ทิวเขา่ต้นเดือนมิถุนายนดูเขียวชอุ่มอย่างเห็นได้ชัดต้นไม้เขียวขจีต่างชูสลอนกันอย่างหนาแน่น อีกทั้งยังมีเสียงนกร้องลอยมาจากในหุบเขาอยู่เป็ระยะๆ
หลินเยว่เด็ดผลไม้ชนิดหนึ่งจากพุ่มไม้เตี้ยๆข้างทางยื่นส่งให้กับฉินเหยาเหยา เขาส่งยิ้มพร้อมพูดขึ้น “ลองกินดูสิผลไม้นี้หวานมากเลยนะ”
ฉินเหยาเหยาอ้าปากเล็กๆ ของเธอพร้อมทำสีหน้า“นายป้อนเราสิ” รอคอยผลไม้ในมือของหลินเยว่
หลินเยว่จึงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดกับเธอ “ถ้าอยากกินเธอต้องจุ๊บเราก่อน”
ฉินเหยาเหยาถลึงตาใส่หลินเยว่ แล้วกดจูบลงบนใบหน้าของเขาครั้งหนึ่งด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยเต็มใจนัก
หลินเยว่หัวเราะฮ่าๆ อย่างพอใจแล้วจึงป้อนผลไม้ถึงปากของฉินเหยาเหยา
ฉินเหยาเหยากัดผลไม้ลูกนั้นพลันมีรสหวานจากของเหลวในผลไม้ไหลทะลักอยู่ในปากของเธอ เธอรู้สึกราวกับได้ดื่มน้ำผึ้งเลยทีเดียวแต่ทว่ารสชาติของมันกลับมีความเปรี้ยวและให้ความรู้สึกสดชื่นจางๆ แฝงอยู่
“อร่อยจังเลย!”
ขณะที่พูด ฉินเหยาเหยาก็กำลังดื่มด่ำกับรสชาติของผลไม้นั้น
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าเอ็นดูของคนรักของตนเองหลินเยว่จึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “อร่อยใช่ไหมล่ะ แต่ผลไม้ชนิดนี้ห้ามกินเยอะจนเกินไปเพราะหากกินเยอะก็จะเริ่มปวดท้องได้น่ะสิ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่เหลือมาจนถึงตอนนี้หรอกนะ”
“แล้วลูกนี้มันเรียกว่าอะไรหรอ?”
ฉินเหยาเหยามองหลินเยว่ตาโต
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าบนูเาลูกนี้มีผลไม้แบบนี้เยอะมากลองคิดดูสิ หากรีสอร์ตถูกสร้างขึ้นมาแล้ว จะมีคนอีกตั้งเท่าไรที่จะต้องติดใจกับรสชาติของผลไม้ป่าเหล่านี้”
หลินเยว่พูดถึงความฝันของตนเองเพราะคนเมืองไม่มีทางได้ลิ้มรสผลไม้ป่าอย่างแท้จริงเช่นนี้แน่นอน และด้วยเหตุผลนี้ผลไม้ป่าจึงเป็สิ่งดึงดูดที่มีผลต่อพวกเขาอย่างมหาศาลจึงทำให้หลินเยว่รู้สึกรอคอยและคาดหวังกับการสร้างรีสอร์ตแห่งนี้
“อื้อ ถ้าอย่างนั้นเราขอกินอีกสักลูกได้หรือเปล่าล่ะ?”
