เมฆดำที่ขอบฟ้าบดบังแสงตะวัน ท้องฟ้าสดใสเมื่อครู่ยามนี้กลับปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ดั่งความหม่นมืดในหัวใจของหลิ่วจิ้ง
“อาหนู ข้าขอกลับก่อน คงเพราะตื่นั้แ่เช้า ยามนี้จึงรู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว”หลิ่วจิ้งมีท่าทีเซื่องซึมอย่างชัดเจน ไม่สดชื่นแม้แต่น้อย
“ฮูหยินหากท่านมีสิ่งใดจะสั่งความ ขอให้ส่งคนไปบอกกล่าวสักคำเรียกหาเมื่อใดอาหนูจะมาทันทีเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งกลับไม่ได้รับคำอาหนู นางเรียกอิ๋งเหอให้มาประคองนางเดินไปตามทางที่ขนาบด้วยดอกไม้กลับหอหั่วเยี่ยน
“ฮูหยินจัดการสำเร็จแล้วหรือเ้าคะ” จื่อเซียวมองพวกของหลิ่วจิ้งเดินจากไปไกลจึงวิ่งเข้ามาหาด้วยความยินดี เมื่อครู่อาหนูบอกกับองค์หญิงว่าจะไปเดินเล่นกันที่สวนหลังจวนนางก็เดาว่าอาหนูจะต้องตัดสินใจร่วมมือกับองค์หญิงแล้วซึ่งนางอยากเห็นเื่นี้สำเร็จเป็ที่สุด
“อืม คงใช่กระมัง” อาหนูช้อนตาขึ้นมองตามทิศทางที่หลิ่วจิ้งกลับไปเมื่อเริ่มก้าวเท้าออกไปแล้ว นางย่อมไม่มีวันยอมให้ฮูหยินไม่รับปาก ต่อให้ต้องลากนางก็ต้องลากฮูหยินลงน้ำไปด้วยกัน
ยามนี้นางและองค์หญิงร่วมแค้นพ้องศัตรูนางสามารถปล่อยหนามยอกอกเช่นองค์หญิงเอาไว้ก่อน รอกำจัดเด็กในท้องนางจ้าวได้แล้ว ค่อยลงมือจัดการองค์หญิงหากสามารถทำให้นางจ้าวกลายเป็หนึ่งศพสองชีวิตได้ก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
“ฮูหยิน ท่านว่าองค์หญิงนางจะลงมือหรือไม่เ้าคะ?” จื่อเซียวเป็ห่วงการตัดสินใจของหลิ่วจิ้งอย่างยิ่ง
“มองไม่ออก” อาหนูส่ายหน้า มองไม่ออกเดาไม่ได้เลยจริงๆ ว่าหลิ่วจิ้งคิดอ่านเช่นใดดูท่าแล้วตอนนี้คงทำได้เพียงรอดูไปก่อนเท่านั้นไม่แน่ว่าฮูหยินอาจเสียใจที่ได้ยินว่าท่านแม่ทัพตัดสินใจไล่นางลงจากตำแหน่งอาหนู้าให้หลิ่วจิ้งยิ่งเสียใจเท่าใดก็ยิ่งดีเช่นนี้จึงสามารถกระตุ้นให้นางลงมือได้
ความสามารถยืมมีดสังหารคนเช่นนี้อาหนูทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วมิเช่นนั้นในจวนแม่ทัพก็จะไม่เหลือแค่นางและฮูหยินใหญ่สองคนหรอก
“กลับกันเถิด วันดีๆ เช่นนี้เหตุใดกลับมีเมฆดำปกคลุมไปทั่วก็ไม่รู้” อาหนูห่วงว่าตัวจะเปียกหากฝนตกนางจึงไม่มีแก่ใจเดินเล่นต่อแล้วและรีบกลับเรือนไป
