งมาแล้วหรือ?” มู่หรงฉิงขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจว่าฮูหยินหลิงส่งเทียบเชิญมาให้นางด้วยเจตนาอะไร?
ในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ท่าทีของฮูหยินหลิงทำให้นางรู้สึกว่ายากเกินกว่าจะคาดเดาได้ ฉะนั้นภายในระยะเวลาอันสั้น นางย่อมไม่อาจทราบได้ว่า ฮูหยินหลิงเชิญนางไปร่วมงานเลี้ยงด้วยสาเหตุใด?
“บ่ายนี้เทียบเชิญได้ส่งถึงมือของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็คงลังเลอยู่ว่าควรจะให้คุณหนูใหญ่ไปร่วมงานเลี้ยงหรือไม่? ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเก็บเทียบเชิญไว้ชั่วคราว” ปี้เอ๋อร์หยิบพัดขึ้นโบกเบาๆ ขณะที่นิ้วเรียวของมู่หรงฉิงกรีดมุมด้านล่างของหน้าหนังสือ พลิกหน้าและแทนที่ด้วยเนื้อหาใหม่
โธ่! ถ้าชีวิตเป็เหมือนหนังสือที่สามารถพลิกหน้าและลบได้ มันจะง่ายดายขึ้นหรือไม่?
“แม่รองเฉินอยู่ที่ไหนหรือ?” ความเศร้าโศกพวยพุ่งในหัวใจอย่างไม่อาจอธิบายได้ นางไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด? ั้แ่นางรู้ว่าเฉินเทียนหยูมีเวลาเพียงครึ่งปี นางมักจะรู้สึกหดหู่ใจอยู่เสมอ
“บ่าวคิดว่าวันนี้บ่าวไม่ได้ทำไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว บ่าวได้หว่านเมล็ดลงไปบางส่วน รอให้พวกซูมู่หานเริ่มลงมือ เมล็ดเ่าั้ก็จะค่อยๆ งอกออกมา” สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในโลกคือหัวใจของมนุษย์ แม้ว่าแม่รองเฉินและอนุหนิงจะบิดเชือกเป็เกลียว ถึงกระนั้นมู่หรงฉิงยังคงมีวิธีที่จะทำให้คนทั้งสองหวาดระแวงซึ่งกัน และที่สำคัญไปกว่านั้น สตรีคู่นั้นต่างมีแผนการของตัวเอง ฉะนั้นนางแค่กวนๆ เล็กน้อย คนทั้งสองจะไม่ทะเลาะกันเองเชียวหรือ
“อืม เราจะไปหาจื่อเอ๋อร์เวลาดึกๆ คิดว่านางคงจะหวั่นกลัวหลังจากตื่นนอน” มู่หรงฉิงรู้สึกผิดอย่างมาก เมื่อนึกถึงจื่อเอ๋อร์ที่ขมวดคิ้วแม้กระทั่งยามหลับ
ถ้าในวันนั้นนางเข้าใจเื่ราวได้กระจ่าง จื่อเอ๋อร์คงไม่ได้รับความเดือดร้อนมากมาย แต่นับว่าโชคดีเพราะในที่สุด์ก็ส่งจื่อเอ๋อร์คืนให้กับนาง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับจื่อเอ๋อร์จริงๆ นางคงไม่สบายใจไปตลอดชีวิต
ดวงจันทร์ลอยโดดเด่นอยู่กลางท้องฟ้า แสงจันทร์นวลลออคล้ายบุปผา ครั้นมองดูทิวทัศน์ยามค่ำคืนในลานเรือน นางคิดว่าในอีกหนึ่งชั่วยาม นางคงจะสามารถไปหาจื่อเอ๋อร์ได้แล้ว
เงาหนึ่งปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ มู่หรงฉิงเลื่อนสายตามองด้วยความประหลาดใจ จึงเห็นเฉินเทียนหยูกุมมือไว้ด้านหลังด้วยใบหน้าสงบ แต่กลับมีสีเืจางๆ ในดวงตาของเขา
เฉินเทียนหยูมาถึงอย่างเงียบๆ ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เกิดความหนาวเย็นที่อธิบายเป็คำพูดไม่ได้
เป็ไปได้หรือไม่ว่า ...เขาจะคลุ้มคลั่งอีกแล้ว?