ฉินเหยาเหยาถามขึ้น เธอจับแขนของหลินเยว่แกว่งไปมาอย่างออดอ้อน
“ก็ได้ แต่ต้องเป็ลูกสุดท้ายนะเราไม่อยากให้เธอต้องปวดท้องน่ะ”
หลินเยว่จึงเด็ดผลไม้อีกลูกป้อนใส่ในปากของฉินเหยาเหยาหลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองจึงจูงมือกันเดินมุ่งหน้าขึ้นไปบนเขา
บรรยากาศอันสวยงามบนูเาทำให้หลินเยว่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆความรู้สึกหดหู่ในตอนแรกก็ค่อยๆ จางหายไป เพราะมีบางเื่เขาไม่สามารถควบคุมได้เลยเขาจึงต้องพยายามยอมรับกับสภาพความเป็จริงที่เกิดขึ้น
ไม่แน่หรอกนะพลังพิเศษตาทิพย์ของเขาอาจจะไม่มีผลข้างเคียงอื่นๆ ก็ได้
หลินเยว่จึงเพิ่งคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ล้วนเป็ตัวเขาเองที่กลัวว่าพลังพิเศษตาทิพย์นี้อาจจะมีผลข้างเคียงอื่นๆและเวลานี้เองที่หลินเยว่พบว่าที่ตัวเขามีความคิดเช่นนี้ก็เป็เพราะเขารู้สึกกลัวว่าพลังพิเศษจะหมดไปและดวงตาของเขาจะต้องมองไม่เห็นอีกต่อไป
อันที่จริง ์ก็ได้เมตตาเขามามากพอแล้วเขายังคิดจะคาดหวังอะไรอีกล่ะ
สิ่งที่ควรยอมรับเขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้
เมื่อคิดได้แล้วหลินเยว่จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างแท้จริงตอนแรกที่เขาคิดจะขึ้นไปดูวัดลัทธิเต๋าจึงถูกเปลี่ยนเป็การเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์ของูเาและสายน้ำที่สวยงามระหว่างทางแทน
เมื่อเดินผ่านลำธารเล็กๆ สายหนึ่งฉินเหยาเหยาจึงอุทานอย่างตื่นเต้นแล้วจึงวิ่งตรงไปยังลำธารนั้นเธอวักน้ำขึ้นมาแล้วค่อยๆ รดบนใบหน้าของตนเอง
หลินเยว่จึงเดินตามเธอไปพร้อมรอยยิ้มแล้วอุ้มเธอวางไว้บนก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ถอดรองเท้าผ้าใบให้เธอแล้ววางเท้าเล็กๆ เปลือยเปล่าของเธอลงในลำธารอันแสนเย็นฉ่ำ
ความเย็นสดชื่นจากลำธารทำให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าของฉินเหยาเหยาหมดไปอย่างไร้ร่องรอยเท้าเปลือยเปล่าของเธอก็เริ่มตีน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน แล้วเธอยังส่งเสียงหัวเราะ“เอิ๊กอ๊าก” อย่างสดใส
และเวลานี้เอง ก็มีปลาตัวเล็กๆ สองสามตัวว่ายผ่านมาทำให้เธออุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
พวกเขาเดินชมธรรมชาติอย่างมีความสุขกว่าจะเดินมาถึงวัดลัทธิเต๋าก็เป็เวลาบ่ายคล้อยแล้วเมื่อเห็นสภาพทรุดโทรมที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่ของแนวกำแพงหลินเยว่จึงเกิดความรู้สึกยำเกรงขึ้นในใจทันที และขณะเดียวกันเขาก็เกิดความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก
ดินแดนแห่งลัทธิเต๋า แหล่งรวมพลังแห่งจิติญญา
เมื่อเดินวนรอบๆ วัด นอกจากจะพบชุดของนักพรตที่ทั้งเก่าและขาดอีกทั้งยังเต็มไปด้วยฝุ่นอยู่สองสามชุดแล้ว ในวัดแห่งนี้ก็ไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย
ฉินเหยาเหยาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน
ระหว่างทางกลับบ้านหลินเยว่จึงให้ฉินเหยาเหยาขึ้นบนหลังของตัวเอง แล้วพาเธอเดินลงจากเขาฉินเหยาเหยาซบอยู่บนหลังกว้างของหลินเยว่ในใจของเธอมีแต่ความสุขที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
เมื่อเดินถึงเขตหมู่บ้านก็เป็เวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพอดีพวกเขามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสีแดง บนร่างของพวกเขาถูกอาบไปด้วยแสงสายัณห์ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเบาสบายไปทั้งตัว
พวกเขาทั้งสองนั่งพิงหินก้อนใหญ่แล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศอันงดงามของพระอาทิตย์ตกดินจนเมื่อพระอาทิตย์ลับหายไปพวกเขาถึงได้เดินกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็เวลาอาหารค่ำพอดีแต่ทว่าบิดาของหลินเยว่กลับไม่ได้อยู่ในบ้าน
มารดาของหลินเยว่จึงอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้“พ่อของลูกอยู่ว่างๆ ไม่เป็พอวางแผนเสร็จแล้วเขาก็เลยไปตามคนในหมู่บ้านแล้วก็เปิดประชุมที่ห้องคณะกรรมการน่ะสิพอเริ่มประชุมก็ไม่ได้กลับมาจนถึงตอนนี้!”
