อาหารของสกุลหูหมู่นี้ปรับปรุงดีขึ้นมาก ร่างกายของสองพี่น้องสกุลหูเต็มไปด้วยความแข็งแรงกำยำ ไม่นานก็แบกไม้ไผ่มัดใหญ่ไว้บนบ่ากลับมา โดยคนหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนหนึ่งตามหลัง
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” ผิงซุ่นกับผิงอันเล่นสนุกอยู่ละแวกใกล้เคียง พอมองเห็นพวกเขามาแต่ไกล ผิงซุ่นก็ะโเสียงลั่นแล้ววิ่งเข้าไป ผิงอันเองก็วิ่งตามหลังมาติดๆ
“โครม” หูฉางหลินโยนไม้ไผ่กองไว้ที่พื้น เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ไอ๊หยา ตัดมาเยอะจนเกินไป หนักเสียจริง”
“ผู้ใดให้พวกเ้าตัดมามากเช่นนี้เล่า เหนื่อยกันแล้วล่ะสิ” หวังซื่อออกมาจากในบ้าน พอเห็นไม้ไผ่บนพื้นกองใหญ่หนึ่งมัด ทันใดนั้นจึงบ่นพวกเขาด้วยความปวดใจ
“ท่านพ่อ ท่านลุง ทำไมพวกท่านไม่จูงเกวียนวัวไป พอแบกไม้ไผ่ลงมาถึงตีนเขาแล้ว ก็สามารถใช้เกวียนวัวลากกลับมาได้ ลดกำลังลงได้เยอะเลยนะเ้าคะ” เจินจูตามหวังซื่อออกมาจากในบ้าน มองไม้ไผ่เต็มพื้นแล้วกล่าวเสนอความเห็นออกมาทันที
“นี่… ข้าคิดไม่ถึงเลย แต่ก็ยังต้องหาคนมาเฝ้าเกวียนวัวไว้อีก” หูฉางหลินมึนงง เคยชินกับการแบกไม้ไผ่ไว้บนบ่า กลับลืมใช้ประโยชน์ของเกวียนวัว
“นี่มิใช่ว่ายังมีผิงซุ่นหรือเ้าคะ แค่ทำหน้าที่ปล่อยวัวกินหญ้า เขาคงเต็มใจเลยล่ะ! ใช่หรือไม่ ผิงซุ่น?” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวกับผิงซุ่นที่อยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้วๆ ข้าเต็มใจ ท่านพ่อ ครั้งต่อไปข้าจะไปเฝ้าเกวียนวัวให้พวกท่านเองขอรับ” ผิงซุ่นยิ้มแล้วตบที่หน้าอกน้อยๆ ของตนเองเบาๆ
“ดี พ่อรู้แล้วล่ะ ครั้งหน้าจะพาเ้าไปด้วยแน่นอน เ้าต้องเฝ้าให้ดีเล่า” หูฉางหลินยิ้มพร้อมตกปากรับคำ
“มา ดื่มน้ำอุ่นๆ กันก่อน เดินมาครึ่งค่อนวันต่างก็กระหายน้ำแล้ว” ยกถ้วยจากชุ่ยจูมาและประคองถ้วยออกไป หวังซื่อส่งให้หูฉางกุ้ยและหูฉางหลิน
เจินจูนั่งยองลง ดูไม้ไผ่ที่สองพี่น้องสกุลหูแบกกลับมา ขนาดใกล้เคียงกัน ทั่วทั้งลำมีสีเขียวแก่ แต่ไม่รู้ว่าเป็ไม้ไผ่ชนิดอะไร ทันใดนั้นนางก็คิดประโยชน์ใช้สอยที่ดีอย่างหนึ่งของไม้ไผ่ขึ้นมาได้ โดยเอาบ้องไม้ไผ่มาเจาะให้ทะลุเพื่อทำท่อส่งน้ำ ละแวกบ้านของพวกนางที่มีไม่กี่หลังอยู่ในพื้นที่ลาดเอียงมาจากลำธารหลังเขา หากใช้ไม้ไผ่สักสองลำก็สามารถต่อกันจนมาถึงบ้านนางได้แล้ว หน้าร้อนก็ทดน้ำได้สะดวกด้วย
