แม้ทักษะกลั่นิญญาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครที่ไหนจะสามารถฝึกได้ อย่างน้อยผู้มีจิตใจไม่เข้มแข็งก็ไม่มีทางฝึกได้ หลังจากฝึกอาจจะเกิดการย้อนกลับและอาจทำร้ายทั้งตัวเองรวมไปถึงคนอื่นได้
การฝึกนั้นไม่ใช่เื่ง่าย เย่เฟิงในตอนนี้เพิ่งจะก้าวเข้าสู่การฝึก หนทางที่เขาจะเดินต่อไปหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ โครงสร้างร่างกายของเย่เฟิงถูกขัดเกลาซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างที่ฝึกนั้นเย่เฟิงไม่เคยคิดยอมแพ้ เพียงแต่กัดฟันสู้และพยายามควบคุมจิตใจให้มั่นคง
เวลาหนึ่งวันผ่านไปในชั่วพริบตา เย่เฟิงออกจากการฝึก โครงสร้างร่างกายของเขาในเวลานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มีพละกำลังเต็มเปี่ยม ผิวภายนอกปรากฏเป็สีทองแดง เส้นเอ็นตามกล้ามเนื้องดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ต่างจากชายหนุ่มที่ผอมแห้งเฉกเช่นก่อนหน้านี้ ส่วนบริเวณที่ถูกกำปั้นของวานรั์ทำร้าย คิดไม่ถึงว่าจะฟื้นตัวได้เอง
“ทักษะหล่อิญญานี้แข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้” เย่เฟิงสูดหายใจเข้าลึกพลางมองสำรวจร่างกายอันสมบูรณ์แบบของตนที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เขารับรู้ได้ว่าในร่างของตนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
ครู่ต่อมา วานรั์มาเยือนอีกครั้ง ดวงตาโตของมันจ้องมองเย่เฟิง แต่แฝงไว้ด้วยความประหลาดใจอยู่ชั่วครู่แล้วก็วาบหายไป
“ทักษะหล่อิญญาขั้นที่ 2 ไม่เลวนี่” หาได้ยากยิ่งที่วานรั์จะเอ่ยชมเย่เฟิง ก่อนหน้านี้ตาเฒ่านี่ใช้กำปั้นทารุณเขาพลางสบถคำพูดที่ไม่น่าฟังใส่เย่เฟิง กระตุ้นให้เย่เฟิงสบถคำด่า
“ครั้งนี้ท่านจะทรมานข้าอย่างไรอีก?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าต้องเป็การต่อสู้” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนสีดำของวานรั์เผยรอยยิ้มเย็นเยือก จากนั้นตัวหดเล็กลงก่อนจะปล่อยกำปั้นออกไปโดยไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย
“ตาเฒ่าจิตวิปลาส ไม่รู้ว่าจะทรมานข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน” เย่เฟิงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองในใจ จากนั้นเขาก็หลบหลีกการโจมตีของวานรั์อย่างสุดความสามารถ โดยไม่กล้าที่จะประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว
เมื่อหลบหลีกกำปั้นนี้ของวานรั์ เย่เฟิงรับรู้ได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนหากเทียบกับเมื่อวาน พลังกำปั้นของตาเฒ่านี่ไม่คิดว่าจะเพิ่มพลังเข้าไปอีก เดิมทีเย่เฟิงคิดว่าจะต้านทานไว้ได้ แต่เมื่อเจอกำปั้นที่ไร้ความปรานีของวานรั์ บนร่างกายก็ยังคงได้รับาเ็ไม่น้อย ซึ่งดีกว่าเมื่อวานเยอะมาก ผลของการขัดเกลาจากทักษะหล่อิญญาเริ่มปรากฏแล้ว
“ฝึกทักษะหล่อิญญาขั้นที่ 3 ให้สำเร็จภายในหนึ่งวัน หากไม่สำเร็จ เ้าต้องตาย!” สิ้นเสียง วานรั์ก็หายตัวไปอีกครั้ง ทำให้เย่เฟิงแอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของวานรั์ในใจ จากนั้นนั่งขัดสมาธิและเริ่มฝึกต่อ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้านหน้ารูปปั้นที่โลกภายนอก มีบางคนถอนตัวออกจากสภาวะเรียนรู้แล้ว แต่เย่เฟิงยังคงทุกข์ทรมานอยู่ในมิติเสมือนจริง
หกวันผ่านไปในชั่วพริบตา ทุกวันเย่เฟิงจะต้องทนกับกำปั้นที่แตกต่างกันของวานรั์ราวกับตายทั้งเป็ แต่ในการขัดเกลาอันโเี้ที่เปรียบเสมือนนรกนี้ เย่เฟิงก็ฝึกทักษะหล่อิญญาจนถึงขั้นที่ 8 หล่อจิต
