ทุกคนพยักหน้าให้เย่เฟิง จากนั้นเดินขึ้นบันไดพร้อมกัน ส่วนฉินเยียนหรานอยู่ข้างกายเย่เฟิงไม่ห่างกาย นี่ทำให้หลาย ๆ คนมองมาที่เย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ
เป็ถึงสองหญิงงามแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เซี่ยเชียนชิวกับตู๋กูหลงไม่เป็ไร ถึงอย่างไรตู๋กูหลงก็เป็ผู้แข็งแกร่ง ทั้งสองคนเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก แต่เย่เฟิงผู้นี้นับเป็สิ่งใดกัน แล้วถือสิทธิ์อะไรมาเดินใกล้ ๆ ฉินเยียนหราน? ดอกฟ้ากับหมาวัดชัด ๆ
แม้แต่นี่จ้านเทียนก็ยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก ทุกคนต่างทราบกันดีว่านี่จ้านเทียนชื่นชอบฉินเยียนหราน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดทั้งสองจึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน
บัดนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้คำตอบแล้ว ฉินเยียนหรานชอบเย่เฟิงมากกว่านี่จ้านเทียน แม้เขาจะแข็งแกร่งและเอาชนะเฉิงอ้าวิผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 10 ในรายนามขั้นรวมชี่ได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ทัดเทียมกับนี่จ้านเทียน
“กล้าดียังไงเดินข้างกายฉินเยียนหราน ข้าอยากเห็นนักว่าเย่เฟิงผู้นี้จะตายยังไง!”
จู่ ๆ มีเสียงดังมาจากอัฒจันทร์ ผู้คนชะงักไปชั่วขณะและเข้าใจความหมายของคนนั้น ทั้งยังคิดในใจว่าเย่เฟิงช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียจริง
การได้ยินของผู้ฝึกยุทธ์นั้นดีเยี่ยม ดังนั้นเย่เฟิงย่อมได้ยินในสิ่งที่ผู้คนพูดคุยกัน จึงเหยียดยิ้มอย่างเย็นเยือก ก่อนจะเดินขึ้นบันไดอย่างไม่สนใจ
“วูบ!” ทันใดนั้นอำนาจฟ้าดินมาเยือนเย่เฟิงอย่างฉับพลัน พลังเช่นนั้นหนักราวกับภูผาก็ไม่ปาน
แรงกดดันแตกต่างจากพลังทั่วไป ในอำนาจฟ้าดินแฝงด้วยพลังแห่งวิถี ไม่ใช่สิ่งที่พลังกายบริสุทธิ์จะต่อต้านได้ จำต้องมีความรู้เกี่ยวกับอำนาจฟ้าดินในระดับหนึ่ง
นอกจากเย่เฟิงแล้ว ฉินเยียนหรานและคนอื่น ๆ ก็เป็เช่นนี้ ร่างกายถูกอำนาจฟ้าดินห่อหุ้ม เมื่อถูกกดทับ พลังก็เริ่มถูกผลาญ
“นี่แค่บันไดขั้นที่หนึ่ง อำนาจฟ้าดินก็ทรงพลังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าบันไดขั้นสุดท้ายจะเป็อย่างไร?” เย่เฟิงคิดในใจ ก่อนหน้านี้เขาเรียนรู้อำนาจฟ้าดินได้ในระดับหนึ่ง อำนาจฟ้าดินของบันไดขั้นที่หนึ่งจึงล้มเขาไม่ได้ จากนั้นเขาก็เดินสามก้าวติดต่อกัน
ทุกครั้งที่เยือนบันไดทุกขั้น อำนาจฟ้าดินที่ต้องแบกรับจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีกอย่างอำนาจฟ้าดินเ่าั้จะกัดกร่อนร่างกายของเย่เฟิงด้วยรูปแบบที่ต่างกันไป หากมีความรู้เกี่ยวกับอำนาจฟ้าดินไม่เพียงพอ ก็ไม่มีทางแบกรับมันไหว
ส่วนฉินเยียนหราน นักดาบแขนเดียว และคนอื่น ๆ ก็ตามหลังมาติด ๆ พวกเขาต่างกับเย่เฟิงที่เดินด้วยย่างก้าวสบาย ๆ แต่ละย่างก้าวของพวกเขาช่างดูหนักหน่วงเสียเหลือเกิน