พวกเขาทั้งสามคนทานอาหารค่ำกันไปก่อนโดยไม่ได้รอบิดาของหลินเยว่กว่าบิดาของหลินเยว่จะกลับมาก็เป็เวลาสองทุ่มเสียแล้วพอเข้ามาในบ้านเขาก็รีบซดน้ำชาหลายอึกทันที ท่าทางเหมือนคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวันทีเดียว
ถึงแม้ว่าสีหน้าของบิดาหลินเยว่จะดูอ่อนล้าแต่ทว่ากลับไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นในใจของเขาได้เลย
หลินเยว่อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆถึงได้เดินทางกลับคุนิไปกับฉินเหยาเหยา เมื่อมาถึงคุนิสิ่งแรกที่หลินเยว่ทำก็คือเขาโอนเงินเข้าบัญชีของบิดาตนเองเป็จำนวนเงิน 40ล้านหยวนทันที
การสร้างถนนและรีสอร์ตจำเป็ต้องใช้เงินอาจจะมีของบางอย่างที่ขาดตกบกพร่องไปบ้างแต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเงิน
วันถัดมา หลินเยว่จึงทำตัวเหมือนปกตินั่นก็คือเดินทางไปยังหรงเล่อเซวียนเมื่อไปถึงเขาจึงพบว่าท่านเฮ่อฉางเหอกำลังรอเขาอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
“มะรืนนี้คุณต้องตามอาจารย์ไปจิ่งเต๋อเจิ้น”
เมื่อเห็นหลินเยว่ ท่านเฮ่อฉางเหอจึงพูดขึ้นทันที
“มะรืนนี้ ทำไมเร็วจังครับ?”หลินเยว่อุทานด้วยความใ
“เร็วหรอ? อาจารย์ไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันเร็วเลย”
ท่านเฮ่อฉางเหอเหลือบตามองหลินเยว่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลินเยว่จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆเขารู้ดีว่าอาจารย์ของเขากำลังโกรธที่หนึ่งเดือนมานี้เขามักจะขอลาหยุดอยู่บ่อยๆตอนแรกก็ตกลงกันไว้อย่างดิบดีว่าจะเรียนเครื่องเคลือบ แต่เป็เพราะเขามีธุระเยอะจริงๆทั้งซื้อบ้าน ซื้อรถ ฝึกขับรถ สอบใบขับขี่ ...แล้วเขายังกลับบ้านเกิดไปอีกหนึ่งสัปดาห์ทำให้เขาต้องใช้เวลาไปกับสิ่งเหล่านี้เยอะแยะมากมายและเวลาที่เขาได้เรียนรู้เครื่องเคลือบจากท่านเฮ่อฉางเหอจริงๆกลับมีเพียงไม่กี่วัน
“วันนี้คุณคงไม่ได้มีธุระอื่นๆ อีกแล้วใช่ไหมล่ะ?”
