จางกุ้ยฮัวคิดว่าในอนาคตนางจะปฏิบัติต่อลูกสาวของนางเหมือนป้าหลี่ซานเสิ่นอย่างแน่นอน ตราบใดที่นางยังอยู่ ก็ต้องปกป้องลูกๆ ให้ได้
ลมเย็นพัดโชยมา กลิ่นหอมของฤดูใบไม้ผลิที่เปียกชื้นโชยเข้าจมูก และพัดผ่านผืนนา ผ่านกำแพงไม้ไผ่ แล้วพัดไปยังสวนผักเงียบๆ จากนั้นก็พัดเส้นผมของแม่ลูกปลิวขึ้นลงอย่างซุกซน
“ดินโคลนในสวนนี้ยังเปียกอยู่ เ้ามาที่นี่ทําไม?” จางกุ้ยฮัวใช้แขนของตนเองโอบบุตรสาวคนรองที่ตัวผอมบาง ไม่อยากปล่อยมือ
หลิวเต้าเซียงเงยหน้ามองใบหน้าเล็กๆ ดวงตาเปล่งประกายสองข้างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่ ย่าโกรธแล้วล่ะ คล้อยบ่ายแล้ว แต่ลุงใหญ่ ลุงรอง แล้วก็อาสี่ ไม่เห็นเงาแม้แต่คนเดียว ตอนนี้ย่ากำลังขว้างถ้วยชาในห้องครัวอยู่”
จางกุ้ยฮัวอดไม่ได้ที่จะกอดหลิวเต้าเซียงไว้แน่นและพูดว่า “เต้าเซียงไม่ต้องกลัว มีแม่อยู่ด้วย”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกขำ แต่นางรับรู้ถึงความรักของแม่ได้อย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าจะมาช้า แต่อย่างน้อยนางก็ทำให้ร่างเดิมที่ไม่ได้รับรู้และจากไปอยู่ปรภพแต่เยาว์วัยก็ไม่ต้องเสียใจทีหลัง
ราวกับฤดูใบไม้ผลิล่วงรู้ความคิดของนาง วนเวียนอยู่รอบกายพวกนางสองคน จากนั้นก็พัดชายกระโปรงจนสะบัดขึ้น ส่งเสียงพั่บๆ อย่างแรงและก้อง ราวกับกำลังตอบรับคำพูดของหลิวเต้าเซียง นางซึ่งอยู่ในปรภพได้เห็นแล้ว มีความสุขยิ่งนัก ที่แท้แม่ของนางก็รักนางอย่างสุดหัวใจ…
จางกุ้ยฮัวพาหลิวเต้าเซียงไปทําอาหารกลางวันที่ห้องครัว ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ขณะเดียวกัน หลิวต้าฟู่ก็พาหลิวซานกุ้ยกลับมาจากไร่นา
ทันทีที่เข้าประตู ก็เห็นหลิวชิวเซียงอุ้มหลิวชุนเซียงนั่งอยู่ตรงบันไดปีกตะวันตกเพื่อตากแดด จึงเอ่ย “ชิวเซียง ลุงใหญ่และคนอื่นๆ ยังไม่กลับมาหรือ?”
