ดวงอาทิตย์ยามสายัณห์ลาลับไปหลังกำแพงเมือง
เ้าของเงาน้อยๆ ที่แสนจะร่าเริงไม่นานก็หายตัวไป
จ้งเยียนยันกายลุกขึ้นเดินกลับไป
ไม่ทันจะรู้ตัวบ่ายวันนี้ก็หมดไปกับการนั่งอยู่ที่นี่เสียแล้ว
เขาไม่มีเวลาพอให้รู้สึกเ็ป ไม่มีเวลาพอที่จะรู้สึกรอคอย หรือกระทั่งกระวนกระวาย
เขาเพียงเอกเขนกนอนเล่นอยู่กับศิษย์น้องตลอดบ่าย
ระหว่างนั้นก็พบกับทหารลาดตระเวนถึงสองครา
ทว่าก็ล้วนสามารถหลอกล่อให้พวกเขาเดินไปทางอื่นได้ทุกครา
ราชครูน้อยก็เป็เด็กซนคนหนึ่ง ทั้งยังแสนจะไร้เดียงสา
ไม่ว่าจะถามสิ่งใดก็ล้วนตอบอย่างซื่อตรง
นับว่าเป็คนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง
จ้งเยียนพลันคิดถึงภาพที่ท่านอาจารย์ลูบเคราพร้อมทั้งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ก็ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมา
แต่ก็รู้สึกอิจฉาด้วยเช่นกัน
ท่านอาจารย์ไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจริงๆ ยามนี้ยังกลับมาเมืองหลวงแล้ว ศิษย์น้องไม่ใช่ชาวเมืองหลวง
ทั้งยังจะมาโอ้อวดให้เขาฟังว่าเขาได้ต้อนเหล่าโจรมาตลอดทาง ทั้งยังได้สมญาวีรบุรุษชุดขาวมาอีกด้วย
ชีวิตที่ผ่านมาของศิษย์น้องน่าสนใจนัก
แต่เขาก็ไม่ได้ถามเื่าครั้งนั้น
เขาไม่กล้าถาม
ด้วยรู้สึกว่ากำลังกินปูนร้อนท้องอยู่
ทว่ากลับมีคำถามเื่อื่นมากมาย
ศิษย์น้องบอกว่าเขามาเมืองหลวงเพื่อเข้าเรียนในสำนักเชิน
ศิษย์น้องน่าจะเป็คนเกียจคร้านเป็อย่างยิ่ง เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ เมื่อกล่าวถึงตำรา เขาก็ทำหน้านิ่วทุกครา
แล้วศิษย์น้องก็ยังตะกละเหลือเกิน
ทว่าศิษย์น้องของเขารูปงามนัก
มองเด็กชายที่เอาแต่พล่ามไม่หยุด ทั้งที่ในปากก็เอาแต่เคี้ยวตุ้ยๆ ไปพร้อมกัน จ้งเยียนพอจะคิดภาพยามที่ท่านอาจารย์ทั้งทำหน้านิ่วทั้งยิ้มแย้มในคราเดียวกันเมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของเด็กชายออก
ดีจริงๆ
ศิษย์น้องสะอาดบริสุทธิ์ราวกับหยกขาว
ยามนี้เขารู้สึกปลอดโปร่งเหลือเกิน
เมื่อส่งศิษย์น้องกลับไปแล้ว
จ้งเยียนก้าวเดินอย่างมั่นคงไปทางตำหนักของพระสนมเอกเล่อ
เขาอยากจะไปเอาดอกไม้กระถางนั้นกลับมา
ไม่ว่าใครจะเป็คนส่งให้นาง ขอให้เอามาเก็บไว้ที่เขาก็แล้วกัน
ในฐานะที่เป็ราชครู คนอื่นๆ ก็ยังพอจะให้เกียรติเขาอยู่บ้าง
เขาเชื่อว่าพระสนมเอกเล่อต้องยกดอกไม้กระถางนั้นให้เขาแน่นอน
……
วังหลวงแห่งนี้ไม่ความลับใดยืนยาว โดยเฉพาะเื่ที่เกี่ยวกับพระสนมเล่อ