อืม... สิ่งนี้น่าพิจารณา เจินจูไตร่ตรองในใจ ที่จริงประโยชน์ของไม้ไผ่มีมากมาย แต่ส่วนใหญ่ใช้ทำสินค้าแบบถักทอ นางทำด้านนี้ไม่ได้เลยสักนิด รอให้สภาพอากาศเปลี่ยนมาดี จะให้หูฉางกุ้ยย้ายไม้ไผ่จำนวนหนึ่งไปปลูกหลังบ้าน ใช้น้ำแร่จิติญญารดสักรอบ ไม่ต้องกลัวว่าจะปลูกไม่รอด เมื่อถึงเวลาก็จะมีหน่อไม้ให้ได้ทานแล้ว ฮิๆ ในมิติช่องว่างพื้นที่เล็กเกินไป ไม่เหมาะจะปลูกไม้ไผ่ที่กินพื้นที่เหล่านี้
เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเที่ยง หูฉางกุ้ยจึงแบกไม้ไผ่ไม่กี่ลำขึ้นบนบ่าแล้วพาลูกๆ กลับบ้าน
แสงแดดตอนเที่ยงตรงเจิดจ้ามากนัก
ภายในลานบ้าน หลัวจิ่งนั่งอยู่หน้าห้อง เบื้องหน้ามีแผ่นหินวางอยู่ ในมือถือปากกาหินกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนพื้นผิวหินนั้น ดวงตะวันฉายแสงส่องมาบนกายเขา ช่างเป็ทัศนียภาพที่สวยวิจิตรมากนัก เห็นเพียงแต่เขาที่ผมดกดำใช้สายรัดสีหมึกผูกไว้ เอียงใบหน้าลงครึ่งหนึ่ง สันจมูกค่อนข้างโด่ง คิ้วต่ำตาเล็กเรียว ขนตาโค้งงอนอยู่ภายใต้แสงแดด ส่วนโค้งที่งดงามสะท้อนออกมา และปอยผมค่อนข้างสั้นหนึ่งช่อปลิวไปมาบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน เป็ลักษณะท่าทางของเด็กหนุ่มรูปงามที่เศร้าสร้อยเดินออกมาจากม่านฮว่า [1]
เมื่อเจินจูเดินเข้ามายังลานบ้าน พลันใกับหน้าตาอันสมบูรณ์แบบของหลัวจิ่ง หลังสติกลับมา จึงตบหน้าอกเล็กของตนเองเบาๆ ชิชะ อยู่ในใจ เด็กชายนี่เพิ่งจะอายุสิบกว่าปีก็หน้าตาหล่อเหลาราวกับปีศาจเช่นนี้แล้ว หากผ่านไปอีกไม่กี่ปีร่างกายเติบใหญ่ขึ้น ไม่รู้ว่าจะคว้าหัวใจของสาวน้อยวัยแรกแย้มได้มากเพียงใด นางจุ๊ปากในใจ
หูฉางกุ้ยเดินอ้อมราวไม้ไผ่ในลานบ้านด้วยความระมัดระวัง วางไม้ไผ่ที่ตัดมาใหม่ไว้ด้านหลังข้างๆ ห้องฟืน
ผิงอันวิ่งพรวดเข้าไปข้างกายหลัวจิ่ง กล่าวถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “พี่ชายยู่เซิง ท่านกำลังทำอันใดหรือ?”
