อวิ๋นซีอมยิ้มคารวะรัชทายาท รอยยิ้มบนใบหน้านี้ยิ่งกดลึกขึ้นเท่าไร ความเคียดแค้นในใจก็ยิ่งพวยพุ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่นางก็รู้ดีว่า ตนควรจะเสแสร้งอย่างไร นางมองไปยังลู่หลิงฉิงและโอวหยางเทียนหัว ส่งยิ้มให้แล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อทรงร้ายกาจยิ่งนัก พวกเราพาเด็กๆ ไปที่ตำหนักสืออันจริงๆ เพราะเสด็จย่าทรงคิดถึงพวกเขามาก ทำให้พวกเราต้องรั้งอยู่ที่นั่นอยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อได้ก็ล่วงเลยเวลาไปมากแล้ว”
โอวหยางเทียนหัวมองอวิ๋นซีที่ถึงแม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่ทุกถ้อยคำล้วนแฝงไว้ด้วยการเสียดสี สายตาของเขาปรากฏแววมืดคล้ำแปลกประหลาดวาบผ่าน “ในเมื่อเป็เช่นนั้น พวกเราก็ไม่ขัดขวางการไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของพวกเ้าแล้ว”
อวิ๋นซีและจวินเหยียนนำหวานหว่านสามพี่น้องเข้าไปยังตำหนักที่ประทับของเสี้ยวเหวินตี้ เมื่อเข้าไปแล้วเสี้ยวเหวินตี้ก็ให้ความสำคัญกับแฝดชายคู่นี้มาก เขาอุ้มฉางรุ่ยขึ้นมาพลางหยอกล้ออย่างโปรดปรานอยู่เป็นานก็ยังไม่ยอมวางลง การกระทำทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ที่พบเห็นเป็ต้องใ สิ่งที่ควรต้องรู้ ถึงแม้ฝ่าาจะมีพระนัดดาทั้งชายหญิงอยู่แล้ว แต่เมื่อก่อนทำเพียงเมียงมองครั้งสองครั้งเท่านั้น ส่วนการอุ้มเด็กตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ถือเป็ครั้งแรก
เพราะเหตุนี้ นี่จึงเป็การย้ำเตือนให้ทุกคนรู้ว่า บุตรคนโตของหนิงชินอ๋องได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาเป็อย่างมาก สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ ฝ่าาทรงพระราชทานนามของเด็กๆ ด้วยพระองค์เอง อีกทั้ง คนยังถูกฝ่าาอุ้มไว้ในอ้อมพระพาหาอย่างไม่ยอมปล่อย และมีเพียงโอวหยางฉางรุ่ยผู้นี้เท่านั้นที่ได้รับความรักใคร่อย่างที่สุด เนื่องจากนามของหนิงอ๋องซื่อจื่อมีคำว่ารุ่ย ซึ่งเหมือนกับนามของอวี๋อ๋องโอวหยางรุ่ย ดังนั้น ฝ่าาผู้เผด็จการจึงทำกระทั่งให้น้องชายตนเองเปลี่ยนตัวอักษรในชื่อเป็ตัวอื่น
ด้วยเหตุนี้ พระนามของอวี๋อ๋องโอวหยางรุ่ย [1] จึงกลายเป็โอวหยางรุ่ย [2]
อย่างไรก็ตาม เพราะเื่นี้เองก็เป็เหตุให้อวี๋อ๋องอดไม่ได้ให้หงุดหงิดงุ่นง่านไปหลายวัน แต่เมื่อนึกถึงว่านั่นคือพระนัดดาสายตรงของเสด็จพี่ ทั้งยังเป็บุตรของอาซีที่เขาติดค้างไว้มากมายอย่างที่ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจชดใช้ได้หมด ดังนั้น เขาจึงคิดใหม่ว่า สิ่งที่เขาต้องยกให้ก็แค่ชื่อเท่านั้น ต่อให้คนจะเอาชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาไป เขาก็จะไม่พูดอะไรสักคำ