ท่านราชครูเอะอะมะเทิ่งจะเอาดอกไม้ให้ได้
องค์หญิงน้อยก็ดูเหมือนว่าจะรู้เื่นี้ทันที
องค์หญิงน้อยมีกิจกรรมใหม่คือ การลงสีภาพวาดดอกบัวของตน
่นี้องค์หญิงน้อยโปรดการวาดภาพลงสีเป็พิเศษ จึงได้เชิญพระสนมหรงที่เชี่ยวชาญเื่นี้ที่สุดให้มาชี้แนะ
เพียงแต่องค์หญิงน้อยดูเหมือนว่าจะไม่มีพร์ในการวาดภาพ
จะว่าไม่มีพร์ก็คงไม่ถูกนัก องค์หญิงน้อยยังเยาว์วัย วาดได้เช่นนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
อีกทั้งองค์หญิงน้อยยังวาดได้น่าสนใจนัก การวาดภาพของนางไม่เป็ไปตามขนบแต่วาดไปตามความเป็จริง
ทุกคราจึงมักจะวาดออกมาได้โดดเด่นน่าสนใจ
สีสันของภาพก็เช่นกัน
องค์หญิงวาดดอกบัวสีเขียว ดูแล้วแปลกใหม่
เมื่อนางรู้ว่าราชครู้าเอาดอกไม้ไปให้ได้ พู่กันในมือน้อยก็พลันชะงักค้างพร้อมทั้งส่ายหน้าเบาๆ
“พี่เยียนช่างกล้าทำลายน้ำใจของข้านัก แล้วบ่ายวันนี้เขาทำสิ่งใด”
นางกำนัลเมื่อได้ยินองค์หญิงตรัสถามก็ตอบขึ้นอย่างนอบน้อม “เช่นเดียวกับวันก่อนๆ เพคะ ท่านราชครูตลอดบ่ายก็นั่งอยู่ข้างกำแพงใต้ดอกไม้เพคะ”
องค์หญิงลงมือวาดดอกบัวต่อแล้วเติมใบลงไปในภาพ จากนั้นก็เพิ่มสีแดงลงไป สุดท้ายดอกบัวจึงถูกทำลายลง
“การวาดภาพที่แท้ก็ต้องใช้พร์เช่นกัน พระสนมหรงช่างเก่งกาจจริงๆ”
……
ดวงจันทร์กระจ่าง ดาวก็พลอยหม่นแสง ครรภ์ของพระสนมเอกเล่อนับวันก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น
ใบหน้าก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความสุขสบายเช่นที่ผ่านมา
หลายวันมานี้นางรู้สึกว้าวุ่นใจนัก
ทว่ากลับบอกสาเหตุแห่งความวุ่นวายใจไม่ได้
ฝ่าาเอาอกเอาใจดูแลนางเป็อย่างดี ทั้งยังทรงรอบคอบไปเสียทุกเื่
เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็ที่ระแวงสงสัย ฮองเฮาและเหล่านางสนมล้วนแต่ไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนนาง ทั้งยังละเว้นการเข้าถวายบังคมให้นางอีกด้วย
ทว่าต่อให้เป็เช่นนี้ นางก็ยังรู้สึกหวาดกลัวว้าวุ่นไปต่างๆ นานาอยู่ดี
วันนี้ท่านราชครูมานำดอกไม้กระถางนั้นไป
ใจนางพลันค้างเติ่ง
คืนนี้ดวงจันทร์งดงามนัก ค่อยๆ ลอยเด่นอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นเหนือยอดหลังคาตำหนัก
สายลมพัดโชยอ่อนๆ
ใบไม้และกิ่งไม้ส่งเสียงเบาๆ ยามไหวตามลม
พระสนมเอกเล่อนั่งรับประทานอาหารอยู่ ทว่า่นี้นางกลับไม่ค่อยจะเจริญอาหารเท่าใดนัก
ฝ่าาจึงได้เสด็จมาร่วมเสวยด้วยพระองค์เอง
ยามอยู่ต่อหน้าฝ่าา ต่อให้นางไม่ชอบเพียงใดก็ยังต้องฝืนกินเพิ่มเสียหลายคำ