“ข้ากำลังเขียนย่อหน้าที่ต้องใช้เรียนในวันพรุ่งนี้อยู่” สายตาของหลัวจิ่งไม่ได้เหลือบมองเขา ยังคงเขียนบนแผ่นหินอย่างต่อเนื่อง
“หนึ่งวัน…ไม่…อะไร…อาหาร…เอ่อ…” ผิงอันอ่านตะกุกตะกัก
“หนึ่งวันไม่ทานก็หิว ตลอดทั้งปีไม่เย็บเสื้อผ้าขึ้นก็หนาว [2]” หลัวจิ่งอ่านออกมาช้าๆ ทีละคำทีละประโยค “ความหมายของประโยคนี้กล่าวว่า มนุษย์หนึ่งวันไม่ทานข้าวก็จะรู้สึกหิว ถึง่ระยะเวลาสุดท้ายของปีไม่ทำเสื้อผ้าขึ้นก็จะรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาว”
“โอ้ พี่ชายยู่เซิง ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ เลย รู้ตัวอักษรได้เยอะเช่นนี้ แล้วยังเข้าใจหลักการได้มากถึงเพียงนั้นอีก” ในตาของผิงอันประกายความเลื่อมใสศรัทธา เขาเรียนมาหลายวันแล้ว ตัวอักษรมากมายเขาก็ยังไม่รู้จักเลย
“แค่ก…” หลัวจิ่งไออย่างไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย นึกถึงเมื่อนานมาแล้วหลังจากที่เขาอายุห้าขวบได้เล่าเรียนหลุดพ้นจากความโง่เขลา ท่านอาจารย์ฉีผู้ให้คำชี้แนะเขามาโดยตลอดก็ให้คำประเมินแก่เขาว่า ‘ความเฉลียวฉลาดมีเหลือล้น ความขยันหมั่นเพียรมีไม่พอ’
ท่านอาจารย์ฉีควบคุมดูแลบทเรียนของเขาอย่างเข้มงวด ตั้งมาตรฐานกับเขาไว้ค่อนข้างสูง แม้การเรียนของเขาในเมื่อก่อนจะไม่เลว แต่ค่อนข้างอยากทำในสิ่งที่้ามากกว่า ไม่ชอบฝึกฝนเล่าเรียนอย่างเคร่งครัดและตายตัว หลายครั้งมักจะก่อกวนท่านอาจารย์อยู่บ่อยๆ มักยั่วยุจนท่านอาจารย์ไปร้องเรียนกับบิดามารดา แต่มารดาชอบใจอ่อนจึงปิดตาหนึ่งข้างลืมตาหนึ่งข้างกับการกระทำของเขา ส่วนบิดากลับต่างออกไป ท่านจะจับตัวเขาไว้แล้วทำการอบรมร่ายยาวอยู่พักหนึ่ง ทุกครั้งสั่งสอนจนหลัวจิ่งหมดอาลัยตายอยาก เหนื่อยล้าเสียจนอยากจะล้มตัวนอน
เพียงแต่ส่วนใหญ่ท่านพ่อจะยุ่งอยู่กับงาน ท่านอาจารย์จึงทำได้เพียงร้องเรียนกับมารดา ส่วนมากมารดาเพียงโกรธที่เขาไม่ปฏิบัติตาม แล้วจึงปล่อยเขาไปเล่นในสิ่งที่อยากเล่น หมุนเวียนกลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้ เป็ธรรมดาที่การเรียนของเขาจะอยู่ในขั้นธรรมดาอย่างมาก นับวิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาว่าลึกซึ้งไม่ได้เลย หากนำไปเปรียบเทียบกับความมานะบากบั่นและความขยันหมั่นเพียรของคนรุ่นเดียวกันแล้ว ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
แววตาที่เลื่อมใสศรัทธาของผิงอันที่ส่งมา ทำให้เขารู้สึกกดดันอยู่พักหนึ่ง และขาดความเชื่อมั่นในตัวเองเล็กน้อย
เด็กชายสองคน คนหนึ่งสอนคนหนึ่งเรียน เจินจูไม่ได้สนใจพวกเขา กลับเดินไปหน้าราวไม้ไผ่ที่ตากอาหารหมัก พลิกขยับซ้ายขวาไปมา แสงแดดกำลังดีขยับเนื้อพลิกเสียหน่อยจะได้ตากอย่างทั่วถึง
