เมื่อฉู่อี้พลิกตัวกลับมากอดร่างที่อุณหภูมิต่ำกว่าเล็กน้อย เขาสะดุ้งตื่นทันที
กู้เฟิงหัวเราะน้อยๆ เป็ครั้งแรกที่เห็นความสงสัยในแววตาของฉู่อี้ “เป็ไง? หลับสบายดีไหม?”
เสียงฉู่อี้ค่อนข้างแหบต่ำในตอนเช้า “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ก็นี่มันห้องฉัน มีปัญหาหรือไง?” กู้เฟิงหัวเราะตอบ สายตาเฝ้ามองอารมณ์ทั้งหมดทั้งหมดในแววตาของฉู่อี้แปรเปลี่ยนเป็ความสงบอย่างรวดเร็ว
กู้เฟิงรู้ว่าเขาระวังตัวอยู่แล้ว แต่ร่างกายของบุรุษเพศในตอนเช้าไม่มีทางสงบลงเดี๋ยวนั้นถึงแม้จะระวังตัวอย่างดี ดังนั้นเมื่อกู้เฟิงคว้าท่อนเนื้อตั้งตรงของฉู่อี้ เขาถึงกับย่นคิ้ว “นี่นายคิดถึงเื่อย่างว่าั้แ่เช้าเลยเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ...ไม่ใช่ฉัน นายต่างหาก ลืมไปแล้วเหรอว่านายคือทาสกาม?” กู้เฟิงหัวเราะออกมาดังๆ “อีกอย่าง อย่าลืมว่าต้องตอบคำถามเ้านายหรือครูฝึกของนายด้วย การยอกย้อนไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับที่นี่” กู้เฟิงพูด พลางออกแรงบีบที่มือข้างที่เคล้าคลึงท่อนล่างของฉู่อี้
ฉู่อี้หอบหายใจเอาอากาศเย็นเยียบเข้าไปเฮือกใหญ่ เหงื่อกาฬไหลซึมออกมา ท่อนล่างของเขาพลันอ่อนแรงลงทันใด นี่คือบทลงโทษ กู้เฟิงแสดงให้ฉู่อี้เข้าใจ
“อย่าให้ฉันถามเป็ครั้งที่สอง” มือของกู้เฟิงยังคงคาอยู่ที่ท่อนเนื้อของฉู่อี้ ท่าทางของเขาทำให้ฉู่อี้เชื่อว่าถ้าเขายังไม่ตอบคำถาม อีกฝ่ายจะลงโทษเขาอีกเป็ครั้งที่สองโดยไม่ลังเลแน่นอน ส่วนแข็งขืนยังไม่ได้รับการปลดปล่อยั้แ่เมื่อคืน ชาหนึบด้วยความเ็ป ไม่รู้ว่าถ้าโดนอีกครั้ง เขาจะหลั่งคาที่หรือเปล่า
ดังนั้นฉู่อี้จึงพยายามนึกย้อนถึงคำถามที่กู้เฟิงเอ่ยถามเมื่อสักครู่ โชคดีที่เขาเป็คนความจำดี จึงนึกออกในไม่กี่วินาที “หลับสบายดีครับ”
“เด็กดี” กู้เฟิงตบแก้มก้นฉู่อี้ แล้วหยัดกายลุกขึ้น
เพียงเพราะสองคำนี้ ฉู่อี้โกรธจนกัดฟันตัวสั่นไปทั้งร่าง ทำไมเขาต้องยอมด้วย? แถมกู้เฟิงยังพูดจาราวกับว่าเขาเป็สัตว์เลี้ยงจริงๆ
“ไปอาบน้ำซะ” สิบนาทีต่อมา เมื่อกู้เฟิงออกมาจากห้องน้ำ เขาเห็นฉู่อี้ยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยความงุนงง เชื่อว่าอีกฝ่ายพยายามเปิดประตูด้วยวิธีต่างๆ แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ประสบความสำเร็จ และกู้เฟิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่สัตว์เลี้ยงพยายามหลับหนี ดังนั้นน้ำเสียงจึงเ็าสุดขั้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเ็าอยู่แล้วก็ตาม แต่ฉู่อี้สามารถรับรู้ได้ว่ากู้เฟิงกำลังโกรธจัดเมื่อฟังจากน้ำเสียงที่จวนจะแตะจุดเยือกแข็งอยู่รอมร่อ
ฉู่อี้มองกู้เฟิงที่มีผ้าขนหนูพันไว้รอบเอวเพียงผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งพาดห้อยไว้ที่คอ แล้วเลิกคิ้วตอบ
กู้เฟิงเห็นแววตาพินิจพิเคราะห์ของกู้เฟิง จึงเหยียดยิ้มออกมา “นายคิดจะล้มฉันแล้วขอให้ฉันเปิดประตูให้งั้นเหรอ?”