“ยังเลย พ่อ!” หลิวชิวเซียงเงยหน้าขึ้นและตอบเขา “แม่หุงข้าวเสร็จแล้ว กำลังจะให้น้องรองไปเรียกปู่กับพ่อกลับมากินข้าว”
หลิวต้าฟู่เห็นว่าเกือบเที่ยงแล้ว ดูไม่ออกว่าสีหน้าของเขาเป็เช่นไร เพียงแต่บอกให้หลิวซานกุ้ยวางจอบสองอันไว้ที่ห้องปีกตะวันออกทิศใต้ นั่นคือสถานที่สำหรับเก็บอุปกรณ์ทำนา
ส่วนตัวเขาเองก็เข้าไปในห้องตะวันออก หลังจากที่หลิวซานกุ้ยเอาเครื่องมือทํานาไปเก็บเรียบร้อย ก็เดินเข้าครัวดื่มน้ำเย็นๆ ไปชามใหญ่ หลิวต้าฟู่ออกมาจากห้อง มือซ้ายถือตะกร้าไว้หนึ่งใบ ด้านในมีประทัด กระดาษ เทียน แล้วก็ผักกาดขาวสามหัว ในนั้นยังมีปลา เนื้อ ไก่ ที่ต้มสุก ส่วนมือขวาถือกระดาษเผาที่พับด้วยกระดาษสีขาวหนึ่งพวง
เขาเตรียมที่จะออกไปข้างนอก แต่เมื่อเห็นหลิวซานกุ้ยออกมาจากห้องครัว จึงลังเลอยู่ชั่วครู่ “ซานกุ้ย ขึ้นเขาไปเยี่ยมปู่กับย่าพร้อมพ่อหน่อย ขอให้ท่านทั้งสองปกป้องคุ้มครองให้เ้ากับสะใภ้ได้คลอดลูกชายในปีหน้า”
“ขอรับ พ่อ ข้ารู้แล้ว” เสียงของหลิวซานกุ้ยฟังดูตื่นเต้นมากกว่าปกติ
หลิวเต้าเซียงกําลังล้างตะเกียบด้วยน้ำร้อนในห้องครัว และนางกระซิบบอกจางกุ้ยฮัวว่า “แม่ ไม่ไปสุสานหรือ? เหตุใดพ่อถึงดีใจเช่นนั้น?”
การปัดกวาดสุสานไม่ใช่เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษหรอกหรือ? เหตุใดพอเป็หลิวซานกุ้ย กลับกลายเป็เื่ดีไปเสียอย่างนั้น?
จางกุ้ยฮัวถอนหายใจ แต่หางตานั้นมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ แล้วเอ่ย “ปีก่อนๆ ปู่กับย่าเ้าไม่ให้พ่อเ้าไปหลังเขา เื่นี้ส่วนใหญ่เป็หน้าที่ลุงใหญ่กับลุงรองของเ้า”
“อาสี่ก็ไม่ไปหรือ?” หลิวเต้าเซียงรู้สึกแปลกๆ
จางกุ้ยฮัวเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในห้องทิศตะวันออกก่อน ไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อทำอะไร ราวกับว่ากำลังวางของบางอย่างที่หนักลงบนโต๊ะ
เหตุใดจึงโกรธอีกแล้ว? หลิวเต้าเซียงขมวดคิ้วและมองไปที่ประตูห้องทิศตะวันออกที่ปิดไว้ หากเปิดประตูบานนั้นก็สามารถตรงมายังห้องครัวได้เลย
จางกุ้ยฮัวกระแอมในลำคอ ครั้งนี้นางกดเสียงค่อนข้างต่ำ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน “อาสี่ของเ้า บางคราก็ไป บางคราก็ไม่ไป ต้องดูว่าเขาอารมณ์ดีหรือไม่ ส่วนพ่อเ้า นี่เป็หนแรก”
ครั้งแรกหรือ?
“เพราะเหตุใด?” หลิวเต้าเซียงรู้สึกแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
จางกุ้ยฮัวทำปากจุ๊ๆ และพูดว่า “ย่าของเ้าสั่งห้าม เ้าก็รู้ ย่ากับปู่ของเ้าน่ะไม่ค่อยชื่นชอบในตัวพ่อเ้า”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหัวใจของปู่และย่าของนางลำเอียงไปจนถึงรักแร้ เพียงเพราะพ่อไม่ได้เติบโตข้างกายพวกเขา ความสัมพันธ์ก็แตกต่างกันเพียงนี้เชียวหรือ?