อีกทั้ง แม้คนอื่นจะมองไม่ออก แต่ตัวเขามองออกอย่างแน่ชัด เสด็จพี่ของตนคงคาดหวังกับพระนัดดาผู้นี้ไว้สูงมาก ด้วยเื่นี้ เขาสามารถมองเห็นเค้าลางของบางสิ่งได้รางๆ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่กล้าปักใจ เพราะในพระทัยของเสด็จพี่นั้นไม่ใช่ใครก็สามารถคาดเดาได้
ตอนนั้นที่จวินเหยียนอยู่หานโจว เสด็จพี่เองก็ป้องรัชทายาทนั่นเช่นนี้เช่นกันจนทุกคนพากันเชื่อมั่นว่า เสด็จพี่คงจะไม่เปลี่ยนแปลงองค์รัชทายาทอีกแน่แล้ว กระทั่งว่าร้อยปีให้หลัง [3] คนที่รับตำแหน่งต่อจากพระองค์คาดว่าคงเป็โอวหยางเทียนหัวนี่แหละ
น่าเสียดาย ยามนี้จวินเหยียนกลับมาแล้ว อำนาจในราชสำนักจึงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ตอนนี้พระทัยของฮ่องเต้เป็อย่างไร ไม่ว่าใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ อีกทั้ง ต่อให้ตอนนี้ฮ่องเต้อยากจะแต่งตั้งรัชทายาทคนใหม่ก็ต้องดูว่าจะมีความเป็ไปได้หรือไม่ เพราะหลายปีมานี้แม้โอวหยางเทียนหัวจะไม่ได้ทำอะไรยิ่งใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีผลงานอะไรเลย ยิ่งกว่านั้น คนในฐานะรัชทายาทก็ยังไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยสักครั้ง หากเสด็จพี่จะถอดถอนผู้อื่น เพื่อผลักดันให้โอรสสายตรงของตนขึ้นสู่ตำแหน่ง วันหน้าเมื่อจวินเหยียนขึ้นครองราชย์จักต้องถูกผู้คนติฉินนินทาแน่
อวิ๋นซีมองเสี้ยวเหวินตี้ที่มีท่าทีโปรดปรานลูกของตนถึงเพียงนี้ นางก็ให้เหงื่อตกอีกครั้ง “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงโปรดฉางรุ่ยเพียงนี้จะดีหรือเพคะ? ” การกระทำนี้ถือเป็การสร้างศัตรูให้ลูกชายนาง หากถูกคนรู้เข้าว่าหลานชายสายตรงอย่างฉางรุ่ยเป็ที่โปรดปรานของเสด็จปู่เพียงนี้ วันหน้าก็ไม่รู้ว่าคนเ่าั้จะวางแผนอะไรขึ้นมาอีก
คิดถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็รู้สึกปวดหัว เหตุใดคนตระกูลโอวหยางถึงชอบทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นกัน เหมือนอย่างตอนนั้นก็เ้าสี่โอวหยางเทียนหลาน ส่วนตอนนี้ก็เสี้ยวเหวินตี้