ท่านเฮ่อฉางเหอจ้องหลินเยว่เขม็ง
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ในตอนนี้เป็เช่นนี้หลินเยว่จึงต้องรีบกลืนคำว่า “มีธุระ” ลงไปอย่างทันควัน แล้วพูดตอบรับพร้อมรอยยิ้ม“ไม่มีครับ”
ท่านเฮ่อฉางเหอพยักหน้าอย่างพอใจและพูดขึ้น“วันนี้อาจารย์จะให้คุณเรียนบทสรุปทั้งหมด ถึงแม้ว่าการทำแบบนี้อาจจะเร็วไปสักหน่อยแต่อาจารย์ก็ต้องทำแบบนี้เพื่อให้ถึงเวลานั้นคุณจะได้ไม่ต้องขายขี้หน้ามากนัก”
หลินเยว่จึงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็คนที่กำลังตั้งใจเรียนรู้อย่างเต็มที่ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขาจะมีธุระอื่นอยู่ก็ตาม เพราะตอนแรกเขาตั้งใจจะขอกลับบ้านเร็วเพื่อไปสำนักงานรับออกแบบอาคารสักหน่อยเพื่อให้ทางสำนักงานได้มีเวลาไปสำรวจที่บ้านเกิดของเขาก่อนแต่ทว่าแผนการของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และไม่ว่าอย่างไรการสร้างถนนก็ไม่ได้เป็สิ่งที่สามารถทำได้สำเร็จภายในเดือนสองเดือนรอจนเขากลับมาจากจิ่งเต๋อเจิ้นก็ยังไม่ถือว่าช้าจนเกินไปอีกทั้งเื่นี้เขาก็สามารถให้ฉินเหยาเหยาเป็คนไปจัดการแทนได้เหมือนกัน
ตลอดทั้งวันนี้ หลินเยว่ก็อยู่กับท่านเฮ่อฉางเหอตลอดเวลาความรู้ที่ได้รับตลอดทั้งวันนี้ทำให้สมองของหลินเยว่รู้สึกโป่งพองขึ้นทันทีนี่เป็ครั้งแรกที่เขาต้องเรียนรู้ความรู้เยอะแยะขนาดนี้จึงทำให้เขารู้สึกไม่สามารถปรับตัวได้ในระยะเวลาสั้นๆ
วันถัดมา ถึงแม้ว่าท่านเฮ่อฉางเหอคิดอยากจะสอนความรู้ต่างๆให้กับหลินเยว่ต่อ แต่ทว่าเป็เพราะท่านได้ตกลงกับท่านฉางไท่ไว้แล้ว ดังนั้นท่านจึงต้องยอมปล่อยหลินเยว่ให้กับท่านฉางไท่
สภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กของหลินเยว่สามารถทำได้ต่อเนื่องถึงมีดที่6 แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถเริ่มฝึกขั้นตอนแรก “แกะรูป” ตามที่หนังสือ “คัมภีร์การแกะสลัก”ได้เขียนไว้ หากให้หลินเยว่คลำหาวิธีฝึกฝนด้วยตัวเองก็ไม่รู้ว่าหลินเยว่จะต้องใช้เวลาสักเท่าไรจึงจะสามารถแกะสลักวัตถุบางอย่างได้สวยงามดูมีชีวิตชีวาดังนั้น ท่านฉางไท่จึง้าถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีมาหลายปีของตนเองให้กับหลินเยว่เพื่อให้เขาได้มีความรู้บางอย่างเพิ่มขึ้น และเพื่อให้เขาไม่ต้องเสียเวลาไปกับบางอย่างมากจนเกินไป
และก็เป็อีกวันที่หลินเยว่ต้องซึมซับความรู้อย่างมึนงงเขารู้สึกว่าสมองของเขาบวมพองมากผิดปกติ ราวกับว่ามันพร้อมจะะเิได้ทุกเวลา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้