เมื่อถึงบันไดขั้นที่สี่ เย่เฟิงหยุดไปต่อ แต่หลับตาลงพร้อมััวิถีโคจรและท่วงทำนองของอำนาจฟ้าดินที่อยู่รอบ ๆ ตัวอย่างเงียบ ๆ
“เ้าหมอนี่...” ฉินเยียนหรานเห็นเย่เฟิงหยุดไปต่อก็อุทานเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเย่เฟิงคิดจะทำอะไร ใน่เวลาสำคัญเช่นนี้หมอนี่ก็ยังนิ่งเฉย เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นฉินเยียนหรานก็รอเขา โดยไม่เดินขึ้นบันไดต่อ
2,000 คนปีนขึ้นบันไดพร้อมกัน จึงกลายเป็ภาพฉากงดงาม ทำให้เหล่าผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น ซึ่งทุกคนต่างมองบันไดทั้งสองฝั่ง แต่บันไดฝั่งขั้นรวมชี่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากที่สุด
อัตราการผ่านเข้ารอบมีน้อยมาก ดังนั้นเพิ่งเริ่มปีนขึ้นบันไดก็มีศึกต่อสู้ปะทุทันที ผู้คนต่างต่อสู้แย่งชิงเพื่อที่จะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป กระทั่งมีสองสามแห่งเกิดศึกใหญ่ เคล็ดวิชาทุกอย่างถูกปลดปล่อย คลื่นทำลายล้างแพร่กระจาย
ขณะนั้นตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียนอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุด ส่วนเซี่ยเชียนชิวที่ติดตามตู๋กูหลงมาก่อนหน้านี้ก็ถูกทิ้งห่าง
ทั้งสองต่างไม่ยอมกัน พวกเขาปลดปล่อยพลังปราณ เมินแรงกดดันจากอำนาจฟ้าดิน เพียงเวลาสั้น ๆ ก็ขึ้นไปถึงขั้นที่แปด
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างอดใจเต้นโครมครามไม่ได้ ตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียนสมกับเป็ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ไม่ว่าด้านไหนก็ล้วนดีเยี่ยม จนทุกคนต้องแหงนหน้ามองด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
แต่เฉินอ้าวเทียนตามหลังตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียน ร่างเขาเปล่งแสงจ้า ทุกย่างก้าวของเขาล้วนมั่นคง และยังรักษาอันดับที่ 3 ได้ตลอด
ถัดจากเฉินอ้าวเทียนก็เป็เว่ยจี้ ความเร็วของเขาถือว่าว่องไวมาก พลังปราณปะทุออกจากร่างพร้อมแสงโชติ่ห่อหุ้มร่างกาย ราวกับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล ทุกครั้งที่ก้าวออกไป บันไดราวกับสั่นะเืเล็กน้อย เห็นชัดว่าพลังกายของเว่ยจี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ถัดจากนั้นเป็เซี่ยโหวิ จงเทา ลู่เจียง และจ้าวเฉิน พวกเขามีความเร็วสูสีกัน และปีนขึ้นบันไดอย่างต่อเนื่อง
“บันไดนี้ช่างรุนแรงยิ่งนัก เพิ่งเริ่มก็ทิ้งห่างได้มากเพียงนี้ ดูจากการจัดอันดับตอนนี้ ก็เป็ตัวพิสูจน์พลังของคนเหล่านี้แล้วไม่ใช่หรือ!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์กล่าว ทุกคนก็ตาเป็ประกาย ไม่ว่าจะเปล่งแสงที่ใด ผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมืออย่างแท้จริงก็ล้วนเฉิดฉายที่สุดเสมอ