การปัดกวาดสุสานต้องทำก่อนเที่ยง ด้วยเหตุนี้หลิวต้าฟู่ยังไม่ทันได้กินข้าวเที่ยง ก็ต้องรีบไปทำความสะอาดสุสานให้บรรพบุรุษก่อน กำจัดหญ้าที่ขึ้นตามสุสาน
จนกระทั่งทั้งสองกลับมาก็ตั้งโต๊ะพร้อมที่จะกินข้าว ส่วนหลิวฉีซื่อนั้นปั้นหน้าตึง เดินจูงมือหลิวเสี่ยวหลันออกมาจากห้องทิศตะวันออก
“พวกเขายังไม่กลับมาอีกหรือ?”
เสียงนั้นฟังดูแข็งทื่อมาก น่าจะโกรธเคืองอย่างมากที่บุตรชายสามคนเติบโตและไม่เชื่อฟัง สำหรับหลิวฉีซื่อที่คำพูดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในบ้าน มันคือการท้าทายอำนาจประมุขในบ้านอย่างนาง
คนทั้งโต๊ะต่างมองหน้ากันไปมา อย่างไรก็ตามหลิวเต้าเซียงไม่คิดจะสนใจนาง ส่วนหลิวชิวเซียงเห็นท่าทีของน้องรองก็เลียนแบบ ก้มหน้าต่ำอย่างมีสมาธิ
หลิวซานกุ้ยเองก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนหน้านี้ที่เขาถูกพ่อเรียกออกไปด้วย แม่ของตนก็ส่งเสียงฮึ่มในห้องเสียงดัง
บุตรสาวคนรองบอกว่า เวลาที่ย่าของนางโมโห ให้เลี่ยงการยั่วโมโหนาง จะได้ไม่ต้องหาเื่ใส่ตัว
ใช่แล้ว บุตรสาวคนรองของนางสามารถใช้คำสี่คำในการอธิบายเื่ราว หลิวซานกุ้ยแสดงท่าทีดีใจยิ่งนัก บุตรสาวคนรองเป็ผู้ที่หัวไวในการเรียน อันที่จริงหลิวชิวเซียงเองก็ไม่เลว เพียงแต่เมื่อเทียบกับหลิวเต้าเซียงที่เนื้อในคือผู้ใหญ่ จึงไม่ได้โดดเด่นมากมายนัก
หลิวซานกุ้ยนั่งอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ได้ยินคำด่าทอของหลิวฉีซื่อ เขามัวแต่คิดว่า ควรทำอย่างไรให้บุตรสาวของตนนั้นรู้จักตัวหนังสือมากกว่านี้ ได้ร่ำเรียนมากกว่านี้ การล่วงรู้ทุกอย่างนับว่าไม่เลว
จางกุ้ยฮัวยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ทำกับข้าวเสร็จนางก็ไม่ได้ร่วมโต๊ะ ตอนนี้กำลังให้นมหลิวชุนเซียงตัวอ้วนพีอยู่ในห้องทิศตะวันตก
หลิวฉีซื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบนาง ไฟโกรธในใจก็ยิ่งลุกโชน เรียกชื่อแล้วเอ่ย “ซานกุ้ย เหตุใดพี่ใหญ่เ้าและคนอื่นๆ ถึงยังไม่กลับมา วันก่อนส่งจดหมายมา ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาถึงบ้านวันเชงเม้งหรือ?”
หลิวซานกุ้ยอยากะโขอความเป็ธรรม คนอื่นส่งจดหมายจ่าหน้าถึงหลิวฉีซื่อ แต่ไม่ได้ส่งให้เขา เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ตอบกลับไปว่า “แม่ พี่ใหญ่เขาบอกว่าจะกลับมาก็ต้องกลับมา คงเพราะหลายวันก่อนฝนตก เดินทางไม่สะดวก”
ถ้อยคําเหล่านี้ปลอบโยนหลิวฉีซื่อในเวลาที่เหมาะสม นางคิดว่ามีความเป็ไปได้ แต่นางไม่พอใจคู่สามีภรรยาหลิวเหรินกุ้ย “แล้วพี่รองของเ้าล่ะ? จากตำบลมาถึงบ้านระยะทางไม่ถึงสิบลี้ เหตุใดจึงยังไม่มา? เ้าไม่ได้ไปรับพวกเขาหรือ?”
