ลู่ฉี่เสียนพาสวี่ฮุ่ยไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ชื่อเหอเซิ่งงซึ่งเคยไปมาก่อน
พอเถ้าแก่เนี้ยเห็นทั้งสองคนก็ดีใจ รีบถามว่าอยากกินอะไร
ลู่ฉี่เสียนหันไปมองสวี่ฮุ่ย ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของหญิงสาวขาวผ่องราวกับหยกขาว พันผ้าพันแผลสีขาวรอบหน้าผาก ยิ่งขับให้ใบหน้าดูเล็กจ้อย สีหน้าซีดเซียว น่าสงสารยิ่งนัก
ทว่าหญิงสาวกลับไม่ใส่ใจ ยิ้มแย้มสดใสดุจแสงตะวัน
ลู่ฉี่เสียนบอกเถ้าแก่เนี้ย “เอาน้ำแกงตับหมูหนึ่งที่ ปลาตะเพียนนึ่งหนึ่งที่ แกงจืดปวยเล้งกับเืหมูหนึ่งที่ แล้วก็น้ำแกงไก่ตุ๋นอีกหนึ่งที่ ใส่พุทราแดงลงไปในน้ำแกงไก่ด้วยนะครับ”
พอสวี่ฮุ่ยได้ยินว่าเป็อาหารบำรุงเืทั้งหมด เธอก็ใช้มือสองข้างเท้าคาง มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าเ็าเป็น้ำแข็งพันปี เหมือนไม่สนใจสิ่งใดในโลก ทว่ากลับอบอุ่นและละเอียดอ่อนเป็ที่สุด
เถ้าแก่เนี้ยลังเล “ตุ๋นน้ำแกงไก่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง พวกคุณจะรอไหวเหรอคะ?”
ลู่ฉี่เสียนลวกชามและตะเกียบพลางพูดว่า “น้ำแกงไก่จะห่อกลับครับ”
เถ้าแก่เนี้ยร้องอ้อแล้วหันหลังไปเตรียมอาหาร
ลู่ฉี่เสียนวางชามและตะเกียบที่ลวกแล้วลงตรงหน้าสวี่ฮุ่ย ส่วนสวี่ฮุ่ยก็วางชามและตะเกียบที่ลวกแล้วไว้ให้เขาเช่นกัน
ลู่ฉี่เสียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สบตากับสวี่ฮุ่ยแล้วยิ้มให้กัน ก่อนจะถามด้วยความห่วงใย “เจ็บมากไหม?”
สวี่ฮุ่ยยิ้มจนดวงตาโค้งมน “ไม่มากค่ะ เย็บแค่สองเข็ม พี่ลู่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
เธอรินชาให้ลู่ฉี่เสียนพลางถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจู่ ๆ พี่ลู่ถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ?”
ลู่ฉี่เสียนจิบชาอึกหนึ่ง “คุณย่าเห็นข่าวของเธอในหนังสือพิมพ์ เลยให้ฉันมา”
สวี่ฮุ่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็กลับมาสดใสร่าเริงอย่างรวดเร็ว “อย่างน้อยพี่ก็ยังเชื่อคำพูดของคุณย่า ห่วงใยความปลอดภัยของฉัน ฉันก็ดีใจแล้วค่ะ”
ลู่ฉี่เสียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ได้บอกแล้วเหรอว่าห้ามฆ่าตัวตายอีก? ไม่ว่าจะเกิดเื่ใหญ่ขนาดไหนแค่โทรหาฉัน ฉันจะจัดการให้เอง!”