ฉู่อี้นิ่งเงียบ
กู้เฟิงนั่งลงเช็ดผมบนเตียง “ดูจากสภาพนายที่พร้อมโดนคนอื่นโจมตีโดยไม่รู้ตัวได้ง่ายๆ เนี่ย ฉันว่าอย่าดีกว่า นายสู้ฉันไม่ได้หรอก อีกอย่าง ต่อให้ฉันเปิดประตูให้ นายก็หนีไปไหนไม่พ้นอยู่ดี”
ฉู่อี้เหลือบมองกู้เฟิงอีกครั้ง แม้กู้เฟิงจะไม่ได้ตัวสูงเท่าเขา และดูไม่แข็งแรงเท่า แต่ฉู่อี้ก็เชื่อคำพูดของกู้เฟิง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม อาจเป็เพราะการตัดสินตามหลักเหตุผลว่าเขาไม่มีความจำเป็ต้องหลอกตน หรืออาจจะเป็สัญชาตญาณที่บอกว่าคนคนนี้ไม่มีทางพูดโกหก แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฉู่อี้ก็ไปอาบน้ำอย่างเชื่อฟังโดยไม่ปริปากสักคำ
ขณะฟังเสียงน้ำไหลที่ดังออกมาจากห้องน้ำ กู้เฟิงหยุดเช็ดผมตัวเอง แววตาเจือด้วยความชื่นชมและความคิดลึกซึ้ง หมอนี่ดูเหมือนจะเป็คนมีเหตุผลอยู่เสมอ ไม่เคยทำเื่ที่ไม่จำเป็ แต่ก็ละไม่ทิ้งทุกโอกาสที่พอจะเป็ไปได้ เมื่อคืนตอนถูกขังอยู่ที่นี่คนเดียว เขาคิดว่าประตูถูกล็อกจากภายนอก จึงไม่ดิ้นรนเลยสักนิด กระทั่งตอนเขาพบว่าตนก็อยู่ในห้องด้วย ถึงรู้ทันทีว่าสามารถเปิดประตูจากด้านในได้ และทดลองความเป็ไปได้นั้นทันที เป็คนที่เฉียบแหลมจริงๆ!
ยังไม่ทันเริ่มฝึกอย่างเป็ทางการ กู้เฟิงก็เพิ่มระดับความยากของการฝึกขึ้นในใจ แต่จนถึงตอนนี้กู้เฟิงยังคงลังเลอยู่ดี ว่าควรจะฝึกคนคนนี้ให้กลายเป็ทาสที่สมบูรณ์แบบดีหรือไม่
“ฉันหาเสื้อคลุมอาบน้ำไม่เจอ” ฉู่อี้เดินตัวเปล่าออกมาจากห้องน้ำ
“สัตว์เลี้ยงไม่จำเป็ต้องสวมเสื้อผ้า” กู้เฟิงโยนผ้าขนหนูที่ตนใช้เช็ดหัวให้กับฉู่อี้
ฉู่อี้เลิกคิ้วขึ้น มองผ้าขนหนูที่กู้เฟิงเพิ่งใช้ในมือตนด้วยความรังเกียจ แต่ท้ายที่สุดก็ยอมใช้มันเช็ดตัวโดยไม่พูดอะไร
กู้เฟิงเห็นฉู่อี้ใช้ผ้าขนหนูต่อจากตัวเองแล้วก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ความขุ่นเคืองที่มีก่อนหน้านี้หายวับไปทันที เมื่อฉู่อี้เช็ดตัวจนสะอาดดีแล้ว กู้เฟิงก็เดินเข้าไปสวมปลอกคอหนังรอบคอเขา
ฉู่อี้ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ มุ่ยหน้าอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกมา “ครูฝึกอย่างนายพกอุปกรณ์พรรค์นี้ไปไหนมาไหนตลอดเวลาเลยเหรอ?”
กู้เฟิงเลิกคิ้วขึ้น แต่ไม่ตอบคำถามฉู่อี้ “อีกเดี่ยวนายจะต้องขอบคุณฉัน” พูดจบ เขาก็ฟาดมือเข้าที่บั้นท้ายเปลือยเปล่าอีกที “ไปเถอะ ไปกินข้าวเช้ากัน”
เห็นกู้เฟิงแต่งตัวเรียบร้อย แต่ตนเองกลับต้องออกไปในสภาพที่สวมแค่ปลอกคอ คิ้วฉู่อี้ถึงกับคิ้วมุ่นไม่ยอมคลาย แต่รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์พูดว่า ‘ไม่’ เพราะครูฝึกคนนี้ไม่ยอมรับฟังอยู่แล้ว และหมอนี่ดูไม่มีความอดทนที่จะพูดอะไรซ้ำสอง เมื่อครู่เขาบอกไปแล้วว่า ‘สัตว์เลี้ยงไม่จำเป็ต้องสวมเสื้อผ้า’ งั้นเขาก็ต้องเดินตามอีกฝ่ายไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ?