ไม่ไกลนัก เสี่ยวเฮยกำลังนอนเอกเขนกอาบแดดอยู่บนม้านั่งสี่เหลี่ยมตัวหนึ่งด้วยอาการเซื่องซึม เลียหนังท้องอยู่เป็ระยะๆ มันยังคิดจะข่วนม้านั่งเพื่อลับเล็บอีกด้วย แต่นึกถึงคำที่เจินจูเคยตักเตือน มันจึงไม่กล้าลับเล็บกับข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน และภายในสิบวันห้ามมันคิดถึงสิ่งใดก็ตามในมิติช่องว่าง เสี่ยวเฮยมองไปยังนายผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตด้วยความโศกเศร้าเสียใจ กรงเล็บไร้ที่ลับจะเหงามากสักเพียงใด
เมื่อมันอยากลับกรงเล็บ เสี่ยวเฮยจึงะโลงจากม้านั่ง แล้ววิ่งกลับไปทางหลังบ้าน เสาไม้ที่มั่นคงและแข็งแรงของเล้าหมู สามารถฝึกฝนกรงเล็บได้เป็อย่างดี
“เจินจู กลางวันทานบะหมี่ดีหรือไม่?” หลี่ซื่อยื่นกายออกมาจากห้องครัว กล่าวถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“ดีเลย ท่านแม่ เพิ่มไข่ไก่ในบะหมี่เสียหน่อย ไข่ไก่บ้านเราพักนี้รวบรวมไว้เยอะเกินไปแล้ว ไม่ทานจะเน่าเสียได้ หนึ่งถ้วยใส่ไข่ไก่หนึ่งฟองนะเ้าคะ! ข้าจะไปเก็บต้นหอมเสียหน่อย อีกเดี๋ยวจะเข้าไปช่วยท่าน” ระยะนี้ เจินจูใช้พืชผลในมิติช่องว่างเล็กน้อยมาสับเลี้ยงไก่อยู่บ่อยๆ จนไก่ที่บ้านเหมือนฉีดเืไก่ [3] ก็ไม่ปาน มิใช่ว่าเป็เพราะสาเหตุนี้หรอกหรือ ไข่ไก่แต่ละฟองที่เด้งออกมา จึงรวบรวมได้หนึ่งตะกร้าใหญ่ ถึงแม้อากาศจะหนาวเหน็บ แต่ไข่ไก่ที่วางไว้นานก็ยังจะเน่าเสียได้อยู่ดี
หลี่ซื่อยิ้มแล้วตอบรับหนึ่งเสียง ในใจทั้งยินดีทั้งกลัดกลุ้ม หมู่นี้ไก่ของที่บ้านขยันออกไข่เกินไป ไข่เกือบจะกองเต็มตะกร้าอยู่แล้ว
หยิบแป้งหมี่ออกมาจากตู้เก็บของที่เก่าและชำรุด หลี่ซื่อตักแป้งด้วยความชำนาญ เทน้ำผสมแป้งเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวัง
ฝีมือครัวของนางค่อนข้างแย่ แต่บะหมี่ยังคงนวดได้ไม่เลว ขณะนี้ที่บ้านไม่ขาดแคลนแป้งหมี่แล้ว และเด็กสามคนต่างก็ชอบทาน ดังนั้น อาหารมื้อเที่ยงใน่นี้ นางจึงนวดแป้งทำบะหมี่ให้ทานอยู่บ่อยๆ
สวนผักในหน้าหนาวปกติแล้วไม่อาจเพาะปลูกได้ เจินจูดึงหญ้าแห้งที่ปกคลุมสวนผักไว้จนหนาให้เปิดออก จึงเห็นต้นหอมที่เขียวต้นเตี้ยๆ นางเด็ดส่วนที่ติดอยู่กับรากออกมาด้วยความระมัดระวัง หลังเด็ดได้หนึ่งกำมือ จึงเอาหญ้าแห้งมาคลุมไว้้าดังเดิม
ครั้นหยิบต้นหอมเสร็จเดินผ่านกระท่อมกระต่าย เจินจูจึงฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คน ควักขิงสดในมิติช่องว่างออกมาหนึ่งหัว พริกหนึ่งกำและกระเทียมสองกลีบ ทั้งหมดเป็ผลผลิตในมิติช่องว่าง่เวลานี้ แล้วจึงนำกระเทียมมาสับใส่ไว้ในถ้วยเล็ก สำหรับเติมในชามบะหมี่ กลิ่นกระเทียมหอมกระจายรอบทิศ รสชาติอร่อยและเผ็ดยิ่งขึ้น
