เฉินเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอได้เห็นมุมใหม่ๆ ของหลิ่วอีอีเป็ครั้งแรก เขาก็มีความรู้สึกอยากจูบเธอมากขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ฉากนี้ดันถูกจ้าวฉินเสวียเห็นเข้าพอดี
โชคดีที่จ้าวฉินเสวียไม่ได้ยินบทสนทนาก่อนหน้าของเฉินเฟิงและหลิ่วอีอี
ไม่งั้นเธอคงรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นสองคนนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่ และคงไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงต่อด้วย
"รูปเสร็จแล้วค่ะ พวกคุณช่วยหยุดแสดงความรักก่อนสักครู่ได้ไหม ขอรบกวนเวลามาตรวจรูปหน่อยค่ะ!"
จ้าวฉินเสวียที่เห็นภาพตรงหน้าในระยะสิบเมตรแผดเสียงดังด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
แต่นี่คือสิ่งที่เธอเลือกเอง
ในตอนแรก เฉินเฟิงตามจีบเธออยู่สามปี แต่ใน่เวลานั้นเธอก็ยังเลี้ยงไข้ตัวสำรองอีกสิบกว่าคน
เธอไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบรับ แค่ยื้อทุกคนไว้
สุดท้ายเธอเลือกฮูอวี่เพื่อนสนิทของเฉินเฟิง หรือพี่ชายผู้แสนดีของเธอ
เพราะว่าฮูอวี่รวย พ่อของเขาเป็ถึงรองผู้อำนวยการโรงเรียน
แม้เธอจะตกปากรับคำเป็แฟนกับเฉินเฟิงในปาร์ตี้วันเกิด
แต่จริงๆ แล้วเธอแอบกุ๊กกิ๊กกับฮูอวี่สักระยะแล้ว เลยมอมเหล้าเฉินเฟิงและไปเปิดห้องกัน
ในเมื่อทั้งหมดนี้คือเส้นทางที่เธอเลือก เธอต้องรับผลที่ตามมาให้ได้
เฉินเฟิงใช้เงินเก็บที่พ่อแม่ของเขาหามาอย่างยากลำบากเพื่อเธอจำนวนมาก ต่อไปนี้เขาจะเซ็นสัญญากับเธอ ผลักดันเธอเข้าวงการบันเทิงเพื่อขูดรีดเธอให้ได้มากที่สุด การกระทำนี้สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
เมื่อเฉินเฟิงได้ยินเสียงเรียกของจ้าวฉินเสวีย เขาเมินเธอและจูบหลิ่วอีอีด้วยความร้อนแรงต่อไป
เฉินเฟิงเองก็อยากใช้จูบนี้ลบล้างภาพจ้าวฉินเสวียในใจเขาให้หมดไป
การจูบอย่างร้อนแรงดำเนินต่อไปเป็นาที กระทั่งเฉินเฟิงหยุดลง เขาก็ได้ยินเสียงหอบหายใจและคำต่อว่าหยอกล้อจากหลิ่วอีอี
"ทำอะไรเนี่ย จู่ๆ จูบฉันต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ แล้วทำไมต้องจูบนานขนาดนั้น? คิดจะทำให้คนคนนั้นดูละสิ"
เฉินเฟิงหัวเราะพลางอธิบายแก้ต่าง
"ฉันแค่ชอบมุมใหม่ๆ ของเธอที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต่อไปนี้ไม่ต้องทำตัวอ่อนช้อยตลอดเวลาหรอก ถ้าเวลาไหนจำเป็ต้องแสดงความเข้มแข็ง หรือใช้ความเ้าเล่ห์ก็จัดเต็มได้เลย"
คำพูดของเฉินเฟิงทำให้หลิ่วอีอีหัวเราะน้ำตาเล็ด
"ไปเถอะ แฟนเก่านายเรียกเราไปดูรูปนู้นแล้ว! ถ้าพูดถึงการใช้ความเ้าเล่ห์ ฉันก็ใช้ได้แค่กับจ้าวฉินเสวียคนเดียวนั่นแหละ จะให้ไปใจจืดใจดำใส่คนอื่น ฉันคงทำใจไม่ลง"