หลิวเต้าเซียงไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป นี่คือใบหน้าที่หาเื่จริงจังของหลิวฉีซื่อ บุตรชายคนโตกับคนรองของตนไม่กลับมา แล้วเอามาลงที่บุตรชายคนที่สามที่พ่อไม่รักแม่ไม่เอ็นดูแทนทำไม?
“ย่า ย่าถามพ่อข้าก็เท่ากับสูญเปล่า หลายวันมานี้พ่อกับปู่เอาแต่ยุ่งอยู่กับการทำนา คนที่ได้รับจดหมายจากลุงใหญ่คือย่าเอง แล้วเหตุใดจึงมาถามพ่อข้า? พ่อยังรู้ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของย่า แล้วอีกอย่าง ลุงรองเองก็เหลือเกิน ทั้งที่วันนี้คือวันเชงเม้ง รู้ว่าต้องขึ้นสุสานก่อนเที่ยง นี่ก็เที่ยงแล้ว หากว่าใช้การเดินเท้า เวลานี้ก็น่าจะเดินไปกลับตำบลได้สองรอบแล้วนี่นา”
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจความรู้สึกของหลิวฉีซื่อ จัดการฉีกหน้าโดยตรง “ย่า แม้กระทั่งหลานสาวที่โง่เขลา ยังดูออกเลยว่าบ้านลุงรองคงไม่ได้อยากจะกลับมา! อีกทั้งคราวก่อนย่าไล่ตีป้ารองจนหนีออกไป ป้ารองก็เอาข้าวสารกลับไปตำบล ่นี้ไม่มีทางขาดแคลนเสบียงอาหารและข้าวสาร จะรีบกลับมานั่นสิแปลก”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า คำพูดของหลิวเต้าเซียงเปรียบดั่งเข็มที่ถูกทั่งจนเยือกเย็นแล้วทิ่มแทงเข้าที่ขั้วหัวใจของหลิวฉีซื่อ
นางจําเื่ไข่ที่หายไปได้ แม้ว่าครอบครัวของหลิวซุนซื่อจะส่งเนื้อหน้าหมูกลับมา แต่ไข่ห้าใบก็ราคาเจ็ดถึงแปดเหรียญเชียวนา ยิ่งนึกถึงเื่ที่หลิวซุนซื่อบอกว่าข้าวสารบ้านตนเองคุณภาพไม่ดี แล้วยังไม่ขยันหมั่นเพียร จัดการสีข้าวเปลือกให้กลายเป็ข้าวสาร เอาแต่อู้งานี้เี แล้วเอาข้าวเปลือกไปแลกเป็ข้าวสาร นี่เป็การเสียเปรียบให้กับร้านค้ามากมายเพียงใด?
บางทีอาจจะได้กลับมาสองตำลึง มีเงินเหล่านี้ เงินเก็บส่วนตัวของนางคงมีตำลึงเงินก้อนสีขาวหิมะอีกสองสามก้อน
เมื่อคิดเช่นนี้หลิวฉีซื่อก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเริ่มเขียวคล้ำ เอ่ยในใจว่า สะใภ้รองผู้นี้คงได้เห็นโลกภายนอกมากมาย เกรงว่าคงไปศึกษาแผนการสกปรกไว้มัดใจชายในบ้าน ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความเป็ไปได้สูง มิเช่นนั้นบุตรชายคนรองที่เชื่อฟังเอาใจนาง จะฟังคำของสะใภ้แต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร?