สวี่ฮุ่ยเกาหน้าผากด้วยความรู้สึกผิด
เธอไม่ได้คิดฆ่าตัวตายเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว เธอแค่้าแสดงละครฆ่าตัวตายเท่านั้น
เธอคิดว่ามีเพื่อนบ้านอยู่แถวนั้นมากมาย ยังไงก็ต้องมีสักคนมาห้ามเธอ
แต่ไม่นึกเลยว่าจะเกิดอุบัติเหตุคล้ายกับตอนโดดน้ำคราวก่อน
เธอสะดุดก้อนหินก้อนใหญ่จนหน้าคะมำไปข้างหน้า การแกล้งชนกำแพงเลยกลายเป็ชนกำแพงจริง ๆ
ดูทว่าต่อไปนี้จะเล่นละครฆ่าตัวตายไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นเธออาจจะตายจริง ๆ ก็ได้
“ครั้งหน้าฉันจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ” สวี่ฮุ่ยพูดเสียงแ่เบา
“ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะบิดหูเธอซะ” ลู่ฉี่เสียนพูดจาร้ายกาจที่สุด แต่กลับเป็การแสดงความห่วงใยที่อบอุ่นที่สุด
สวี่ฮุ่ยเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ลู่ฉี่เสียน เห็นเคราเขียว ๆ รอบคางของเขาแวบเดียวก็รู้ว่าเขาอดนอน
คิดในใจว่างานตำรวจนี่ลำบากจริง ๆ ต้องทำงานล่วงเวลาอยู่เรื่อย
แต่เคราเขียว ๆ นั่นกลับยิ่งทำให้เขาดูเป็ผู้ชายมากขึ้น อยากลองเอื้อมมือไปลูบเคราเขียว ๆ นั่นจัง
ลู่ฉี่เสียนเห็นหญิงสาวจ้องมองเขาไม่วางตา จึงยกมือใหญ่ที่มีข้อนิ้วชัดเจนลูบใบหน้าตัวเอง “หน้าฉันมีอะไรติดอยู่เหรอ?”
“เปล่าค่ะ คือพี่หล่อมาก ฉันเลยอยากมอง พอพี่ไปแล้ว ครั้งหน้าจะได้เจอพี่อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” สวี่ฮุ่ยพูดอย่างเขินอาย
คำพูดที่จริงใจเรียบง่ายมักจะกินใจที่สุด หัวใจของลู่ฉี่เสียนเหมือนโดนไฟช็อตไปพักหนึ่ง
เขาไม่กล้าสานต่อคำพูดของสวี่ฮุ่ย กลัวว่าหญิงสาวจะยิ่งยึดติดกับเขามากขึ้น
สวี่ฮุ่ยกินข้าวกลางวันที่บ้านมาแล้ว มื้อนี้เธอจึงไม่ได้กินข้าว แต่ยังถูกลู่ฉี่เสียนบังคับให้กินน้ำแกงตับหมูไปหลายชาม
หลังจากทั้งสองกินข้าวเสร็จ น้ำแกงไก่ก็ยังตุ๋นไม่เสร็จ เถ้าแก่เนี้ยเลยให้ลู่ฉี่เสียนมารับตอนห้าโมงเย็นกว่า ๆ
ลู่ฉี่เสียนบอกให้สวี่ฮุ่ยมารับน้ำแกงไก่ตอนห้าโมงเย็นกว่า ๆ สวี่ฮุ่ยถึงรู้ว่าน้ำแกงไก่นั้นเขาสั่งให้เธอ เธอนึกว่าลู่ฉี่เสียนจะห่อกลับไปกินเองเสียอีก
ลู่ฉี่เสียนสั่งอาหารสำหรับบำรุงกับเถ้าแก่เนี้ยให้สวี่ฮุ่ยเป็เวลาสิบวัน
สวี่ฮุ่ยไม่ให้เขาสั่ง เขาก็ไม่ยอมฟัง บอกว่าเธอเสียเืไปมาก พ่อแม่ของเธอคงไม่ดูแลเื่การบำรุงร่างกายให้เธอหรอก
ถ้าเขาไม่ช่วยบำรุงให้เธออีก ร่างกายก็จะบอบช้ำั้แ่อายุยังน้อย อนาคตจะลำบากเอา
สวี่ฮุ่ยพูดว่า “ร่างกายฉันแข็งแรงดี ไม่ต้องบำรุงก็ได้ค่ะ”
ลู่ฉี่เสียนจ่ายเงินให้เถ้าแก่เนี้ยพลางหลุดปากพูดว่า “ฉันเป็ห่วงเธอ”
พอพูดจบเขาก็รู้ตัวว่าพูดผิด จึงรีบแก้ตัว “ถ้าเป็ผู้หญิงคนอื่นที่เจอเื่แบบเดียวกับเธอ ฉันก็เป็ห่วงเหมือนกัน ยิ่งเธอเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณย่าของฉันด้วย”
สวี่ฮุ่ยยิ้มและพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ”
ลู่ฉี่เสียนไปซื้อน้ำตาลทรายแดงสิบจินที่ร้านสหกรณ์ให้สวี่ฮุ่ยต่อ บอกให้เธอชงดื่ม เพื่อบำรุงเืบ่อย ๆ แล้วค่อยปล่อยเธอกลับบ้าน