หลิ่วอีอีพูดติดตลกไปตามคำพูดของเฉินเฟิง
เฉินเฟิงโอบเอวของหลิ่วอีอีเดินกลับไปทางจ้าวฉินเสวีย
เื่ล้างรูปต้องเป็หน้าที่ของช่างภาพถ่ายรูปแต่งงานมืออาชีพ เพราะมีหลายคนที่มาจดทะเบียนสมรสที่รอรูปถ่ายอยู่
ดังนั้น เทคโนโลยีในการล้างรูปที่ใช้ จึงยังเป็แค่เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในปี 1995
แต่เมื่อเห็นรูปถ่ายสีภาพเบลอๆ เฉินเฟิงก็พูดไม่ออก
แต่แค่ล้างรูปสีออกมาได้เร็วในสมัยนี้ก็น่ายกนิ้วให้แล้ว เพราะรูปถ่ายที่หลายๆ คนไปถ่ายที่ร้านยังเป็ขาวดำอยู่เลย
เฉินเฟิงคิดถึงเทคโนโลยีการถ่ายภาพดิจิทัลในปี 2021 ที่เขาจากมาเหลือเกิน
จะถ่ายภาพที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ อยากพรินต์รูปก็พรินต์ออกมาได้เลย ไม่ต้องเสียเวลารอเป็สิบนาทีแบบนี้
"ถ่ายสวยดีนะ จะว่าไป...จ้าวฉินเสวีย เธอเรียนเดินแบบมาไม่ใช่เหรอ คิดจะทำงานที่นี่เป็หลักเลยใช่ไหม?"
หลังจากดูรูปถ่ายแล้ว หลิ่วอีอีก็ถามคำถามจ้าวฉินเสวียตามแผนที่วางไว้ด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวฉินเสวียก็ตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
"ก็เพราะเฉินเฟิงนั่นแหละ ชื่อเสียงฉันถึงได้ป่นปี้ไปหมด ไม่มีเอเจนซี่หรือบริษัทภาพยนตร์ที่ไหนอยากรับฉันเข้าฝึกงานเลย"
ระหว่างที่เธอพูด สีหน้าเต็มนั้นก็เต็มไปด้วยความอึดอัดใจ
อันที่จริง เธอต่างหากที่เป็คนเปิดตัวฮูอวี่แล้วสวมเขาเขาเอง
แต่เพราะเฉินเฟิงถูกรางวัลใหญ่ กลายเป็เศรษฐีที่มีเงินหลายสิบล้าน ทั้งสองจึงรีบคลานเข่าเข้าไปอ้อนวอนเฉินเฟิง ้ากลับไปเป็พี่ชายและแฟนสาวของเขา หวังว่าเขาจะให้อภัย
แต่เฉินเฟิงกลับเหวี่ยงเท้าใส่เป้าของฮูอวี่อย่างแรง ซึ่งเป็การหักหน้าและแก้แค้นจ้าวฉินเสวียได้เจ็บแสบมาก
แม้เื่ทั้งหมดนี้จะเกิดจากจ้าวฉินเสวียและฮูอวี่ที่มีเจตนาไม่ดีต่อเขาก่อน แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงอันสั่นไหวของเธอ ก็เห็นได้ชัดว่า เธอยังโทษเฉินเฟิงที่ทำลายชื่อเสียงของเธออยู่
เมื่อเขาได้ยินคำตอบของจ้าวฉินเสวีย ความรู้สึกผิดที่เขาเคยมีเอี่ยวกับการหลอกใช้เธอทำเงินก็หายไปหมดสิ้น
จ้าวฉินเสวียไม่สำนึกผิดเลย จริงอยู่ที่เธอเรียนรู้การวางตัวได้ดีขึ้น แต่ลึกๆ แล้ว เธอยังคงโทษเฉินเฟิงที่ทำให้ชื่อเสียงของเธอกับฮูอวี่เสียหายอยู่
คิดไม่ผิดเลย หลิ่วอีอีที่ได้ยินคำพูดของจ้าวฉินเสวียครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนยิ้มเยาะออกมา
"ฉันกับเฉินเฟิงเพิ่งร่วมกันลงทุนเปิดบริษัทการเงิน ตอนนี้กำลังขาดพนักงานต้อนรับหน้าตาดีๆ สนใจมาเป็พนักงานต้อนรับบริษัทของพวกฉันไหม เงินเดือนสองพัน ฝึกงานที่นี่คงไม่ได้เงินเดือนใช่ไหมล่ะ?"