ในที่สุดบะหมี่ไข่ไก่ห้าถ้วยที่มีไอร้อนกรุ่นก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ กระเทียมสับพริกหนึ่งถ้วยเล็กวางไว้ตรงกลางโต๊ะอาหาร พร้อมกับผักดองหนึ่งถ้วยเล็ก สามารถเพิ่มเติมลงในบะหมี่ของตนเองได้ตามชอบ
“ว้าว ข้าชอบทานสิ่งนี้” ผิงอันตักกระเทียมสับพริกขึ้นมาหนึ่งช้อนคลุกเคล้าเข้ากับบะหมี่อย่างอดใจไม่ไหว คีบบะหมี่ขึ้นมาทานหนึ่งตะเกียบเป่าเล็กน้อย “ฟู่ๆ” แล้วจึงใส่ปากเคี้ยว
“อื้ม... หอมมาก อร่อยมากด้วย” ผิงอันหยีตาแล้วเคี้ยวพลางอุทานออกมาอย่างพอใจ
“เฮ้อ ช้าหน่อย ระวังลวกปากเ้า” ลูกๆ ชอบทาน ในใจหลี่ซื่อย่อมดีใจเป็ธรรมดา
เจินจูตักกระเทียมสับพริกให้ตนเองหนึ่งช้อน ตักให้หลี่ซื่อ หูฉางกุ้ย และหลัวจิ่งคนละหนึ่งช้อนอย่างคิดรอบคอบ แล้วถึงค่อยๆ เริ่มคลุกเคล้าบะหมี่ขึ้น
หลัวจิ่งคลุกบะหมี่อย่างเงียบๆ ที่จริงแล้วเมื่อก่อนเขาเป็คนไม่ทานเผ็ด หลังจากมาอยู่กับครอบครัวสกุลหู กลับได้ทานอาหารรสเผ็ดไม่น้อยเลย เช่น ไส้หมูเผ็ดหอม อยู่ที่บ้านแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยทานมาก่อน แล้วก็ไม่เคยคิดอยากทานเช่นกัน ไม่นึกเลยว่าของสิ่งนี้เขาจะสามารถทานได้ อีกทั้งรสชาติยังไม่เลวจริงๆ
เดิมทีเขาคิดว่าครอบครัวสกุลหูยากจน ไม่สามารถซื้ออาหารประเภทเนื้อทานได้ ทำได้เพียงซื้อพวกเครื่องในราคาถูกมาทำมื้ออาหารที่ต้องปรุงด้วยเนื้อ ผู้ใดจะรู้ ตอนที่ใบหน้าเขาสับสน มองว่าสิ่งพวกนี้สามารถทานได้หรือ ทุกคนบนโต๊ะกลับทยอยกันลงตะเกียบ ทานด้วยใบหน้าที่พึงพอใจอย่างมาก
หลังจากที่เขาสองจิตสองใจทานชิ้นแรกลงไป จึงััได้ถึงรสชาติที่เผ็ดหอม รู้สึกนิ่มหยุ่นในปากทำให้เขาแปลกใจนัก แม้ยังคงเกิดข้อกังขาอยู่ แต่กลับอดกล่าวไม่ได้ว่ารสชาติไม่เลวจริงๆ
หลัวจิ่งทานบะหมี่ในถ้วยอย่างเงียบเชียบ กลิ่นหอมของกระเทียมทั้งมีความเผ็ดนิดๆ และเข้มข้น บะหมี่หนึ่งถ้วยที่ดูแล้วธรรมดาสามัญ ไม่นึกเลยว่าเขาจะทานได้อย่างไม่จุใจ ในระหว่างที่ไม่รู้ตัวก็ซดน้ำแกงไข่จนไม่เหลือสักหยดเดียว
ตอนวางถ้วยลง หลัวจิ่งรู้สึกใกับการกระทำของตนจนต้องยิ้มออกมา เงยหน้าขึ้นมองไปยังทุกคนบนโต๊ะอย่างรีบร้อนเล็กน้อย โชคดีนัก ที่ผิงอันกับหูฉางกุ้ยทานกันจนเกลี้ยงแม้แต่น้ำแกงก็ล้วน “ลื่นเอี๊ยด” ไม่ได้มาสนใจการกระทำของเขา
ขณะที่หลัวจิ่งแอบถอนหายใจอยู่ข้างใน กลับพบว่าเจินจูที่อยู่ด้านข้างกำลังมองมาที่เขา ท่าทางเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ทันใดนั้นหลัวจิ่งเืลมพรั่งพรูแก้มแดงขึ้น ย้ายสายตาไปด้านตรงข้ามอย่างอึดอัดใจ
มองเืฝาดที่น่าสงสัยบนแก้มของหลัวจิ่ง สังเกตเห็นความไม่สบายใจของเขาเข้า เจินจูจึงยิ้มไม่ได้ใช้สายตาหยอกล้อเขาอีก แล้วลุกขึ้นเก็บถ้วยและตะเกียบไปล้าง