หลิ่วจิ้งและอิ๋งเหอเดินเลี้ยวมาระยะหนึ่งเมื่อแน่ใจว่าพวกของอาหนูมองไม่เห็นแล้ว อิ๋งเหอจึงเงยหน้าขึ้นถามข้อสงสัยของนาง“ฮูหยินเ้าคะ เกิดเื่ใดขึ้นหรือเ้าคะ เมื่อครู่ยังดึงดันไม่ยอมฟังคำบ่าวมาเดินเล่นที่สวนหลังจวนอยู่เลย เหตุใดบ่าวไปไม่นาน สีหน้าของฮูหยินก็ผิดปกติเสียแล้วเป็ฮูหยินอาหนูรังแกท่านหรือเ้าคะ? บ่าวจะไปถามหาคำอธิบายให้ฮูหยินเองเ้าค่ะ”
อิ๋งเหอเห็นสีหน้าซีดเผือดของหลิ่วจิ้งแล้วปวดใจนักนางคิดเอาเองว่าความผิดปกติของฮูหยินจะต้องเกี่ยวข้องกับลิ้นอสรพิษของอาหนูแน่นอน
อิ๋งเหอกลับเดาไม่ผิดหลิ่วจิ้งหน้าซีดด้วยความเ็ปใจเกี่ยวข้องกับอาหนูจริงๆเพียงแต่ไม่ใช่เป็เพราะนางโดยตรง หากแต่เป็โดยอ้อม
นางเ็ปที่หัวใจ ความเ็ปนี้มิใช่อาหนูเป็คนทำแต่เป็หั่วอี้ทำ
“ข้าจะไปกราบทูลกับฝ่าา ใช้พิธีสมรสแต่งท่านเป็ภรรยาเอกเข้าจวนวันหน้าท่านก็จะเป็ฮูหยินท่านแม่ทัพของข้าหั่วอี้นั่นเป็การจารึกลงในบันทึกของราชสำนักว่าเป็คนสกุลหั่วและญาติผู้ใหญ่ในตระกูลให้การยอมรับ”
คำสัญญาเมื่อในวันก่อนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวใจ ทว่าขณะที่นางยังไม่ทันรู้ตัว สรรพสิ่งคงเดิมแต่คนกลับผันแปรไปนานแล้ว
แล้วจะไม่ให้นางเจ็บทั้งใจ ปวดทั้งหัวได้อย่างไร
หลิ่วจิ้งยังไม่หลงรักหั่วอี้ แค่เริ่มหวั่นไหวนั่นยังไม่พอให้นางบอกว่าเป็ความรัก นางยัง้าอำนาจอิทธิพลของหั่วอี้ ทว่าระหว่างนั้นก็เกิดความรู้ดีๆ ขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้นางค่อยๆปล่อยวางความระวังใจลง อยากเปิดใจรับเขา
ความรู้สึกนี้ยังไม่ถึงขั้นสองใจตรงกันเพียงรู้สึกดีต่อกันเท่านั้น
เป็ครั้งแรกที่หลิ่วจิ้งรู้สึกขอบคุณอาหนูหากมิใช่เพราะข่าวที่อาหนูนำมาแจ้ง นางก็จะต้องถูกปิดหูปิดตาเหมือนอยู่ในกลองและยังคงฝันหวานถึงตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพอยู่
นางไม่กลัวว่าจะไม่ได้ตำแหน่ง แต่กลัวถูกหักหลังครั้งนางบ้านแตกสาแหรกขาดและถูกคนผู้นั้นหักหลังเอายังไม่พอทำให้นางเห็นการผันแปรของสรรพสิ่งในใต้หล้าได้ชัดเจนอีกหรือ
“อิ๋งเหอ ข้าแค่หิวแล้วเสียใจนักที่ไม่ฟังคำเ้าเมื่อเช้าว่าให้ทานอาหารเช้าเสียก่อนค่อยไปเ้าไปเตรียมอาหารมาให้ข้าสักหน่อยเถิด” เมื่อกลับไปถึงหอหั่วเยี่ยนหลิ่วจิ้งก็เก็บงำเื่ในใจนี้เอาไว้