“รอจนองค์ชายน้อยคลอดออกมาแล้ว เล่อเอ๋อร์อยากตั้งชื่อเขาว่าอย่างไรดี” ฝ่าาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ยามฝ่าาอ่อนโยนก็นับว่าเป็บุรุษที่ดีเลิศคนหนึ่ง อ่อนโยนกว่าบุรุษทั่วไปมาก กระทั่งเื่ใหญ่อย่างการตั้งชื่อก็ยังถามความเห็นของสตรี
ทว่าพระสนมเอกเล่อก็รู้ดีว่าเื่นี้ไม่เหมาะสม
นางเป็สตรีฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง ั้แ่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยโต้แย้งฝ่าาซึ่งหน้า
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “หม่อมฉันยังไม่ได้คิดเลยเพคะ ฝ่าาคิดว่าอย่างไรบ้างเพคะ”
แสงจันทร์ไม่นับว่าสว่าง จึงพอจะปกปิดใบหน้าบวมที่เต็มไปด้วยกระ อีกทั้งยังออกจะซีดเซียวของนาง ทำให้นางในตอนนี้ดูดีกว่าปกติ
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตรัสขึ้นอย่างเบิกบาน “เช่นนั้นนามว่าจุนดีหรือไม่ ลูกชายข้าต่อไปคนทั้งใต้หล้าต่างก็ต้องเคารพนอบน้อมเช่นเดียวกับความหมายของชื่อนี้”
พระสนมเล่อเพียงเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ไม่ได้ตอบว่าเห็นด้วย ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ทว่าฮ่องเต้เพียงประเดี๋ยวก็เปลี่ยนความคิดขึ้นมา “คำว่าจุนนี้ดูจะดาษดื่นเกินไป ไม่สู้ชื่อถ่งที่มีความหมายว่าใต้หล้ารวมเป็หนึ่งเห็นจะดีกว่า”
รอยยิ้มน้อยๆ ของพระสนมเอกเล่อพลันชะงักค้าง
“ฝ่าา หม่อมฉัน…หม่อมฉัน…”
ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างของพระสนมเอกพลันร่วงลงไปนอนบนพื้น
ใต้แสงจันทร์ที่ส่องลงมา กระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์พลันมีสีแดงสดผุดพรายขึ้นมา
ฮ่องเต้ก็ใเสียจนชะงักค้าง
ราวกับว่าตนได้กลับไปในปีนั้น วันที่ฮองเฮาของตนให้กำเนิดบุตรคนแรก
เืมากมาย...มากมายเหลือเกิน
ทั้งตำหนักอลหม่านขึ้นทันใด เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างวิ่งวุ่นสวนกันไปมา
แม้ว่าจะเตรียมการมานานแล้ว ทว่าเมื่อถึงเวลาเข้าจริงๆ จะเตรียมตัวอย่างไรก็เหมือนยังไม่พอ
แสงจันทร์ยังคงทอแสง
นอกตำหนักของพระสนมเอกเล่อพลันมีสตรีกลุ่มหนึ่งปรากฏกายขึ้น ทุกคนล้วนแต่แต่งกายงดงาม
ฮองเฮาก็เสด็จมาเวลาประจวบเหมาะพอดี ไม่ช้าเกินไปและไม่เร็วเกินไป
สีหน้าของฮ่องเต้พลันหนักอึ้ง
แววโทสะค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ไม่กล้าเข้าไปรบกวน
พระสนมเอกเล่อเริ่มมีอาการเร็วยิ่ง ทั้งที่ยังห่างจากกำหนดอีกร่วมเดือน เช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่