เสี้ยวเหวินตี้มองหลานชายแสนน่ารักในอ้อมแขนตน แค่นเสียงเ็า “เจิ้นรักใคร่ฉางรุ่ย ใครกล้าพูดอะไรก็ลองดูสิว่า เจิ้นจะตัดลิ้นคนผู้นั้นออกมาหรือไม่” เขาเป็ผู้สูงศักดิ์ เป็ฮ่องเต้แห่งแคว้น แน่นอนว่าไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนไม่อาจปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ของคนนู้นคนนี้ได้ รวมถึงโอรสทั้งห้าของตนที่การต่อสู้ระหว่างพวกเขาได้ถูกกำหนดไว้มาั้แ่เกิดแล้ว
แต่ว่า ไม่ว่าพวกเขาจะสู้กันอย่างไร หากใครกล้าสาดน้ำสกปรกมาให้ฉางรุ่ยฉางฮว๋าย เขาผู้เป็ปู่ย่อมไม่ปล่อยคนเ่าั้ไว้แน่ ต่อให้คนพวกนั้นจะเป็ลูกชายและลูกสะใภ้ตน หรือต่อให้จะเป็สตรีในวังหลังของเขาก็ตาม
“เสด็จพ่อสามารถตัดลิ้นคนหนึ่ง หรือสองคนได้ แต่หากว่ามากกว่านั้น เสด็จพ่อจะสามารถตัดลิ้นของทุกคนได้หรือเพคะ? ” อวิ๋นซีพูดด้วยเสียงและสีหน้าเคืองๆ เดิมทีตัวนางเองก็ไม่พอใจเสี้ยวเหวินตี้อยู่แล้ว ดังนั้น ยามที่พูดคุยจึงมีความไม่เคารพอยู่บางส่วน ทั้งยังดูเหมือนเป็การคุยกันอย่างสบายๆ มากกว่า
ถึงกระนั้นอวิ๋นซีก็ไม่ได้รู้เลยว่า การที่นางเดินตามความคิดของตน พูดในสิ่งที่ตนคิด ผลที่ได้รับกลับมาจะยิ่งเป็ตรงกันข้าม เสี้ยวเหวินตี้กลับยิ่งรู้สึกถูกใจลูกสะใภ้ที่ไม่หวาดกลัวตนผู้นี้ยิ่งขึ้น
“เสด็จพ่อ ส่งเด็กให้แม่นมเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเราเองก็ควรจะไปตำหนักหน้ากันได้แล้ว ทว่าอย่างไรเสด็จพ่อคงจำต้องเสด็จไปพร้อมเสด็จแม่ เช่นนั้นพวกเราคงไม่อยู่รบกวนพระองค์ที่นี่แล้ว” พูดถึงตรงนี้ จวินเหยียนก็แสดงท่าทีให้แม่นมเข้าไปอุ้มลูกของเขากลับมา
เสี้ยวเหวินตี้รู้ว่า ไม่อาจรั้งพวกเขาไว้ต่อไปได้ จึงส่งเด็กให้แม่นมแต่โดยดี ก่อนจะให้ถงไห่ส่งคนออกไปด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปนั่งลงบนบัลลังก์ั ในใจคิดถึงถ้อยคำที่ไทเฮาตรัสไว้ก่อนจะกลับมาจากเขาอู่ไถ
หวังว่าเื่ราวจะเป็เช่นนั้นจริงๆ วันหน้ายามที่ต้องไปพบเหล่าบรรพชนตระกูลโอวหยางในปรโลก ตัวเขาก็จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกผิด และทันทีที่เห็นถงไห่เดินซอยเท้ากลับมา เสี้ยวเหวินตี้ก็หันมองไปยังเขา จากนั้นจึงยิ้มถาม “เ้าคิดว่า หนิงอ๋องซื่อจื่อเป็อย่างไร”
ถงไห่ประหลาดใจเล็กน้อย มิคาดว่าฝ่าาจะถามคำถามนี้กับตน เขารีบตอบ “ซื่อจื่อเป็ถึงพระนัดดาสายตรงของฝ่าา แน่นอนว่าต้องดีเลิศที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
เสี้ยวเหวินตี้แค่นเสียงเ็า มองถงไห่ “เ้านี่นะ คำพูดที่ออกมาจากปากเ้า เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้น”
……...........................................................................................