ในหกวันนี้ผ่านการขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง แต่ร่างกายของเย่เฟิงก็ขัดเกลาจนถึงระดับที่น่าทึ่ง ทำให้กำปั้นของเขาในเวลานี้มีพลังหลายหมื่นจิน สามารถจัดการผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย การป้องกันทางกายภาพก็น่ากลัวไม่แพ้กัน หากในสถานการณ์ที่ไม่มีเกราะป้องกันหรือทักษะป้องกันตัวใด ๆ เพียงแค่ร่างกายก็สามารถทนต่อการโจมตีของคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันได้ เปรียบเสมือนหนังทองแดงกระดูกเหล็ก
เย่เฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ทั้งที่เขาเพิ่งถูกกำปั้นอันทรงพลังของวานรั์เฒ่าทรมานเมื่อครู่ แต่ตามร่างกายกลับไร้ซึ่งร่องรอยาแที่เด่นชัด แม้กระทั่งเย่เฟิงไม่หลบหลีกก็ยังสามารถรับกำปั้นนับสิบของวานรั์ได้โดยที่ร่างกายไม่ได้ขยับเขยื้อน นี่มันคือการเปลี่ยนแปลงที่เขาพลิกจากหน้ามือเป็หลังมือเมื่อเปรียบกับเจ็ดวันก่อน
ก่อนวานรั์จากไปก็ได้ให้เวลาเย่เฟิงหนึ่งวัน โดยให้เขาฝึกทักษะหล่อิญญาขั้นที่ 9 หล่อิญญาขั้นสุดท้ายให้สำเร็จ
“หนึ่งวันเช่นเคย ตาเฒ่านี่คิดว่าข้าเป็เทพเซียนรึไง?” เย่เฟิงบ่นอุบอย่างไม่พอใจ จากนั้นเขาไขว้ขานั่งขัดสมาธิ ปลดปล่อยจิตเทพและใช้พลังหยวนผสานกับพลังิญญาในจิตใจของเขา เพื่อขัดเกลาจิติญญาของตน ซึ่งต่างจากการขัดเกลาร่างกายก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง การขัดเกลาจิติญญาคือการบ่มเพาะจิตใจ ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนเย่เฟิงจะต้องระวังเป็พิเศษ หากเกิดการผิดพลาดจะทำให้จิติญญาเสียหาย แม้จะไม่ตาย แต่ก็อาจกลายเป็คนเสียสติ
“ฮู่ว!” เสียงสูดลมหายใจดังออกมาจากในร่างของเย่เฟิง อุณหภูมิภายนอกร่างกายค่อย ๆ สูงขึ้น จิตเทพเหมือนแปรเปลี่ยนเป็จิตแห่งเปลวไฟ และพยายามที่จะแผดเผาจิติญญาของเขา
หล่อิญญาคือการวิวัฒนาการของขั้นหล่อจิต ดังนั้นจะต้องใช้จิตเทพที่แกร่งกล้าในการควบคุมขั้นหล่อิญญามากกว่าขั้นหล่อจิต
เย่เฟิงควบคุมอย่างระมัดระวังโดยไม่กล้าประมาท จิตแห่งเปลวไฟเพิ่มอานุภาพในการแผดเผาจิติญญามากขึ้น ความเ็ปที่มาจากก้นบึ้งจิติญญาปรากฏอีกครั้ง ทั้งยังทวีความรุนแรงขึ้นหลายเท่าอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเย่เฟิงซีดลงเล็กน้อย การแผดเผาจิติญญาเช่นนี้ไม่เพียงแต่นำความเ็ปทางกายภาพมาให้เขา ทว่ายังสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อจิตใจของเขา ทำให้เขารู้สึกถึงความต่ำต้อยของตนอย่างสุดซึ้ง
การแผดเผาจิติญญาราวกับว่าจิติญญาถูก่ชิงไป ความรู้สึกเช่นนั้นมิอาจอธิบายได้ด้วยคำพูด ทำให้เย่เฟิงรู้สึกว่าจิตใจของเขากำลังจะพังทลาย
เย่เฟิงกัดฟันสู้อย่างแน่วแน่ จิตแห่งเปลวไฟถูกปลดปล่อย การแผดเผาจิติญญาดำเนินไปอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังมีเปลวไฟปะทุออกจากร่างเย่เฟิง ทำให้อุณหภูมิรอบกายสูงขึ้นฉับพลัน
จิตแห่งเปลวไฟราวกับแทรกซึมออกจากร่างกายของเย่เฟิง ทำให้เกิดเผาไหม้ในห้วงอากาศ และในสถานการณ์เช่นนี้เย่เฟิงไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถทะลวงพันธนาการได้ จะต้องฝึกทักษะหล่อิญญาให้ถึงขั้นหล่อิญญา
ยอดเขาเทียนเสวียนที่โลกภายนอกได้ผ่านไปหกวันแล้ว ซึ่งทุกคนถอนตัวจากสภาวะเรียนรู้ของรูปปั้น ทว่ามีเพียงเย่เฟิงผู้เดียวที่ยังไม่ถอนตัวออกมา ตอนนี้มีแสงประหลาดห้อมล้อมร่างเย่เฟิง ราวกับมีอักขระลึกลับโคจรพร้อมแสงนั่นด้วย