อาหารกลางวันทานกันจนพุงกลมเป็ที่น่าพอใจแล้ว เจินจูนั่งลงบนม้านั่งสี่เหลี่ยมที่อยู่หน้าบ้าน และหยีตาเสพสุขกับการอาบแดดด้วยความผ่อนคลาย
“หง่าว” เสี่ยวเฮยะโหนึ่งทีขึ้นมาบนขาของเจินจู ร่างกึ่งนั่งหันมาทำตัวน่ารักกับนาง
“…” เจินจูมองมัน หมดคำจะกล่าวอย่างมาก “เ้าอยากทำอันใดอีก? ข้าวกลางวันไม่ใช่กินอิ่มแล้วหรือ?” ข้าวกลางวันของเสี่ยวเฮยเป็บะหมี่ถ้วยเล็กหนึ่งถ้วย นางสุ่มเสี่ยงจะถูกหลี่ซื่อดุ ที่ตักไข่ให้มันอย่างสุรุ่ยสุร่าย แม้ว่าหลี่ซื่อจะไม่ว่ากล่าว แต่ก็แสดงออกว่าไม่สนับสนุนอยู่บนใบหน้า
“หง่าว” เสี่ยวเฮยกลับแสดงท่าทางน้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็ธรรมออกมา ตะแคงตัวมองมาที่นางด้วยท่าทางน่าสงสาร นานแล้วที่มันไม่ได้ดื่มน้ำแร่จิติญญา กลิ่นอายเหนือธรรมชาติที่เย็นฉ่ำสดชื่นนั้นทำให้เสี่ยวเฮยคิดถึงอย่างมาก
“… ไม่ได้ เ้าดื่มมากไปจะเปลี่ยนเป็แมวปีศาจแล้ว ข้าไม่อยากให้ในบ้านมีปีศาจแสนฉลาดอยู่” เจินจูกล่าวเบาๆ ด้วยความขบขัน แล้วยื่นนิ้วออกไปเคาะจมูกชุ่มชื้นของมันเบาๆ
ม่านตาสีเขียวแก่ของเสี่ยวเฮยมองมายังเจินจูด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ราวกับกระทำการประท้วงนางอย่างไร้เสียง ลูกตาเปียกชื้นคล้ายกับว่าสามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้
“ฮ่าๆ” เจินจูมองอย่างสนุกสนานนัก สิ่งเล็กๆ นี่ ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนไปเป็แมวฉลาดแล้วหรือ ล้วนเข้าใจใช้แผนการเรียกร้องความเห็นใจกับนางแล้ว
หนึ่งคนหนึ่งแมวกำลังหัวเราะคิกคัก หูฉางกุ้ยที่ยกอาหารหมูผ่านไป มองบุตรสาวที่หัวเราะจนตัวโยนด้วยรอยยิ้มซื่อๆ
เชิงอรรถ
[1] ม่านฮว่า คือ การ์ตูน
[2] หนึ่งวันไม่ทานก็หิว ตลอดทั้งปีไม่เย็บเสื้อผ้าขึ้นก็หนาว ประโยคเดิมคือความรู้สึกของคนหนึ่งวันไม่ทานก็หิว ตลอดทั้งปีไม่เย็บเสื้อผ้าขึ้นก็หนาว ความหมายคือธรรมชาติของมนุษย์ หนึ่งวันไม่ทานข้าวสองมื้อก็ต้องทนหิว หนึ่งปีไม่ทำเสื้อผ้าสวมใส่ก็ต้องทนรับความหนาว เป็บนประพันธ์ของเฉาชั่ว ผู้เป็ขุนนางแผ่นดินฮั่นตอนต้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเหวิน (孝文皇帝) และจักรพรรดิจิง (孝景皇帝) ในงานเขียนที่ชื่อว่า “ลุ่นกุ้ยซู่ชู (论贵粟疏) ” เป็บทวิเคราะห์ว่าด้วยการพัฒนาการเกษตร รายงานธุรกิจครัวเรือน แก้ไขปัญหาสภาวะฝืดเคืองของแผ่นดิน
[3] ฉีดเืไก่ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนใน่ทศวรรษที่ 1960 ่ของการปฏิวัติวัฒนธรรม เชื่อว่าการฉีดเืไก่สดๆ เข้าในร่างกายเป็ยารักษาสารพัดโรค เหมือนยาวิเศษที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง (ในปัจจุบัน 打鸡血 กลายเป็ศัพท์สแลง ที่หมายความว่าแฟนคลับที่ติดตามนักร้องดาราอย่างคลั่งไคล้ หรือคนที่มีอาการคึก ตื่นเต้น ลิงโลด)