“เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตี้อวี๋คุณพูดได้ดูดีนี่ เซ็นสัญญากับคนคนหนึ่งไม่สำเร็จ มันจะมีผลกระทบอะไรมากมายกับตี้อวี๋หรือ? เลิกสวมหมวกทรงสูงให้ตัวเอง[1]เสียที พูดเหมือนคุณกำลังทำเพื่อบริษัทอย่างนั้นแหละคุณคิดอะไรอยู่ผมรู้ดีกว่าคุณอีกคุณใช้ชื่อตี้อวี๋ในการกอบกู้หน้าตัวเองต่างหากล่ะถึงได้ทำแบบนี้คิดว่าผมไม่รู้เหรอ?” หลินเซวียนหัวเราะเย้ยหยันด่าเสียงดังลั่นโดยไม่ไว้หน้าฝู่ผิงเลยสักนิด
สีหน้าฝู่ผิงดูไม่จืดนัก
เลขาฯ ติงที่ยืนอยู่นอกประตูฟังอย่างตื่นตระหนกพลันคิดถึงเื่ที่หลินเซวียนเคยพูดไว้ได้ว่าถ้าเขาะเิอารมณ์เมื่อไรก็ให้โทรศัพท์หาเจาเยี่ยเธอจึงรีบล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาเจาเยี่ย
เจาเยี่ยเพิ่งอาบน้ำเสร็จเตรียมจะเป่าผมก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอกำลังโชว์เบอร์โทรศัพท์ของเลขาฯ ติงเขาถอนหายใจแล้วรับสาย ไม่ทันรอให้เธอได้เอ่ยปากก็พูดว่า “ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” จากนั้นวางสายทิ้งไปั้แ่หลินเซวียนรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารตี้อวี๋แล้ว ทุกครั้งที่เลขาฯติงโทรศัพท์หาเขา ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการขอให้เขาช่วยระงับความโกรธของหลินเซวียนเพื่อไม่ให้หลินเซวียนด่าพนักงานจนเตลิดหนีไป แต่เวลาที่โทรหาเขาทุกครั้งมักจะเป็ตอนที่เขาอารมณ์ไม่ดีและไม่อยากออกไปข้างนอก
“เอาแต่ใจแบบนี้จะเป็ผู้บริหารที่ดีของตี้อวี๋ได้อย่างไร ” ปากบ่นว่าไป แต่ในใจของเจาเยี่ยกลับมีความสุขอยู่บ้างไม่ใช่เื่ง่ายที่จะมีคนทำเพื่อเขามากมายขนาดนี้
เขาเปลี่ยนชุดง่ายๆ พร้อมกับเรียกผู้ช่วยผู้จัดการให้ขับรถมาลงจากตึก จากนั้นขึ้นรถและมุ่งหน้าไปตี้อวี๋ พอขึ้นไปถึงชั้น 22 ก็ได้ยินเสียงก่นด่าของหลินเซวียน
เจาเยี่ยที่ปกติใบหน้าไร้ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนสีหน้าห้องทำงานของหลินเซวียนเป็ห้องเก็บเสียงที่ดีที่สุดห้องหนึ่งการที่จะให้เสียงตัวเองเล็ดลอดออกมาได้ขนาดนี้ คงต้องจงใจอย่างมากทีเดียวเชียว
“ซุปเปอร์สตาร์เจาคุณมาแล้ว” เมื่อเห็นเจาเยี่ย เลขาฯน้อยเหมือนเด็กที่ไขว่คว้าเส้นฟางช่วยชีวิตไว้ได้ รีบกระโจนมาตรงหน้า
“อืม” เจาเยี่ยตอบกลับเสียงเบาเดินไปถามไป “ทำไมหลินเซวียนอารมณ์เสียอีกแล้ว?”
“คืออย่างนี้ค่ะฝู่ผิงใส่ร้ายป้ายสีกู้หลานอันผู้ที่ชนะเลิศการแข่งขันแต่ไม่เซ็นสัญญาเพื่อรักษาหน้าของตัวเองไว้ผลคือใครจะคิดว่ากู้หลานอันจะะโออกมาชี้แจงด้วยตัวเองแถมยังถูกคนเปิดโปงว่าเขาคือทายาทแห่งเหิงอันกรุ๊ป” เลขาฯพูดจบในลมหายใจเดียว พร้อมสูดลมหายใจเข้า
กู้หลานอันเจาเยี่ยขมวดคิ้วเบาๆ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าคนคนนี้จะเป็คนมีสถานะสูงขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นก็คืออยากใบ้ว่า้าให้เขาเป็ของเล่นของเขางั้นเหรอ? เหอะ......เจาเยี่ยยิ้มเยาะอย่างไม่แยแสตอนแรกเขาไม่เข้าใจพฤติกรรมแปลกๆ ของกู้หลานอันที่จู่ๆก็มาสารภาพรักกับเขาโดยไร้คำอธิบาย แต่ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้วลูกคนรวยล้วนชอบมีความสัมพันธ์ไปทั่วไม่เกี่ยงว่าจะเป็ชายหรือหญิง [2]
หลินเซวียนที่กำลังด่าได้ตามมาตรฐานของตนเองเมื่อเห็นเจาเยี่ยที่กำลังเดินเข้ามาจากประตูก็แกล้งกระแอมแล้วด่าอย่างขึงขังมากขึ้น เหลือก็แต่พุ่งไปต่อยตีกับฝู่ผิงเท่านั้นแล้ว
เจาเยี่ยเดินเข้ามาเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาจึงหลับตาลงพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ “หลินเซวียน”
“เจาเยี่ย นายมาได้ยังไง?” หลินเซวียนแสร้งทำเป็ประหลาดใจจ้องเขม็งไปที่เลขาฯ ตัวน้อยที่อยู่ข้างหลังเจาเยี่ยแล้วถาม “เธอเป็คนตามเจาเยี่ยมาใช่ไหม? เื่เล็กแค่นี้ทำไมต้องไปรบกวนเขา?”
“ฉัน……” เลขาฯตัวน้อยทำท่าอยากร้องไห้ ฉันก็แค่ทำตามคำสั่งของคุณนี่นา
“เอาล่ะอย่าทำให้เธอลำบากใจเลย” เจาเยี่ยไม่ได้เผยกลอุบายตื้นๆ ของเขา หันไปทางเลขาฯผู้ช่วยผู้จัดการกับฝู่ผิง ก่อนเอ่ยว่า “พวกคุณออกไปเถอะ”
ฝู่ผิงชำเลืองไปที่หลินเซวียน เห็นหลินเซวียนโบกมือพลันรู้สึกโล่งอกและเดินออกไปด้วยสีหน้าเ็า
เชิงอรรถ
[1] สวมหมวกทรงสูงให้....(ภาษาจีน 给…戴高帽子) หมายถึง ยก...ข่มคนอื่น, ยก...ให้สูงเหนือคนอื่น
อธิบายเสริมจากนักเขียน
[2] หมายเหตุ : ที่เจาเยี่ยคิดแบบนี้ไม่ใช่เพราะอคติกับลูกคนรวยแต่ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกลูกคนรวยคนหนึ่งะโออกมาสารภาพรักซึ่งตอนหลังลูกคนรวยคนนั้นก็ถูกเขาต่อยกลับไป)