“มัวรออะไรอยู่?” ขณะที่ฉู่อี้ยังต่อสู้กับความคิดตัวเองอยู่นั้น กู้เฟิงก็เปิดประตูห้องออกแล้ว
เมื่อเห็นทางเดินมืดมิดเบื้องหน้า ฉู่อี้สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกัดฟันเดินออกไป
สถานที่ทานอาหารมีลักษณะเหมือนเป็โรงอาหารขนาดเล็ก และยังเป็จุดที่สว่างที่สุดเท่าที่ฉู่อี้เคยเห็นในที่แห่งนี้ นอกเหนือจากห้องของกู้เฟิง เนื่องจากพวกเขามาถึงค่อนข้างเร็ว จึงมีคนอยู่ไม่มากนัก มีเพียงคนที่ดูเหมือนเป็พนักงานกำลังรับประทานอาหารกันอยู่ เมื่อเห็นกู้เฟิงเดินเข้ามา พวกเขาจึงลุกขึ้นกล่าวทักทาย ก่อนจะนั่งลงทานข้าวต่อ
ฉู่อี้ขมวดคิ้วเป็ปมแน่นกว่าเดิม ที่นี่มีแต่เขาคนเดียวที่ล่อนจ้อน! แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ฉู่อี้เพิกเฉยต่อสิ่งหนึ่งได้ นั่นคือครูฝึกที่ชื่อเฟิงจื่อน่าจะมีตำแหน่งสูงระดับหนึ่งในที่แห่งนี้
“อยากกินอะไรล่ะ?” โรงอาหารเป็แบบบุฟเฟ่ต์ อยากกินอะไรก็ตักเอาเอง กู้เฟิงถามขณะพาฉู่อี้เดินไปยังโซนตักอาหาร
ฉู่อี้กัดฟันกรอดด้วยความโมโห ไม่ยอมตอบ
กู้เฟิงหันหน้ามา มองใบหน้าหงิกงอของฉู่อี้ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เวลาเ้านายหรือครูฝึกถาม ต้องตอบ”
“ฉันเลือกเองได้เลยเหรอ?” ฉู่อี้รีบตอบกลับ
ฉู่อี้คิดว่ากู้เฟิงจะโมโห อันที่จริงเขาจงใจยอกย้อนอีกฝ่าย แต่ไม่คิดว่าคราวนี้กู้เฟิงจะมีความอดทนสูงมาก “เลือกได้สิ แม้สิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะทำให้นายเสร็จหรือไม่เสร็จขึ้นอยู่กับเ้านายและครูฝึก แต่ถ้าเป็เื่อาหารการกิน เ้านายที่ดีควรจำได้ว่าสัตว์เลี้ยงของตัวเองชอบกินอะไร”
ฉู่อี้ยืนอึ้งอยู่กับที่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าความคิดที่เคยยึดมั่นมาตลอดถูกสั่นคลอนนิดๆ ทาสกามทุกคนไม่ได้ถูกทารุณกรรมตลอดเวลาหรอกเหรอ? ที่กู้เฟิงพูดมาหมายความว่ายังไง?
“โอเค ไหนบอกฉันมาซิ ว่านายชอบกินอะไร? ไหนๆ นี่ก็เป็มื้อแรกที่เราได้กินข้าวด้วยกันแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนของกู้เฟิงทำให้ฉู่อี้ลั้งปากตอบโดยไม่ได้ตั้งใจ “ปกติฉันดื่มกาแฟหนึ่งแก้วกับแซนด์วิชหนึ่งชิ้น” บอกไม่ถูกว่าชอบหรือเปล่า เพียงแต่ติดเป็นิสัย นอกจากจะช่วยให้ตื่นตัวแล้ว ยังช่วยให้อยู่ท้องอีกด้วย
กู้เฟิงเหลือบมองฉู่อี้แวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปเลือกอาหาร “กาแฟไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร อีกอย่างตอนอยู่ที่นี่ นายไม่จำเป็ต้องกินอะไรที่ทำให้สมองตื่นตัวหรอก” กู้เฟิงมองไปยังเครื่องดื่มต่างๆ ที่เตรียมไว้อยู่แล้ว “น้ำเต้าหู้ร้อนๆ เป็ไง?”
