เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าโจวเฉิงเป็คนรวย
แต่เธอไม่นึกว่าโจวเฉิงจะรวยขนาดนี้ สมุดบัญชีเงินฝากเจ็ดแปดเล่มรวมๆ กันแล้วมีเงินถึงสี่แสนเจ็ดหมื่นหยวน
“เธอให้คังเหว่ยซื้อบ้านหลังเล็กอีกหลายหลังด้วยหรือ”
โจวเฉิงพยักหน้า “มีหลังหนึ่งที่ราคาสูงหน่อย ทว่าที่เหลือราคาถูกๆ ทั้งนั้น”
มีแค่หลังเดียวที่มีทำเลที่ตั้งดีเป็พิเศษ โจวเฉิงจึงอยากเก็บไว้เป็เรือนหอของตนเอง และเขาได้เชิญผู้เช่าในนั้นให้ย้ายออกไปหมดแล้ว ส่วนบ้านหลังอื่นทำเลดีหรือไม่ ตัวบ้านเก่าหรือเปล่า โจวเฉิงไม่กังวลแม้แต่น้อย เขาแค่ซื้อมาทิ้งไว้อย่างนั้น เพียงเพราะแฟนสาวของเขาบอกว่าต่อไปราคาบ้านจะพุ่งสูงขึ้น ทว่าด้วยพลังจินตนาการของโจวเฉิง เขาไม่มีทางคาดถึงว่า คำว่าพุ่งสูงขึ้นคือการพุ่งจากหลายหมื่นเป็หลายสิบล้าน
ท่านเศรษฐีโจวพูดอย่างสบายอารมณ์เหลือเกิน เซี่ยเสี่ยวหลานถือสมุดบัญชีพวกนี้แล้วรับรู้ได้ถึงความตั้งใจจริงของเขา
เธอเคยได้ยินว่าหลังคบกันฝ่ายชายจะมอบบัตรเงินเดือนให้ฝ่ายหญิงเป็ผู้ดูแล ส่วนที่ว่าสมุดบัญชีมีเยอะหรือเปล่าอย่าเพิ่งกล่าวถึง หลักๆ ต้องดูว่าจำนวนเงินในบัญชีนั้นมีมากน้อยเท่าไร
เงินสี่แสนเจ็ดในปี 1984 เรียกได้ว่าเป็จำนวนเงินที่ครอบครัวกินเงินเดือนทั่วไปไม่กล้าใฝ่ฝันถึง
ทว่าโจวเฉิงมอบมันให้เธอทั้งอย่างนี้ อีกทั้งยุคนี้แค่มีรหัสผ่านก็สามารถถอนเงินได้ หากเซี่ยเสี่ยวหลานถอนเงินมาแล้วไม่ยอมรับ เงินสี่แสนเจ็ดของโจวเฉิงก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไปละลายแม่น้ำ แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีทางทำแบบนั้น โจวเฉิงยอมมอบเงินเก็บทั้งหมดให้กับเธอ นี่คือการแสดงออกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ
เซี่ยเสี่ยวหลานจะใช้เงินก้อนนี้อย่างไร เธอควรอธิบายความคิดของตนให้โจวเฉิงเข้าใจอย่างชัดเจนเสียก่อน
“เฉินซีเหลียงคนนี้ทำธุรกิจเก่งมาก แต่เขาเป็พวกชอบตัดสินใจเองโดยพลการ ดังนั้นเงินก้อนนี้ฉันจะไม่เอาไปลงทุนกับเขาทั้งหมดหรอก”
ใครจะกล้าเอาไข่ไก่ไปฝากไว้ในตะกร้าเดียวกัน กระจายเงินลงทุนย่อมเท่ากับการลดความเสี่ยงไม่ใช่หรือ
โจวเฉิงเองก็คิดถึงปัญหานี้เช่นกัน “เธอขอให้ฉันเชื่อใจคนอื่น แต่อย่างไรฉันก็เชื่อใจเธอมากกว่า ทางด้านเฉินซีเหลียงตอนนี้ฉันเห็นด้วยกับความคิดของเธอ ทว่าหากเธออยากทำอย่างอื่นเพิ่ม เงินที่เหลือเธอสามารถจัดสรรได้ตามที่้า”