ส่วนคนอื่นๆ บนโต๊ะรวมถึงหลิวเสี่ยวหลัน ล้วนก้มหน้าก้มตากินข้าว เพราะว่าวันนี้คือวันไหว้สุสาน ในบ้านจึงซื้อเนื้อสดใหม่ ปลาหนึ่งตัว แล้วก็ไก่หนึ่งตัว
เนื่องจากหัวใจของหลิวฉีซื่อนั้นจุกอกอย่างร้ายกาจ ข้าวเที่ยงยังไม่ทันได้ทานก็เข้าห้องไปพักผ่อนแล้ว
หลิวเต้าเซียงและหลิวชิวเซียงมีความสุขยิ่งนัก ทั้งสองเปิดกระเพาะและกินกับข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
หลิวเสี่ยวหลันเองไม่ได้สนใจหลิวฉีซื่อนัก ความคิดของนางมีแต่เพียงว่าทำอย่างไรถึงจะดึงดูดความสนใจของคุณชายท่านนั้นได้
หลังอาหารกลางวัน หลิวเสี่ยวหลันได้นําชุดน้ำชาชุดเดียวในครอบครัว ซึ่งเป็ถ้วยชาที่ใช้ในการต้อนรับพี่ชายคนโตและพี่สะใภ้ของนางทุกปี นางชงชาอุ่นๆ หนึ่งถ้วยให้กับคุณชายน้อยที่พักฟื้นอยู่ในห้อง
หลิวเต้าเซียงกำลังอุ้มหลิวชุนเซียงมาเล่นที่ระเบียงทางเดินปีกตะวันตก โดยหลิวชิวเซียงกำลังช่วยล้างจาน ส่วนจางกุ้ยฮัวกำลังใช้มีดเล่มใหญ่หั่นอาหารหมูบนก้นกะละมังไม้อันเก่า
“นี่ใช่บ้านของหลิวฮูหยินหรือไม่?” มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากประตูบ้าน
หลิวเต้าเซียงหันมองไป ชายรูปร่างสูงห้าฟุต ออกไปทางผอม ผิวพรรณขาว สวมชุดสีฟ้า รองเท้าผ้าสะอาดสะอ้าน ชายเสื้อข้างหนึ่งเหน็บอยู่ในที่รัดเอว เป็วัยกลางคนที่ฝึกวรยุทธ์
สายตาของนางหยุดอยู่ที่รองเท้าคู่นั้นชั่วครู่ แล้วเปลี่ยนเป็รอยยิ้มก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านอาถามหาย่าของข้าหรือ? นางพักผ่อนอยู่ด้านใน”
ไม่รอให้คนผู้นั้นได้ตอบ ก็หันไปเปล่งเสียงะโ “ย่า มีคนมาหา”
หลิวฉีซื่อกำลังรู้สึกแย่ ก่นด่าต่างๆ นานา แต่ก็ลุกจากเตียง จากนั้นเลิกผ้าม่านหน้าต่างออกดู เห็นเงาคนๆ นั้น นางเดาว่าคงต้องใช้เงินหลายตำลึงจึงจะแต่งกายเช่นนี้ได้
พลันส่งสายตาอสรพิษพิฆาตไปทางหลิวเต้าเซียง คิดว่าหลิวเต้าเซียงจงใจทำให้นางเสียมารยาทต่อหน้าผู้มาเยือน
หลิวเต้าเซียงส่งยิ้มหน้าไม่อายให้ แล้วอย่างไร? ใครใคร่ติดกับก็ติดไป นางไม่มีอารมณ์มาสร้างภาพลักษณ์เหมือนหลิวฉีซื่อ
“หาข้าหรือ? เ้ามาจากตระกูลใด?”
แม้ว่าหลิวฉีซื่อเองจะเป็เพียงครอบครัวที่ร่ำรวยมีกิน แต่นางก็ชอบที่จะวางตัวเป็ผู้ดีชั้นสูง
“ที่แท้ก็หลิวฮูหยินนี่เอง ขออภัยที่เสียมารยาท”
ผู้มาเยือนยกมือขึ้นคำนับ แล้วเอ่ย “น้องชายของฮูหยินให้ข้าน้อยส่งจดหมายมาให้ แล้วก็ให้นำของกำนัลมาฝากเล็กน้อยขอรับ”
-----