ฉู่อี้ไม่ตอบ อันที่จริงสภาพแวดล้อมในเวลานี้และจิตใจที่ฟุ้งซ่าน ทำให้เขาไม่มีความอยากอาหาร แต่เขาพูดอะไรไม่ได้ ฉู่อี้เก่งเื่เก็บซ่อนความคิดและอารมณ์ของตนเอง แทบไม่มีใครรู้ลึกถึงความชอบส่วนตัว แม้แต่ผู้ช่วยส่วนตัวและบอดี้การ์ดก็ตาม
ผลจากความเงียบของฉู่อี้ ทำให้กู้เฟิงไม่เพียงหยิบน้ำเต้าหู้ร้อนมาให้ถ้วยหนึ่ง แต่ยังหยิบขนมปังปิ้งอุ่นๆ สองชิ้น เบคอนย่างสามชิ้น ไข่ดาวหนึ่งฟอง และสลัดผักหนึ่งชามให้เขา ส่วนของกู้เฟิงเองเป็อาหารจีน เขาหยิบเกี๊ยวชามเล็กๆ ติดมือมาแค่ชามเดียวเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลง ฉู่อี้ก็มองอาหารกองพะเนินตรงหน้า อดถามไม่ได้ “แน่ใจหรือว่าหยิบมาเยอะขนาดนี้แล้วฉันจะกินหมด?”
“ก็ฉันหาแซนด์วิชไม่เจอ เลยหาอะไรที่ใกล้เคียงที่สุดมาแทน” กู้เฟิงก้มหน้ากินส่วนของตัวเอง เป็การบ่งบอกว่าบทสนทนาสิ้นสุดลงแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จะกินหมดหรือไม่หมดก็ช่างเถอะสินะ? ฉู่อี้ถึงเริ่มกินอาหารของตัวเอง แต่กลับกินได้ช้ามาก ในเมื่อเขาไม่ได้ถูกสั่งให้กินเร็วๆ หรือต้องกินให้หมด เขาจึงกินตามที่สบายใจ เพราะอันที่จริงเขากินอะไรแทบไม่ลงเลย
กู้เฟิงกินเสร็จอย่างรวดเร็ว จะว่าเขากินเร็วก็ไม่ถูกนัก เพราะเขากินไม่เยอะเท่าไหร่ หลังจากนั้นเขาก็นั่งฝั่งตรงข้าม ดูฉู่อี้กินอาหาร ฉู่อี้ที่ไม่อยากอาหารเป็ทุนเดิม ยิ่งถูกจับจ้องยิ่งกลืนอะไรไม่ลง ขณะที่กำลังจะปฏิเสธไม่กินต่อ เขากลับถูกความโกลาหลหน้าประตูดึงความสนใจไป
ที่นั่งฉู่อี้หันหน้าไปทางประตู จึงมองเห็นชีเปลือยหลายสิบคนคลานเข่าเข้ามาพร้อมกับเสียงแส้ฟาดเป็ระยะๆ ระคนกับเสียงเร่งเร้า ภาพนั้นะเืขวัญฉู่อี้ผู้สุขุมจนเกือบทำส้อมหลุดจากมือ
คนเหล่านี้มีอายุั้แ่วัยรุ่นหลักสิบกว่าๆ ไปจนถึงวัยสามสิบ สีหน้าของพวกเขาต่างกันออกไป บางคนไม่เต็มใจ บางคนเศร้าหมอง แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจกับการถูกปฏิบัติเช่นนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำให้ฉู่อี้สะดุดตาเป็พิเศษ แม้ว่าสีหน้าของทั้งสองจะดูไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่ในความขุ่นเคืองนั้นกลับแฝงด้วยความตื่นเต้นบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
กู้เฟิงใช้นิ้วเคาะโต๊ะอาหารเบาๆ เรียกสติของฉู่อี้กลับคืนมา เป็การบอกให้เขากินต่อ ฉู่อี้จึงก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนต่อไปอย่างว่าง่าย ไม่หันไปมองอีก
เดิมทีฉู่อี้ไม่ได้มีความกล้าหาญมากมายอะไร ประกอบกับตัวเขาคลุกคลีอยู่ในแวดวงธุรกิจมาหลายปี เคยเห็นด้านมืดของสังคมมานักต่อนัก ย่อมรู้ดีว่ามีธุรกิจอีกหลายหลากที่อยู่เหนือกฎหมาย แต่ถึงแม้ตัวเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนควรต้องไปช่วยเหลือใคร ในเมื่อแม้แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะแจ้นเข้าไปช่วยคนอื่นเมื่อหัวร้อน มีแต่ในหนังเท่านั้นแหละที่พวกหัวร้อนไม่ดูกำลังตัวเองจะกลายเป็วีรบุรุษ ในชีวิตจริง คนแบบนี้มักจะตายอย่างอนาถ!
เมื่อเห็นฉู่อี้ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเชื่อฟัง กู้เฟิงก็เลิกคิ้วขึ้น หมอนี่มีอะไรให้เขาเซอร์ไพร์สได้เรื่อยๆ เลยแฮะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้