สาวใช้ของนางเพียงใกล้ชิดกันในเื่ประจำวันทั่วไปเท่านั้นยังนับไม่ได้ว่าเป็คู่คิดที่มีความสามารถ บางเื่นางยอมแบกรับไว้คนเดียวก็ไม่คิดจะให้อิ๋งเหอรู้มากเกินไป
“ฮูหยินเ้าคะ” หนนี้เป็อวี้จิ่นยกถาดอาหารเข้ามา
“ฮูหยินมีความในใจ”อวี้จิ่นเป็คนละเอียดอ่อนกว่าทั้งยังเป็คนที่มาจากในวังหลวงนางย่อมมีความรู้สึกไวต่อการสังเกตสีหน้าท่าทางคนมากกว่าอิ๋งเหอ
“วันนี้ท่านแม่ทัพไม่ได้กลับมาเลยหรือ?” หลิ่วจิ้งมองกาถ่ายทราย [1] ที่บอกเวลาว่าใกล้เที่ยงแล้ว
“เรียนฮูหยิน ั้แ่เช้ายังไม่เห็นหน้าท่านแม่ทัพเลยเ้าค่ะ”สัญชาตญาณบอกอวี้จิ่นว่าความในใจของหลิ่วจิ้งจะต้องเกี่ยวกับท่านแม่ทัพ
“อวี้จิ่น เ้าว่าท่านแม่ทัพบอกกับคนสองคนในเวลาเดียวกันว่าเขาจะยกนางให้เป็ฮูหยินแม่ทัพที่ศาลบรรพชนให้การยอมรับเช่นนั้นคนใดจะได้เป็จริงๆ และคนใดจะไม่ได้เป็?”
คิดว่าเมื่อเทียบกับอิ๋งเหอแล้ว อวี้จิ่นย่อมมีไหวพริบมากกว่าหลิ่วจิ้งตัดสินใจเล่าข่าวที่นางได้ยินมาให้อวี้จิ่นฟังในสถานการณ์ที่ไม่มีคนให้ใช้สอย นางก็มีเพียงอวี้จิ่นคนเดียวที่พอเป็กำลังให้ได้
การไปได้ยินข่าวมาจากผู้อื่นทำให้หลิ่วจิ้งรู้ว่ากำลังของนางอ่อนด้อยเต็มทน อ่อนแอเล็กน้อยดั่งมดตัวหนึ่งดังที่นางเพิ่งมารู้จากอาหนูในภายหลังว่าท่านแม่ทัพตัดสินใจจะยกนางจ้าวให้เป็ฮูหยินเอก
นาง้าเส้นสายกว้างขวางจนแทบทนไม่ไหวแล้วแต่กลับต้องทุกข์ใจที่ไม่มีกำลังคนใดแม้แต่น้อย
“อวี้จิ่น ขยับเข้ามา” หลิ่วจิ้งดึงตัวอวี้จิ่นมาข้างๆ ตัวเล่าเื่ที่นางเพิ่งได้ยินมาให้อวี้จิ่นฟังอย่างระมัดระวัง
“ฮูหยิน เื่นี้จริงหรือเ้าคะ คำของอาหนูเชื่อได้หรือเ้าคะ? วานนี้บ่าวเพิ่งได้ยินนางบอกว่าจะให้ท่านต้องวิงวอนขอให้เหลือศพไว้สมบูรณ์ทั้งตัวมิใช่หรือเ้าคะ? นางจะมาพูดเื่เหล่านี้กับฮูหยินได้อย่างไร?”
อวี้จิ่นระแวงเพราะไม่เชื่อว่าอาหนูจะหวังดีเพียงนั้นด้วยการนำข่าวที่ไม่เป็ผลดีต่อฮูหยินมาบอกให้ฮูหยินรู้
“ข้าเชื่อ ก็เพราะอาหนู้าให้ข้าไม่ได้ตายดีข้าถึงได้เชื่อข่าวที่นางบอกคิดว่านางต้องคิดยืมมือข้ากำจัดเด็กในท้องของจ้าวไฉ่เอ๋อร์ จึงหันปลายมีดมาที่ข้าหรือสตรีทุกคนในจวนที่ขวางหูขวางตานาง”
“ฮูหยินคิดจะร่วมมือกับอาหนูหรือไม่เ้าคะ?” อวี้จิ่นเริ่มเป็กังวลว่าผลจากการเจรจาเอาหนังพยัคฆ์กับพยัคฆ์ [2]จะเป็ผลดีดังคิดหรือไม่?