ทำธุรกิจกับคนอื่นยังได้ แล้วทำไมจะจับมือร่วมกับแฟนตัวเองไม่ได้ล่ะ
อย่างไรก็ตามโจวเฉิงเกลี้ยกล่อมเซี่ยเสี่ยวหลานไม่สำเร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานยินดีช่วยโจวเฉิงดูแลเงิน แต่จะไม่เอาเงินของตนกับเขามาปะปนกันแน่นอน นี่ไม่ใช่การแบ่งแยกฉันกับเธอ แต่เพราะเธอคิดเผื่ออนาคตของโจวเฉิงจากใจจริง... ใช่ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่หวั่นไหว หากนำเงินสี่แสนเจ็ดของโจวเฉิงมารวมเข้ากับเงินของเธอ เท่ากับตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือถึงห้าแสนหยวน การที่มีเงินก้อนโตขนาดนี้อยู่ในมือ ขอเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี เธอก็คงนำหน้าคนรุ่นเดียวกันไปมากโข
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานทำแบบนั้นได้หรือ?
ถึงตอนนั้นหากตระกูลโจวถามว่า วัตถุภายนอกพวกนี้เธอได้แต่ใดมา เซี่ยเสี่ยวหลานคงทรงตัวไม่อยู่อย่างแน่นอน!
เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ที่หน่วยงานของโจวเฉิงจนถึงบ่ายสี่โมง ก่อนจะบอกลาเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ ตอนโจวเฉิงลงไปส่งเธอที่ชั้นล่างก็เจอเข้ากับภรรยาของหัวหน้า พี่สาวคนนี้คือคนที่โน้มน้าวให้เซี่ยเสี่ยวหลานเอ่ยปากขอโทษเกาเฟย ภายหลังโจวเฉิงกลับจากการฝึกทหาร แม้เขาจะไม่ได้ขอโทษเกาเฟย และยังคงยืนกรานว่าตนไม่ได้กระทำผิด แต่วิธีการจัดการกับปัญหาของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนเขาเย่อหยิ่งไม่คิดที่จะอธิบายอะไร ทว่าตอนนี้เขารู้สึกว่าพูดแค่ไม่กี่คำหาได้เหนือบ่ากว่าแรงไม่ ดังนั้นปัจจุบันที่หน่วยงานคนเกินครึ่งจึงเชื่อมั่นใจตัวเขา
ครั้งก่อนทะเลาะกันขนาดนั้น ภรรยาหัวหน้านึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่มาที่หน่วยงานอีกแล้ว
นึกไม่ถึงว่าคนหนุ่มสาวจะรักกันดี อีกทั้งท่าทางยังเหมือนไม่เคยผิดใจกันแม้แต่น้อย เซี่ยเสี่ยวหลานราวกับลืมความบาดหมางที่เกิดขึ้นไปจนสิ้น พลางเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเรียกเธอว่าพี่สะใภ้อีกด้วย
ภรรยาหัวหน้าวางมาดเกินไปคงดูไม่งาม คิดแล้วเธอจึงหยุดเดิน ก่อนพูดคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่กี่คำ
“พิธีเฉลิมฉลองที่เทียนอันเหมิน บนโทรทัศน์เหมือนจะมีคนหนึ่งหน้าตาคล้ายเธอมาก...”