นางรู้สึกวิตกกังวลพลางมองดูอีกฝ่ายด้วยความตื่นตระหนกทั้งที่ปราศจากเหตุผล จ้าวจื่อซินเคยกล่าวอย่างชัดเจนว่า อีกสามวันให้หลังเขาถึงจะคลุ้มคลั่ง แต่ทำไมมันถึงเร็วกว่ากำหนดล่ะ?
"เ้าคือใครหรือ?"
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสี่คำนั้นไร้ซึ่งอารมณ์แปรปรวนใดๆ แต่มู่หรงฉิงกลับััได้ถึงเจตนาฆ่าในน้ำเสียงของเขา
“ท่านพี่ของข้า ข้าคือฉิงเอ๋อร์” นางยืนขึ้นและแสร้งทำเป็ใจเย็น นางพยายามปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มอย่างเป็ธรรมชาติ แต่กลับคิดในใจว่า ถ้านางะโไปออกทางหน้าต่างเวลานี้ โอกาสจะชนะของนางมีเท่าไร?
“ท่านพี่? ฉิงเอ๋อร์?” เฉินเทียนหยูกัดคำเ่าั้ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง? แต่สายตาของเขาไม่ละห่างไปจากร่างกายของมู่หรงฉิง
รูปลักษณ์เช่นนั้นไม่เหมือนกับความเกลียดชังที่สามารถเผาท้องฟ้ายามคลุ้มคลั่งในอดีต มู่หรงฉิงไม่เคยเห็นมาก่อน ความหนาวเย็นดุจน้ำแข็ง เจตนาฆ่า ลมหายใจที่ทำให้นางถึงกับหายใจไม่ออก เหมือนมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบคอของนาง ดูเหมือนว่าถ้านางหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย เขาจะบีบคอนางจนตาย
“ในคืนนั้น เ้าเองหรือ”
ในคืนนั้นหรือ? หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ดวงตาของมู่หรงฉิงก็เบิกกว้าง เขาหมายถึงในคืนนั้นที่เขาคลุ้มคลั่งหรือ? คิดไม่ถึงว่าเขาจะจำมันได้?
นางรู้สึกหวั่นกลัวในใจ และไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนคลุ้มคลั่งเช่นเฉินเทียนหยูยังคงมีความทรงจำอยู่ ในกรณีนั้นมันพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า เขาสามารถรู้ได้ว่าใครทำร้ายเขา?
'เฉินเทียนหยู มีคนทำร้ายท่านใช่หรือไม่?’ ในจังหวะที่จะเอ่ยคำถามกลับปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นในสมอง ซึ่งบังคับให้กดข้อกังขากลับเข้าไปอย่างกะทันหัน "ฉิงเอ๋อร์แต่งงานกับท่านพี่เป็เวลาหลายวันแล้ว ท่านพี่จำได้หรือไม่?"
คนที่แสร้งทำเป็สงบถึงกับไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกในใจได้อีกต่อไป มือทั้งสองข้างของนางสั่นเทาเล็กน้อย นางจึงขยับร่างกายไปเท้ามือกับเก้าอี้ยาวเพื่อประคองตัวพยายามยืนให้มั่นคง
ลมหายใจของเขาแผ่ซ่านความน่าสะพรึงกลัวไปในอากาศ ขณะเฉินเทียนหยูเอาแต่จับจ้องคล้ายใช้ความคิด จู่ๆ ปี้เอ๋อร์ก็ก้าวเท้าเข้ามา
"อากาศร้อนจริงๆ บ่าวเตรียมวุ้นใบบัว..."