หลิ่วจิ้งส่ายหน้า “แม้ไม่อาจร่วมมือกับนางแต่ก็ไม่อาจให้นางลงมือโดยที่พวกเราไม่รู้เื่ ดีที่สุดก็คือต้องใช้วิธียืมมีด…”
หลิ่วจิ้งไม่ได้พูดต่อ แต่ทำท่าเอานิ้วปาดคอ
“ฮูหยินเ้าคะ บ่าวคิดว่าพวกเรา้าแหล่งข่าว ้าคนซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เงินทองจำนวนมาก”
อวี้จิ่นคิดถึงปัญหานี้มานานแล้ว ผู้หลักแหลมสามารถััถึงอันตรายได้ทันท่วงทีก็ด้วยมีแหล่งข่าวของตนเองซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่องค์หญิงหวงฝู่จิ้งสามารถหาหลิ่วจิ้งพบในทันที
“ท่านแม่ทัพ กลับมาแล้วหรือเ้าคะ” จู่ๆ หั่วอี้ก็เข้ามาในห้องอวี้จิ่นรีบลุกขึ้นคารวะเขา
“นี่พวกเ้ากำลัง…”ตอนเข้ามาหั่วอี้เห็นว่าอวี้จิ่นและหลิ่วจิ้งตัวชิดกันมากแต่กลับมองไม่เห็นว่าพวกนางกำลังทำอะไร
ดวงตาของหลิ่วจิ้งขยับหนหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ข้าปวดหัวกำลังให้อวี้จิ่นช่วยนวดให้เ้าค่ะ”
“เหตุใดอยู่ดีๆ จึงปวดหัวขึ้นมาอีกเล่าวันนี้ออกไปต้องลมมาใช่หรือไม่ แล้วนี่ท่านดื่มยาหรือยัง?” หั่วอี้เข้ามานั่งข้างตัวหลิ่วจิ้งด้วยท่าทีเป็ห่วงพลางแตะหน้าผากดูว่านางมีไข้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีไข้สีหน้าเขาจึงค่อยดีขึ้นมา
“ออกไปเดินข้างนอกมา แต่วันนี้ดื่มยาตามเวลาแล้วเ้าค่ะ”เป็อีกหนหนึ่งที่หลิ่วจิ้งใช้ดวงตาพูดจาส่งเดชซึ่งเป็ความสามารถเฉพาะตัวของนางได้อย่างเต็มที่สมจริงนัก
อวี้จิ่นต้องกลั้นหัวเราะสุดกำลังจนนางออกมานอกห้องนอนแล้วถึงได้กุมท้องหัวเราะแทบเป็แทบตาย
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] กาถ่ายทราย เป็เครื่องมือบอกเวลาในสมัยโบราณของจีนเป็ถังสำริดบรรจุทราย มีรูให้ทรายไหลออกมาดูเวลาจากระดับของทรายที่เหลืออยู่ว่าอยู่ที่ขีดใด แต่ละขีดเป็่เวลา 1 เค่อ (สิบห้านาที) 8 ขีดเป็เวลา 1 ชั่วยาม (สองชั่วโมง) เป็ต้น เดิมทีใช้น้ำบรรจุแต่เพราะในฤดูหนาวน้ำจะเป็น้ำแข็ง ทำให้ไหลออกมาไม่ได้ ภายหลังจึงใช้ทรายบรรจุแทน
[2] เจรจาเอาหนังพยัคฆ์กับพยัคฆ์ หมายถึงการหารือที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียประโยชน์ ย่อมเป็ไปได้ยาก