“น่าจะเป็ฉันเองค่ะ กล้องคงจับภาพมาพอดี ฉันได้ร่วมเดินขบวนเกียรติยศของมหาวิทยาลัยค่ะ”
ภรรยาหัวหน้าเขกศีรษะตัวเองเบาๆ “ดูความจำของฉันสิ! เธอคือนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิงใช่ไหม”
ภรรยาหัวหน้านึกสะท้อนใจ
ครอบครัวข้าราชการอย่างพวกเธอที่พักอาศัยอยู่ในหน่วยงานย่อมไม่มีงานการทำเป็ชิ้นเป็อัน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มาอาศัยอยู่ที่นี่ ต่างจากเซี่ยเสี่ยวหลานที่เป็ถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิง มีการศึกษาสูง อนาคตคงไม่มาสุงสิงกับพวกแม่บ้านเต็มเวลาแน่ๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ไม่เคารพพวกเธอ เพียงแต่คงคุยเื่เดียวกันยาก
สภาพจิตใจของภรรยาหัวหน้าค่อนข้างซับซ้อน มันไม่ใช่ความอิจฉาริษยา เธอแค่รู้สึกสะท้อนใจเท่านั้น
่นี้เกาเฟยไม่มาที่หน่วยงานแล้ว ในที่สุดงานด้านการแพทย์ก็ได้รับการยืนยันที่แน่นอน เกาเฟยจึงกำลังยุ่งกับเื่งานของเธอ อีกทั้งวันนี้ฟางซื่อจงก็ลาหยุดไปเยี่ยมภรรยาในตัวเมือง เมื่อตัวปัญหาทั้งสองไม่อยู่ เซี่ยเสี่ยวหลานมาหน่วยงานของโจวเฉิงคราวนี้จึงสงบเงียบเป็พิเศษ
เธอหิ้วกุ้งกับช็อกโกแลตมาให้โจวเฉิงแค่นิดหน่อย แต่กลับได้สมุดบัญชีเงินฝากมูลค่าสี่แสนเจ็ดหมื่นจากมือของโจวเฉิงเป็ของตอบแทน
เซี่ยเสี่ยวหลานขากลับยังอดคิดไม่ได้ว่าหากถูกคนดักปล้นกลางทางจะทำอย่างไร แต่ความจริงแล้วถนนเส้นนี้มีรถจากหน่วยงานของโจวเฉิงขับผ่านไปมาอยู่ตลอด ความปลอดภัยดีเยี่ยม เป็เธอที่คิดฟุ้งซ่านไปเอง
เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาถึงมหาวิทยาลัยก็เป็เวลาหกโมงเย็นแล้ว เธอโทรไปยังที่พักของเฉิงซีเหลียง และเรียกเขาให้มาทานมื้อเย็นแถวหัวชิง
สหายเฉิงซีเหลียงรอเซี่ยเสี่ยวหลานเรียกตัวมานานแล้ว เขาเดินทางมาถึงร้านอาหารอย่างรวดเร็ว
คุยงานย่อมคุยกันที่ร้านอาหารด้านนอก
หลังจากเฉินซีเหลียงนั่งลงเรียบร้อยก็บอกให้เถ้าแก่ยกอาหารมาวางที่โต๊ะ เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นเขามีท่าทางรีบร้อน จึงปรึกษากับเขาระหว่างรออาหารเสียเลย
“คิดว่า่แรกต้องใช้เงินเท่าไรถึงจะหมุนคล่องหรือ?”
สองวันนี้เห็นได้ชัดว่าเฉินซีเหลียงครุ่นคิดทุกอย่างมาเป็อย่างดี แม้อยากมีแบรนด์ของตัวเองก็ไม่จำเป็ต้องเปิดโรงงานเองเสมอไป การเปิดโรงงานต้องเลี้ยงดูพนักงานจำนวนมาก เสื้อผ้าจะขายดีหรือไม่ เงินเดือนและค่าเช่าคือรายจ่ายประจำที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เฉินซีเหลียงจึงอยากลองตลาดก่อน
ถึงอย่างไรก็มีโรงงานผลิตเสื้อผ้าเฉินอวี่เป็แรงหนุนนี่นา เื่คุณภาพเขาสามารถรับประกันได้
“สองแสน?”
