จากนั้นครึ่งชั่วยาม ทหารหลวงก็นำร่างไร้ิญญาของพวกมันไปฝัง
หนีเจียเอ๋อร์เชื่อว่าเื่นี้น่าจะมีเงื่อนงำ จึงรีบเขียนจดหมายฝากจิงอวิ๋นส่งไปให้โจวชิงหวา
...
ตกกลางคืน ก็มีชายสวมชุดเขียวหยกะโเข้ามาในจวน ก่อนทะยานผ่านหน้าต่างห้องนอนของเสี่ยวเสวียนเหมือนเช่นทุกครั้ง
กลิ่นอำพันทะเลอันเป็เอกลักษณ์ ทำให้หนีเจียเอ๋อร์รู้ได้ทันทีว่าเป็ผู้ใด
ขณะที่ดวงตายังคงปิดอยู่ ก็รับรู้ได้ถึงความเย็นของปลายนิ้วที่ไล้ริมฝีปากของตนเบาๆ
หนีเจียเอ๋อร์ทำหน้านิ่ว ก่อนลืมตาขึ้น จึงพบว่าตอนนี้ใบหน้าของโจวชิงหวาอยู่ห่างนางเพียงคืบเท่านั้น!
ด้านโจวชิงหวา เมื่อเห็นว่าหนีเจียเอ๋อร์รู้สึกตัวแล้ว ก็ยิ่งโน้มหน้าเข้าไปใกล้…
ทำให้หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกใจหวิวๆ อย่างไรชอบกล
เมื่ออ้อมแขนแกร่งกระชับร่างนางเข้าไปกอดแน่น ก็ยิ่งทำให้ใจเต้นไม่เป็ส่ำ...
“เ้าคิดจะทำอะไร! ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำไม?”
“ก็มันมืด ข้าแค่อยากจะดูว่าเ้าหลับหรือยังเท่านั้นเอง” โจวชิงหวาเอ่ย ก่อนพลิกตัวไปนอนหนุนแขนของตน
“เป็เช่นที่เ้าว่าแน่หรือ?” หนีเจียเอ๋อร์ลุกขึ้นไปจุดเทียนที่หัวเตียง
แสงสีส้มอันอบอุ่น ทำให้ห้องสว่างขึ้น แต่ทุกครั้งที่สายลมเย็นพัดเข้ามา เปลวเทียนก็สั่นไหวราวกับจะดับลงได้ทุกเมื่อ
“แน่สิ!” โจวชิงหวาแสร้งทำหน้าซื่อตาใส
หนีเจียเอ๋อร์ปรายตามอง ก่อนถอนหายใจ “รอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าสักประเดี๋ยว”
โจวชิงหวาผุดลุกขึ้นมานั่ง ฉีกยิ้มกว้าง พลางเอ่ย “จิงอวิ๋นไปพักผ่อนแล้ว หากเ้า้าคนช่วย ก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ”
หนีเจียเอ๋อร์ชะงัก หยิบตำราแพทย์เล่มใหญ่ขึ้นมา ก่อนโยนไปทางอีกฝ่าย “เลิกพูดจาไร้สาระเสียที!”
โจวชิงหวารับตำราเอาไว้ ยกยิ้มยียวน ทำทีเป็เปิดหนังสือในมือ แล้วปิดลงอย่างรวดเร็ว
หนีเจียเอ๋อร์สังเกตเห็นความนูนของหนังสือได้อย่างชัดเจน จึงเปิดออกดู ก็พบกับสร้อยข้อมือไข่มุกราตรีสิบแปดเม็ด ที่ตนเคยใช้เป็สัญลักษณ์บอกทางให้เขา
หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น ในใจตื่นเต้นเหมือนครั้งแรกที่ได้รับมา “ขอบคุณมาก”
โจวชิงหวายกยิ้ม ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
…
ไม่นานนัก หนีเจียเอ๋อร์ก็กลับมาในชุดใหม่ โจวชิงหวาตวัดมือโอบรอบเอว ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานออกจากจวนไป
ในซอยเล็กถัดไปไม่ไกลนัก มีร่างของสือหวู่กำลังรอพวกเขาอยู่ พร้อมม้าหนึ่งตัว
“คารวะนายท่าน คารวะคุณหนูหนี”
หญิงสาวมองม้าตรงหน้า พลางเอ่ยพึมพำอย่างไม่พอใจ “สือหวู่ นายของเ้าตกยากแล้วหรืออย่างไร! ถึงได้เตรียมม้ามาแค่ตัวเดียวเช่นนี้?”
สือหวู่มิได้ตอบอันใด ทำเพียงยกยิ้มบางๆ หนีเจียเอ๋อร์ก็ไม่ใส่ใจ รีบะโขึ้นไปนั่งบนหลังม้าทันที
โจวชิงหวาจึงโต้กลับไปว่า “เพราะเสียเงินซื้อสร้อยข้อมือให้เ้า ข้าถึงต้องประหยัดกว่าเดิมอย่างไรเล่า!”
หนีเจียเอ๋อร์ปรายตามอง “อย่ามาทำเป็พูด วันๆ นึง ไม่รู้ว่าเ้าทำเงินได้ตั้งเท่าใด ฮึ่ม!”