รูปปั้นทั้งแปดยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม อำนาจฟ้าดินเข้มข้น ขณะนั้นมีคนหลายคนมองไปยังรูปปั้นเบื้องหน้าตัวเอง ก่อนสีหน้าของพวกเขาจะเปลี่ยนไป
เฉินอ้าวเทียน ซ่างกวนหง ฉินเยียนหราน และโจวมู่ไป๋ พวกเขารู้สึกอารมณ์ยังค้างคา คล้ายบรรลุถึงสิ่งที่ตน้าจากในรูปปั้น
แต่ในดวงตาของเฟิงเฉียนและเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่เผยประกายความหวาดกลัวครู่หนึ่งแล้วก็จางหายไป ไม่รู้ว่าพวกเขาเจออะไรในนั้น
หลิวอวิ๋นเจี๋ยเป็คนแรกที่ออกจากสภาวะเรียนรู้ ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิ ณ จุดเดิมเพื่อบ่มเพาะพลัง
“สิ้นสุดการเรียนรู้นานแล้ว แต่เหตุใดถึงยังออกไปจากที่นี่ไม่ได้?” แววตาของเฟิงเฉียนทอประกายคมกริบ หลังจากอยู่ที่ยอดเขาแห่งนี้มาหลายวันติดกัน เขาก็เริ่มทนไม่ไหว
“คงต้องรอไอ้สวะนั่นฝึกเสร็จก่อน ถึงจะออกไปได้กระมัง!” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าว ขณะสายตาเหลือบไปมองเย่เฟิงที่จมดิ่งอยู่ในสภาวะเรียนรู้
“ผ่านมาหลายวันแล้วแต่เ้าสวะนี่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ข้าว่าเขาคงกลัวพวกเราจะลงมือจัดการเขา ก็เลยทำนิ่งไปอย่างนั้นกระมัง” เฟิงเฉียนดูถูก ในสภาวะเรียนรู้เมื่อครู่นี้เฟิงเฉียนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็ถูกบีบจนต้องถอนตัวออกมา เมื่อฉุกคิดถึงประสบการณ์ในหนึ่งวันนั้น เฟิงเฉียนก็อดเหงื่อตกไม่ได้ หากให้โอกาสเขาเลือกอีกครั้ง เขาเฟิงเฉียนไม่มีทางไปเจอกับเื่เช่นนั้นอีก เพราะว่ามันน่ากลัวเกินไป เลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก
“มีความเป็ไปได้ ไม่เช่นนั้นด้วยพร์ของสวะนั่นก็ไม่มีสิทธิ์ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นได้” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่พยักหน้าเห็นด้วย ในขณะนั้นเขาเดินไปยังด้านหน้าเย่เฟิงพลางมองด้วยสายตาเยือกเย็น
“ตื่นได้แล้ว!” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่แผดเสียงะโจนคลื่นเสียงแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้แก้วหูของทุกคนปวดชาและดูเหมือนจะสูญเสียการได้ยินไปชั่วขณะ
เย่เฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุดย่อมได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่งผลให้เย่เฟิงตัวสั่นเทา คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ม่านแสงที่ห้อมล้อมร่างกายก็เกิดความผันผวน
มิติเสมือนจริงภายในหัว แน่นอนว่าเย่เฟิงรับรู้ได้ว่ามีคนมารบกวนเขาจากโลกภายนอก แต่ตอนนี้เขากำลังอยู่ใน่สำคัญของการแผดเผาจิติญญา เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ ทำได้เพียงพยายามทำจิตใจของตนให้สงบและมั่นคง
“แม้เ้าจะเสแสร้งต่อไปก็ยังต้องตายอยู่ดี ไม่สู้ตื่นขึ้นมาแล้วรับเพลิงพิโรธของข้าเสียจะดีกว่า” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าว
“ก่อความวุ่นวายในขณะคนอื่นอยู่ในสภาวะเรียนรู้ เ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าสมเพชบ้างหรือ?” ฉินเยียนหรานเดินมา และกล่าวเสียงเย็นเช่นนั้น
“ธุระของข้าเมื่อไหร่กันที่ต้องให้ผู้หญิงอย่างเ้ามายุ่งวุ่นวาย?” ดวงตาของเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ฉายแสงชั่วร้ายขณะมองฉินเยียนหราน นิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาย่ำหยินชดหยาง แม้แต่ศิษย์ในนิกายยังมีนิสัยแปลกประหลาด เซิ่งจื่อเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ถึงเผชิญหน้ากับหญิงงามอย่างฉินเยียนหราน จิตใจก็ยังชั่วร้าย