เช่นเดียวกับตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียน เพิ่งขึ้นบันไดไปได้ไม่นาน ก็นำหน้าทุกคนไปไกลแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจทัดเทียม
ด้านเย่เฟิงยังคงหลับตาเรียนรู้บางอย่าง ส่วนฉินเยียนหรานก็อยู่ข้างกายไม่ห่างกาย เมื่อฉินเยียนหรานเห็นนักดาบแขนเดียวและคนอื่น ๆ ตามขึ้นมาทันก็พูดกับพวกเขาว่า “พวกเ้านำไปก่อนเลย ข้าจะอยู่กับเขาที่นี่”
“ได้!” คนเ่าั้พยักหน้า ก่อนจะเดินขึ้นไปต่อ
การประลองรอบนี้จะมีเพียง 100 คนที่จะผ่านเข้ารอบ ดังนั้นพวกเขาจำต้องทำเวลา
“หมอนี่จะทำอะไร? หรือเขารู้ว่าตัวเองมีศัตรูรอบด้านก็เลยไม่กล้าขึ้นไปต่อ?” มีคนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองมาทางเย่เฟิง
หลาย ๆ คนจึงมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาเยาะเย้ย พวกเขาคิดว่าเย่เฟิงกลัวศัตรูจะมาแก้แค้น จึงไม่กล้าไปต่อ
แต่ขณะนั้นมีพลังวิเศษห่อหุ้มร่างเย่เฟิง ทั้งยังแฝงด้วยอำนาจฟ้าดิน ราวกับว่าร่างกายเขาหลอมรวมและสามารถสื่อสารกับพื้นที่แห่งนี้ได้ ทำให้อำนาจฟ้าดินของบันไดขั้นนี้ทำอะไรเขาได้ยาก แรงกดดันที่แบกรับก็ลดลงทีละนิด
“ดูเหมือนว่าเด็กนี่จะเรียนรู้อีกแล้ว”
บนอัฒจันทร์หลัก เยว่กู่พึมพำขณะมองเย่เฟิงด้วยรอยยิ้ม
เหล่าผู้าุโที่มีฝีมือต่างมองเื่นี้ออกและแอบชื่นชมพร์ของเย่เฟิงในใจ
“ดูนั่นสิ ตู๋กูหลงกับนี่จ้านเทียนถึงขั้นที่สิบแล้ว!”
จู่ ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทำให้ผู้คนหันไปมองทางบันไดขั้นที่สิบ จากนั้นพวกเขาเห็นตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียนปรากฏตัวบนบันไดขั้นที่สิบ สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเจตจำนงต่อสู้อันแรงกล้า
“ตู๋กูหลง วันนี้ข้านี่จ้านเทียนจะต้องเอาชนะเ้าให้จงได้!”
เจตจำนงต่อสู้ลุกโชนบนร่างนี่จ้านเทียน เมื่อกล่าวจบ เขาก็เดินไปยังกลองที่อยู่บนบันไดขั้นนั้น
“หึ!”
ตู๋กูหลงได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงเ็า ดวงตาคู่นั้นยังเผยประกายแสงแห่งความชั่วร้าย จากนั้นเขาเดินไปหากลองเช่นกัน “ข้าตู๋กูหลงอยู่ที่นี่ เ้าก็เป็ได้แค่อันดับที่ 2 อยู่วันยังค่ำ!”
ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงที่ด้านหน้ากลองพร้อม ๆ กัน กลองใบนี้มีความสูงพอ ๆ กับคน และแฝงด้วยกลิ่นอายอันเกรงขาม
ตอนนั้นเองมีพลังแผ่ออกจากกลองแล้วเข้าปกคลุมร่างพวกเขาสองคน จู่ ๆ พวกเขารู้สึกอึดอัดและขยับเขยื้อนตามใจไม่ได้
“หมัดเทพา!”
นี่จ้านเทียนแผดเสียงคำราม พร้อมกับพลังปราณที่น่ากลัวพวยพุ่งออกจากร่างเขา ราวกับแสงแห่งา
หมัดของเขาอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างที่น่าทึ่ง ซึ่งหมัดนั้นทะลวงอากาศ ก่อนจะเข้าจู่โจมกลองที่อยู่ด้านหน้า!