งานเฉลิมพระชนมพรรษาของเสี้ยวเหวินตี้เรียกได้ว่าครึกครื้นยิ่ง จวินเหยียนในฐานะพระโอรสจึงต้องติดตามฮ่องเต้ไปกราบไหว้ที่อารามบรรพชน จากนั้นก็มาร่วมเปิดงานเลี้ยง เริ่มต้นการเฉลิมฉลอง
สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ในวันพระราชสมภพของตน เสี้ยวเหวินตี้จะแต่งตั้งโอรสทั้งสามเป็อ๋อง โดยองค์ชายสามโอวหยางเทียนซิงได้รับแต่งตั้งเป็หลู่อ๋อง องค์ชายสี่โอวหยางเทียนหลานได้รับแต่งตั้งเป็จิ้นอ๋อง และองค์ชายห้าโอวหยางเทียนซื่อได้รับแต่งตั้งเป็อี้อ๋อง
นอกจากจะแต่งตั้งเป็อ๋องแล้วก็ไม่ได้มีเื่อันใดเกิดขึ้นอีก
หลังสิ้นสุดงานเฉลิมพระชนมพรรษาของเสี้ยวเหวินตี้ บรรดาราชทูตจากแคว้นต่างๆ ต่างก็พากันจากไป ทว่า เสี้ยวเหวินตี้กลับรั้งให้เหล่าพานอ๋องอยู่ต่อ และเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าร่วมงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิที่จะจัดขึ้นในต้นเดือนหน้า ทันทีที่อวิ๋นซีได้ยินก็ขมวดคิ้ว มองสามีข้างกาย ก่อนจะเอ่ยถาม “ไปถามเสด็จพ่อหน่อยได้หรือไม่ ให้ครอบครัวเจิ้นหนานอ๋องรีบย้ายไปอยู่ตำหนักสิงกง”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ั้แ่ที่เจิ้นหนานอ๋องย้ายเข้ามา บิดามารดาของนางก็อยู่ในจวนน้อยครั้งนัก ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ก็คิดว่าคงเพราะพวกเขาไม่ชอบที่ในจวนมีคนนอกเข้ามาอยู่ด้วยหลายคนกระมัง
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็ถอนใจเบาๆ “ไม่ต้องไปถามหรอก เสด็จพ่อไม่มีทางเห็นด้วยกับเราแน่ ตอนแรกเป็เพราะเจิ้นหนานอ๋องร้องขอเพื่อเข้าพักที่จวนเรา หากตอนนี้จู่ๆ พวกเราก็ไปถามเสด็จพ่อเช่นนั้น ในสายตาเจิ้นหนานอ๋องคงกลายเป็ว่า เราไม่ต้อนรับให้พวกเขามาพักอาศัยอยู่ด้วย เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเื่วุ่นวายใดขึ้นมาอีก”
เจิ้นหนานอ๋องผู้นี้มีนิสัยประหลาด ไม่อาจเรียกได้ว่าดี และไม่อาจเรียกได้ว่าไม่ดี หากเป็ไปได้เขาก็ไม่อยากจะไปหาเื่คนเช่นนี้เลยจริงๆ แต่อีกฝ่ายพอมาถึงเมืองหลวงก็เอาแต่จับจ้องจวนหนิงอ๋อง
อวิ๋นซีพึมพำด้วยความไม่พอใจ “เรียกได้ว่า เชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยากสินะ ที่สำคัญเทพองค์ใหญ่องค์นี้ พวกเราเองก็ไม่ได้เป็ผู้เชื้อเชิญมาด้วยตัวเองอีกด้วย”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] โอวหยางรุ่ย(欧阳睿)睿ตัวอักษรนี้อ่านว่ารุ่ย เป็ชื่อของโอวหยางฉางรุ่ยและโอวหยางรุ่ย เดิมทีชื่อสองคนนี้ใช้ตัวอักษรเดียวกัน มีความหมายว่าสติปัญญาที่ล้ำลึกและการมองการณ์ไกล
[2] โอวหยางรุ่ย(欧阳瑞)瑞ตัวอักษรนี้อ่านว่ารุ่ย พ้องเสียงกับตัวอักษรรุ่ยชื่อเดิมของโอวหยางรุ่ย แต่ตอนหลังชื่อโอวหยางรุ่ยนี้เปลี่ยนมาใช้ตัวอักษรนี้แทน เพราะต้องสละชื่อให้ โอวหยางฉางรุ่ย ที่มีความหมายว่าเป็มงคลและโชคดี
[3] ร้อยปีให้หลัง(百年之后)เป็คำสุภาพของการบอกว่าหลังจากที่คนคนนี้ตายไป