“เ้าปกป้องเขาขนาดนี้ หรือว่าเื่ของพวกเ้าก่อนหน้านี้ยังทำไม่สำเร็จ?” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวเสียงเย็น
“ศิษย์ที่น่าสมเพช” ฉินเยียนหรานกล่าวพร้อมพลังปราณปะทุออกจากร่าง ราวกับมีพลังหงส์แดงแผ่ซ่านไปทั่วตัว
“ทำไม? ข้าพูดผิดงั้นหรือ?” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย พลางมองเรือนร่างอันร้อนแรงของฉินเยียนหรานอย่างไร้ยางอาย
“ถ้าอย่างนั้นข้าให้ฆ่าเขาตอนนี้ แล้วเ้าก็ปรนนิบัติข้า คิดว่าไงบ้าง?” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าว
“เ้าคนสารเลว ข้าจะให้เ้าชดใช้คำพูดของตัวเอง!” ฉินเยียนหรานถูกทำให้โกรธเกรี้ยวอย่างสิ้นเชิง พลันฝ่ามือหงส์แดงถูกปล่อยไปโจมตีเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่
หลังผ่านการเรียนรู้จากรูปปั้นหงส์แดง พลังของฉินเยียนหรานเปลี่ยนไป พลังของหงส์แดงก็ถูกยกระดับตามไปด้วย และนางยังััได้ถึงธรณีประตูของขั้นรวมชี่จาง ๆ
เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่นิ่งอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าฉินเยียนหรานจะลงมือได้เด็ดขาดเช่นนี้ เขาจึงยกมือขึ้นใช้พลังป้องกัน
ระดับการบ่มเพาะของทั้งสองคนเท่ากัน แต่เมื่อครู่ฉินเยียนหรานได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาจากรูปปั้นหงส์แดง ทำให้พลังพัฒนาอย่างก้าวะโ ดังนั้นในศึกนี้ฉินเยียนหรานจึงเป็ผู้ได้เปรียบ นี่ทำให้สายตาของเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่เปลี่ยนไป สีหน้าก็ดูไม่สู้ดีเท่าไร
“ตายซะเถอะ!” ฉินเยียนหรานแผดเสียงะโ ก่อนจะปล่อยการโจมตีออกไปอีกครั้ง พลังหงส์แดงเต็มเปี่ยมไปด้วยอานุภาพร้ายแรง และไม่ปล่อยให้เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ได้มีเวลาพักหายใจ
เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ปล่อยพลังเข้าต่อต้าน ก่อนการโจมตีทั้งสองจะเข้าปะทะกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่เซถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ตูม!!!” ฉินเยียนหรานซัดฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลไปสามที
สีหน้าของเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ดูแย่มาก เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีของฉินเยียนหรานที่บ้าคลั่งเช่นนี้ ทำให้เขาอดถอยร่นไม่ได้
“ตายซะ!” ฉินเยียนหรานประสานมือควบแน่นพลัง ก่อนจะปล่อยออกไป และที่กลางอากาศเหมือนมีเงาหงส์แดงที่อัดแน่นไปด้วยความน่าเกรงขามปรากฏกาย
สายตาของเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ฝีเท้าถูกบีบให้ถอยร่นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะพ่ายแพ้ นี่ทำให้คนอื่น ๆ ต่างต้องใกับความแข็งแกร่งของฉินเยียนหราน
ณ มิติในหัวของเย่เฟิง ในที่สุดจิตแห่งเปลวไฟที่แผดเผาจิติญญาก็ใกล้จะถึงจุดจบ แต่เย่เฟิงยังคงคุมจิตใจให้มั่นคงและไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่นิด
“ฮู่ว” เมื่อคลื่นลูกสุดท้ายของการแผดเผาจิติญญาด้วยจิตแห่งเปลวไฟผ่านพ้นไป ในที่สุดเย่เฟิงก็ฝึกทักษะหล่อิญญาขั้นที่ 9 หล่อิญญาได้สำเร็จ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้