คำพูดของปี้เอ๋อร์เป็ต้องหยุดชะงักลงอย่างฉับพลัน หลังจากเห็นท่าแปลกๆ ของทั้งสองคน มู่หรงฉิงไม่กล้าเคลื่อนไหวอีกต่อไป ทำได้เพียงหันไปทางด้านข้างเล็กน้อย มือวางไว้ด้านหลังและเขียนคำสองคำบนฝ่ามือ
ดวงตาของปี้เอ๋อร์กะพริบเล็กน้อย แต่แทนที่จะถอยนางกลับสาวเท้าไปข้างหน้า "คุณชายรองยังไม่พักผ่อนเช่นกันหรือ บ่าวเตรียมวุ้นใบบัวให้ คุณชายรองลองชิมดูว่าจะชอบรสชาติหรือไม่?"
"วุ้นใบบัวหรือ? ข้าวเหนียวห่อใบบัว? ขนมกรอบเทพี? ขนมอบไส้ผลไม้?" ดวงตากระจ่างบริสุทธิ์ของเขามีสีเืพร้อมพูดพึมพำโดยปราศจากอารมณ์ใดๆ ราวกับเขานึกถึงอะไรบางอย่างได้อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากฟังคำพูดของเฉินเทียนหยู ใบหน้าของมู่หรงฉิงถึงกับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดว่า "ท่านพี่จำได้หรือ? ท่านพี่ชอบกินขนมที่ฉิงเอ๋อร์ทำ วันพรุ่งนี้ฉิงเอ๋อร์จะทำให้ท่านพี่กินอีกดีหรือไม่?”
"เฮอะ"
เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเ็า มู่หรงฉิงไม่ทันได้เห็นว่าเฉินเทียนหยูเคลื่อนไหวอย่างไร ทันใดนั้น นางก็ถูกเขารัดคอถึงกับหายใจไม่ออก "ไฉ่เยว่ เ้ายังคงห่วงใยมากเช่นเดิมนะ"
“ไฉ่เยว่? ท่านพี่ ข้าคือฉิงเอ๋อร์” หายใจด้วยความยากลำบาก เนื่องจากนางถูกรัดคอแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ และสมองของนางก็เริ่มรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“คุณหนูใหญ่” ปี้เอ๋อร์ตะลึงพรึงเพริด อยากจะก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่นางกลับลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่งเมื่อเห็นริมฝีปากของมู่หรงฉิงกลายเป็สีม่วง นางจึงก้าวเท้าไปประชิดและ้าดึงมู่หรงฉิงจากมือของเฉินเทียนหยู
เดิมทักษะการต่อสู้ของเฉินเทียนหยูก็สูงมาก แต่ไม่คาดคิดเลยว่าปี้เอ๋อร์จะสามารถทำให้เฉินเทียนหยูสลบได้ด้วยสองสามกระบวนท่า หลังจากวางมู่หรงฉิงที่กำลังหายใจอย่างแ่เบาลงบนเก้าอี้ยาว นางจึงหันไปมองเฉินเทียนหยูที่สลบล้มลงกับพื้นด้วยแววตาเป็ประกาย
จำได้ว่าครู่ก่อนมู่หรงฉิงเพิ่งเขียนคำว่า 'ฉ้อฉล' ลงบนฝ่ามือ สายตาของนางดูแค้นเคืองและมองผ่านหน้าต่างไปยังทิศทางห้องเก็บฟืนที่ถูกคั่นด้วยกำแพง
เฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งอีกหนแล้ว มิหนำซ้ำยังบีบคอของคุณหนูใหญ่จนเกือบจะตาย เรือนม่อเหอจึงสว่างไสว มีผู้คนเดินไปเดินมาทั้งที่ควรจะเป็เวลาพักผ่อน
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?” ฮูหยินเฉินมองดูคนนอนอยู่บนเตียงด้วยความวิตกกังวล ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กสาวเบิกค้างว่างเปล่าไร้การรับรู้ ลมหายใจของมู่หรงฉิงเบามากราวกับไม่มีอยู่