เฉินซีเหลียงลองบอกตัวเลขหยั่งเชิงออกไป
“เื่ราคาล่ะ แบรนด์เสื้อผ้าที่คุณอยากทำ จะเน้นขายราคาถูกเอาปริมาณ หรือเน้นราคากลางๆ แต่มีหลากหลายรูปแบบและคุณภาพดี ส่วนราคาแพงนั้นตัดทิ้งไปได้เลย ตอนนี้คงขายไม่ออกแน่นอน ไหนจะเื่ช่องทางการขาย เสื้อผ้าของพวกเราหากผลิตแล้วจะไปวางขายที่ไหนรึ”
ถ้าส่งไปขายที่ห้างสรรพสินค้าก็คือการขายส่งให้กับคนอื่น มันก็แค่รู้สึกภูมิใจไปเองว่ามีแบรนด์เป็ของตัวเอง แต่ความจริงแล้วยังคงทำธุรกิจค้าส่งเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ
เสื้อผ้าแบรนด์ของจริง ไม่ว่าจะเป็แบรนด์ชั้นนำ หรือแบรนด์ที่ค่อนข้างติดดินอย่าง A.YILIAN [1] เ้าไหนบ้างไม่มีหน้าร้านของตัวเองโดยเฉพาะกัน?
เสื้อผ้าแฟชั่นกับชุดออกกำลังกายมีเส้นแบ่งที่ชัดเจน
้าขายให้คน่วัยไหนเป็หลัก ลูกค้าเป้าหมายคือคนกลุ่มไหน
เซี่ยเสี่ยวหลานรัวคำถามเป็ชุด ทำเอาเฉินซีเหลียงพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ทำแบรนด์ของตัวเองวุ่นวายขนาดนี้เชียวหรือ?
ถ้าอย่างนั้นไม่สู้ทำธุรกิจค้าส่งต่อดีกว่าหรือเปล่า ใช่ว่ามันจะไม่ทำเงินให้กับเฉินซีเหลียงเสียหน่อย
เนื้อสันในผัดถูกยกขึ้นโต๊ะ แต่เถ้าแก่เฉินกลับหมดความอยากอาหารเสียแล้ว เขานึกว่าสองวันนี้ตนได้ขบคิดมาอย่างดี แต่หลายคำถามที่เซี่ยเสี่ยวหลานถามกลับเป็สิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน แน่นอนว่าเขาตอบไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่ง เฉินซีเหลียงเริ่มสงสัยว่าความคิดของตนนั้นถูกต้องหรือเปล่า
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากรุกไล่เกินไป เธอคีบเนื้อสันในเข้าปากตอนที่มันยังร้อนๆ ก่อนจะวางตะเกียบลง
“ลองไปพิจารณาคำถามพวกนี้ดูก่อนเถิด คิดได้เมื่อไรเราค่อยมาคุยเื่ร่วมหุ้นกัน คุณอย่าใจร้อนเกินไป”
หากเฉินซีเหลียงไม่เข้าใจ ก็แสดงว่าเขายังไปไม่ถึงขั้นนั้น
หากใช้คำพูดของคนโบร่ำโบราณก็คือ เพิ่งหัดเดินก็คิดจะวิ่งเสียแล้ว แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะรู้ว่าในอนาคตเฉินซีเหลียงจะประสบความสำเร็จอยู่ไม่น้อย แต่หากต้นกล้าโตเร็วเกินไป เฉินซีเหลียงคงผลาญเงินของโจวเฉิงจนหมดสิ้น ถึงตอนนั้นผู้จัดการบริหารทรัพย์สินผู้ไร้เงินเดือนอย่างเซี่ยเสี่ยวหลาน คงต้องเอาตัวเองชดใช้หนี้ให้โจวเฉิงอย่างแน่นอน
เชิงอรรถ
[1]แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับสุภาพสตรีที่ได้รับความนิยมในประเทศจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้