โจวชิงหวาส่ายหน้า ก่อนะโขึ้นซ้อนหลัง มือข้างหนึ่งของเขาจับบังเหียน ส่วนอีกข้างก็โอบรอบเอวของนางไว้ ทำให้ร่างทั้งสองยิ่งแนบชิดเข้าไปใหญ่
สือหวู่มองตามหลังม้าที่วิ่งควบไปจนสุดสายตา ก่อนส่ายหน้า พลางหัวเราะ
…
ณ สุสานขนาดใหญ่ ชานเมือง
พื้นที่ตรงนี้ เต็มไปด้วยเนินดินขนาดเล็กเป็จำนวนมาก
หนีเจียเอ๋อร์มองสถานที่ตรงหน้า พลางลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น นางหันไปหยิบถุงผ้าใต้อานม้าออกมา แล้วยื่นเสียมสองอันให้โจวชิงหวา
“เชิญเ้าก่อน!”
โจวชิงหวารับเสียมมา พลางเลิกคิ้วมองหญิงสาว “กลัวหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์ยืดอก “ใครกลัวกัน!”
ว่าแล้ว ก็แย่งเสียมมา ก่อนลงมือขุดดิน
ผ่านไปครู่ใหญ่ หนีเจียเอ๋อร์ที่หอบหายใจหนัก ก็หันไปมองโจวชิงหวาด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ยังมีหน้ามาถามข้าอีก! อันที่จริงเ้าเองก็กลัว ใช่หรือไม่?”
โจวชิงหวาย่นคิ้วเล็กน้อย “ข้าแค่รักสะอาดต่างหาก!”
หนีเจียเอ๋อร์แสยะยิ้ม “ใจคอเ้า จะปล่อยให้ข้าขุดคนเดียวจริงๆ หรือ? เช่นนั้น ข้าไม่ขุดแล้ว!”
โจวชิงหวาเอ่ยถามเสียงขึงขัง “หากเ้าไม่ขุด จะให้ผีมาขุดแทนหรือ?”
ผี!
นี่คือสิ่งที่นางเกลียดและกลัวเป็ที่สุด ในใจตอนนี้ นึกอยากจะทิ้งเสียม แล้ววิ่งหนีไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้แค่ข่มใจและขุดดินต่อ
เมื่อแผนการไม่ได้ผลดั่งใจ โจวชิงหวาจึงยอมแพ้ เขานั่งลง ก่อนหยิบเสียมขึ้นมา
จากนั้น ก็กลายเป็เขาที่นั่งขุดเพียงคนเดียว โดยมีหนีเจียเอ๋อร์ยืนชี้นิ้วสั่งอยู่ข้างๆ
หลุมไม่ลึกทั้งยังไร้โลงศพ ดังนั้นแค่ขุดไปได้พอประมาณ ก็พบกับร่างไร้ิญญาที่ตามหา
ก่อนหน้านี้หญิงสาวยังแสดงท่าทางหวาดผวา แต่เมื่อเห็นศพจริงๆ กลับมีท่าทีต่างออกไป นางนั่งลงตรวจสอบร่างไร้ิญญาตรงหน้า โดยไร้ความพรั่นพรึง
แน่นอนว่าหนีเจียเอ๋อร์ย่อมจำได้ ว่าร่างตรงหน้านี้ คือหนึ่งในชายสามคนที่จับตัวนางไป
ตรวจดูจากสภาพศพในเบื้องต้น พบว่าริมฝีปากของบุรุษผู้นี้มีสีดำคล้ำ ภายในปากยังมียาพิษตกค้างอยู่ หากเป็คนอื่นคงจะสรุปไปแล้ว ว่าเขากินยาพิษฆ่าตัวตายจริงๆ แต่หญิงสาวกลับไม่หยุดเพียงเท่านี้ ไม่นานจึงพบรอยนิ้วมือปริศนาที่ลำคอ... นิ้วโป้งอยู่ด้านขวา นิ้วชี้อยู่ด้านซ้าย
ไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าผู้ที่ลงมือจะต้องใช้แรงบีบมากขนาดไหน จึงสามารถทิ้งรอยนิ้วไว้ได้ชัดเจนถึงเพียงนี้
โจวชิงหวาที่อยู่ข้างๆ ลอบถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
หนีเจียเอ๋อร์กล่าวว่า “ใช้อำนาจสังหารผู้คนในคุกหลวงได้เช่นนี้ ข้าคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็ใครไปได้ นอกจากเว่ยฉีหราน”
ชายหนุ่มกำลังจะโต้กลับอยู่แล้ว ว่าต้วนอวิ๋นหลานก็สามารถทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน หากดวงตาจะไม่เหลือบไปเห็นรอยสักรูปดอกบัวที่ข้อมือศพเสียก่อน
เพราะโจวชิงหวาจำได้ว่า ตอนที่ลอบเข้าไปในจวนสกุลเว่ย เขาพบว่าข้อมือของทุกคนในจวน ก็มีรอยสักรูปดอกบัวแบบนี้เช่นกัน!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้