เด็กคนนี้เกรงว่าคงจะใมากจริงๆ หลังจากแต่งงานเข้ามาในจวนเฉินเพียงไม่กี่วัน นางต้องประสบเหตุการณ์เสี่ยงตายถึงชีวิตหลายหน การที่สามารถเอาตัวรอดจวบจนเวลานี้นั่นนับว่าดีไม่น้อย
“ฮูหยินน้อยใมากจึงสูญเสียิญญาชั่วคราว หลังจากดื่มน้ำแกงสงบจิตประสาท และนอนหลับให้สบาย สองสามวันก็จะดีขึ้นแล้ว” หมอประจำจวนถอนหายใจ โธ่! ฮูหยินน้อยคนนี้มีชีพจรอ่อนแอมาก นางจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของนาง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถพูดออกไปได้ในขณะนี้
เวลาผ่านไปกระทั่งเข้าสู่่เที่ยงคืน ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจก่อนจะสั่งกำชับบ่าวซ้ำๆ หลายหนว่าให้ดูแลมู่หรงฉิงเป็อย่างดีจากนั้นก็กลับไป
เรือนม่อเหอจึงกลับมาเงียบสงบอีกหน ต่อมาปี้เอ๋อร์ก็ปิดประตูและหน้าต่าง ให้เหลือเพียงแสงเทียนที่เปล่งแสงออกมาอย่างริบหรี่
นางเดินไปยังตรงหน้าเก้าอี้ยาวพร้อมตั้งใจฟังอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากรับรองได้ว่าไม่มีใครลอบฟัง นางถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “คุณหนูใหญ่ บ่าวจะทายาให้คุณหนู”
“ไม่จำเป็” เดิมทีดวงตาทั้งสองข้างของมู่หรงฉิงยังว่างเปล่าปราศจากพลัง แต่ถัดมานางก็ยืนขึ้นพร้อมยกมือขึ้นแตะคอที่ปวดเมื่อย
“เ้าเป็คนฉลาดนัก ข้าเผลอคิดไปว่าเ้าจะงุ่มง่ามเล็กน้อยเสียอีก แต่เ้ากลับตอบสนองได้เร็วถึงเพียงนั้น” น้ำเสียงสัพยอกเจือความวิตกกังวลที่ยากจะตรวจจับได้
หางตาของมู่หรงฉิงเหลือบไปเห็นจ้าวจื่อซินและชิงยวี่ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องั้แ่เมื่อใด ก่อนสายตาจะหันไปเห็นประตูอุโมงค์ลับที่ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ นางคิดว่า เขาช่างสะดวกสบายเสียจริง ครั้น้าจะเข้ามาก็เข้ามาได้ดังใจ
“เ้าพบความผิดแปลกในเื่นี้ได้อย่างไรหรือ?” เห็นสายตาของเด็กสาวจ้องมองประตูอุโมงค์ลับที่ปิดลง จ้าวจื่อซินจึงกะพริบตาอย่างไม่เป็ธรรมชาติ แต่หลังจากเห็นเฉินเทียนหยูซึ่งนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ประกายแววตาของเขากลับปรากฏอารมณ์คลุมเครืออยู่หลายส่วน
ชิงยวี่เพิ่งเดินออกจากเส้นทางลับ เมื่อสบตากับมู่หรงฉิงซึ่งจ้องมองนิ่งไม่ยอมละสายตาไปไหน เขาจึงมีแต่ความไม่เข้าใจ แต่หลังจากเห็นรอยฟกช้ำที่คอของนาง พริบตาต่อมาเขาก็รู้สึกเห็นใจอยู่หลายส่วน
“ข้าถามหมอเทวดาถึงสถานการณ์ของเขาแล้ว เวลานี้เขาจำอดีตไม่ได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นมันยิ่งเป็ไปไม่ได้เลยที่เขาจะจำเื่ต่างๆ ราวกับมีสติครบถ้วน” ในตอนนั้นนางรู้สึกแปลกใจ เฉินเทียนหยูยามคลุ้มคลั่งในอดีตจะฆ่าคนโดยตรง แต่ทำไมเฉินเทียนหยูขณะคลุ้มคลั่งในคราวนี้ถึงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้านางแปลกๆ มิหนำซ้ำยังตั้งคำถามประหลาดๆ อีกด้วย?