ใครจะล่วงรู้ว่าเด็กจะออกมาได้หรือไม่
เหล่าสตรีที่ล้วนแต่มีความงดงามโดดเด่นเหล่านี้ ในใจล้วนแต่มีจุดประสงค์
ฮองเฮาจ้าวดูมีท่าทีใส่ใจน้อยกว่าคนอื่นมาก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าา ความเฉื่อยชาเมื่อครู่ของฮองเฮาก็หายไปทันที ใบหน้างามดูร้อนรนขึ้นมา
ทั้งสองพระองค์ดูราวกับคู่สามีภรรยาที่กำลังปลอบประโลมกันอยู่
เป็เหล่านางสนมที่มองภาพนี้แล้วรู้สึกเหนื่อยหน่าย
ฮองเฮานับว่าชีวิตมีวาสนานักที่สามารถให้กำเนิดบุตรสาวดีๆ อย่างองค์หญิงได้ กระนั้นเื่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็เื่ที่ใช้รูปโฉมมาเป็อุบาย จะมีอะไรแตกต่างกับพวกนางกัน
เสียงร้องดังขึ้นไม่ขาด เืกะละมังแล้วกะละมังเล่าถูกแบกออกมา จวบจนมีเสียงทารกดังขึ้น
สิริเวลารวมแล้วก็เป็เวลาหนึ่งชั่วยามพอดี
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเสียงทารกร้องดังขึ้น ก็พุ่งเข้าไปในตำหนักทันที
ทารกน้อยตรงหน้ารูปร่างผอมแห้ง ทว่าก็ยังแข็งแรงมีมือมีเท้าปกติ
เช่นนั้นจึงได้หันไปส่งทารกน้อยให้กับฮองเฮาจ้าว
แม้ว่าฮ่องเต้จะให้ความสำคัญกับโอรส ทว่าบัดนี้ก็ยังนึกถึงพระสนมเล่อที่เพิ่งจะให้กำเนิดบุตรให้ตน
เมื่อเขาหมุนกายไปก็เห็นเตียงที่เต็มไปด้วยเืมากมาย บนมีสตรีนางหนึ่งนอนอยู่ ท่าทางดูอ่อนแรงราวกับกำลังจะหมดสติ
ประสบการณ์คราวที่แล้วยังฝังลึกอยู่ในใจเขา จนทำให้เขาอดจะรำลึกย้อนถึงเื่ในอดีตไม่ได้
“เล่อเอ๋อร์ เ้ายังไหวหรือไม่” สตรีบนเตียงหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ใบหน้าบวมเป่ง ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงทั้งยังชื้นไปด้วยเหงื่อ ฮ่องเต้พยายามฝืนใจ เดินเข้าไปถามใกล้ๆ
พระสนมเอกเล่อฝืนลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
นางมองฮ่องเต้คราหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นว่าไกลๆ ฮองเฮากำลังอุ้มบุตรของตนอยู่
นางจึงได้เอ่ยขึ้น “หม่อมฉันคิดชื่อได้แล้วเพคะ เรียกเขาว่าผิงอัน...ผิงอันก็แล้วกัน”
เมื่อนางกล่าวจบ มือก็กำชายฉลองพระองค์ของฮ่องเต้เอาไว้แน่น
สายตาที่มองบุตรของตนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“หม่อมฉันหวังว่าชีวิตนี้เขาจะได้สุขสงบเช่นคำว่าผิงอันเพคะ”
เสียงของพระสนมเอกเล่อค่อยๆ เบาลง ก่อนจะมีเืไหลจากมุมปาก
พร้อมรอยยิ้มที่ยังแข็งค้าง ทว่าเ้าของรอยยิ้มกลับไร้ซึ่งลมหายใจเสียแล้ว