จ้าวฉินเสวียมองหลิ่วอีอีด้วยความประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าหลิ่วอีอีจะชวนเธอไปทำงาน
"อ่า... แม่ใช้เส้นช่วยฉันเข้าฝึกงานที่นี่ล่วงหน้า ฉันเลยไม่อยากลาออก"
จ้าวฉินเสวียไม่โง่พอจะไปทำงานที่บริษัทของพวกเขา เพียงเพราะแค่เงินเดือนสองพันหยวนหรอก
ได้ยินดังนั้น เฉินเฟิงก็พยักหน้าตามเป็อันรู้กันและแอบหัวเราะด้วยเสียงเย็นเยียบ
"ถ้าเธอเป็พนักงานต้อนรับในบริษัทครบสองปี ฉันจะเปิดบริษัทด้านความบันเทิงให้เธอ และปั้นเธอเข้าวงการบันเทิง"
คำล่อลวงของเฉินเฟิงเป็การตอกตะปูปิดฝาโลง
จ้าวฉินเสวียรู้สึกตื่นเต้นอย่างฉับพลันเมื่อเธอได้ยินว่าเฉินเฟิงจะปั้นเธอเป็ดารานางแบบ
เธอแอบคิดในใจว่า เฉินเฟิงยังลืมเธอไม่ลง เลย้าแอบมีความสัมพันธ์กับเธอ
จ้าวฉินเสวียเสแสร้งทำเป็ลังเลอยู่นาน ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงยินดี
"ในเมื่อพวกเธอสองคนอยากได้หน้าตาฉันขนาดนี้ ฉันจะยอมเป็พนักงานต้อนรับในบริษัทพวกเธอก็ได้ สองปีนะ"
หลิ่วอีอีและเฉินเฟิงสบตากันแล้วยิ้ม ทั้งคู่ต่างกำลังดูถูกจ้าวฉินเสวียในใจ คิดว่าแม่นี่ช่างหลงตัวเองเหลือเกิน
ในหัวเฉินเฟิงได้ร่างสัญญาระยะยาว 20 ปีกับจ้าวฉินเสวียไว้แล้ว
เขาจะให้เธอทำงานฟรีๆ ในปีแรก ปีที่สองให้เธอได้ส่วนแบ่งบริษัทห้าเปอร์เซ็นต์ ปีที่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ปีที่สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ปีที่สิบให้เธอสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกสิบปีที่เหลือ เขาจะให้สี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์จนหมดสัญญา
เพราะ่เวลาที่ดาราในวงการบันเทิงเบ่งบานได้มากที่สุดคือ่สิบปีแรกหลังเข้าวงการ
ถ้าเธอโด่งดังมีชื่อเสียง สิบปีหลังถือว่าเป็่ทำเงินทำทอง
เฉินเฟิง้ารีดเค้นมูลค่าในตัวของจ้าวฉินเสวียให้หมดทุกหยด
รองเท้า [1] ขาดๆ พังๆ ไม่รู้สำนึกผิด คิดว่าตัวเองดีมากใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็สมควรได้รับผลกรรมแบบนี้นั่นแหละ!
เชิงอรรถ
[1] รองเท้าขาด มีความหมายว่า อีตัว ผู้หญิงที่ชอบมั่วผู้ชาย หรือใช้กับผู้ชายที่ชอบมั่วกับผู้หญิงก็ได้เช่นกัน ว่ากันว่า คำนี้มีที่มาจากโสเภณีในกรุงปักกิ่งที่รับงานโดยไม่มีแม่เล้า ใช้ห้องพักของตัวเองเป็ห้องรับแขก และใช้รองเท้าขาดเป็สัญลักษณ์บ่งบอกว่ารับงาน