อีกประการนางกล้ารับรอง คำว่า ‘ไฉ่เยว่’ สองคำของเฉินเทียนหยูเป็การถามหยั่งเชิงโดยเจตนา เพื่อหยั่งเชิงว่านางรู้มากแค่ไหน เพื่อหยั่งเชิงว่านางมีความสามารถในการต้านทานมากแค่ไหน และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น ยังเป็การหยั่งเชิงความคิดปัจจุบันของปี้เอ๋อร์อีกด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเป็การหยั่งเชิงละครของปี้เอ๋อร์ที่เ้าตัวแสดงเมื่อ่บ่าย
จ้าวจื่อซินพยักหน้าและไม่อาจละสายตาจากลำคอที่ฟกช้ำของนางเป็เวลานาน "ครู่ก่อนเขาถูกแม่นมฟางพาไปที่ห้องเก็บฟืน เมื่อเขาออกมาก็ไม่มีอะไรผิดแปลก ข้าจึงไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไรนัก ข้าคิดว่าเป็ฝีมือของยวี้เอ๋อร์คนนั้น"
“หรือบางทีข้าเดาวิธีการของยวี้เอ๋อร์ผิดไป มือทั้งสองข้างของนางไม่ใช่กุญแจสำคัญ” เดิมทีคิดว่าถ้าทำลายมือทั้งสองข้างของยวี้เอ๋อร์ ปีกของอีกฝ่ายคงจะหักไปด้วย แต่สิ่งที่นางไม่ได้คาดคิดคือนางเดาผิดไป
“หลิงเอ๋อร์ลอบฟังเสียงบนหลังคาอยู่ครึ่งคืนถึงได้จากไป ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของเ้าจะทำให้เ้านายของนางพอใจเป็อย่างมาก” ช่างเป็ผู้หญิงที่โง่เง่าจริงแท้ รู้ทั้งรู้ว่าเป็กับดัก แต่นางหลบหลีกกับดักไม่เป็หรืออย่างไร?
รู้สึกรำคาญใจ ขณะเดียวกันก็หยิบขวดยาออกมาและอยากจะทายาให้นาง
“ไม่จำเป็ รอยฟกช้ำนี้มีประโยชน์มาก” มู่หรงฉิงหยุดการทายาของจ้าวจื่อซิน ก่อนจะเลื่อนสายตาและเอ่ยถามปี้เอ๋อร์ “งานเลี้ยงของฮูหยินหลิงจะจัดเมื่อไรหรือ?”
"วันมะรืน" หลังจากที่ปี้เอ๋อร์พูดออกมา นางพลอยเข้าใจแล้วว่า "แม่รองเฉินจะขัดขวางไม่ให้คุณหนูใหญ่ไปร่วมงานเลี้ยงของฮูหยินหลิง"
“ถ้าเ้าเดาถูก อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทอาจจะไป และแม่รองเฉินอาจไม่้าให้ข้าไปพบอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทที่จวนของฮูหยินหลิง หากเดาได้ถูกต้อง ในจวนของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทคงมีคนของแม่รองเฉินหรืออนุหนิงอยู่"
ความคิดนั้นทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกว่างานเลี้ยงนี้ นางจะต้องไปให้ได้