จวนของเจิ้นกั๋วกงตั้งอยู่บริเวณประตูติ้งหวา
ทั้งจวนกั๋วกงพื้นที่ไปเกือบร้อยหมู่ นับว่าจัดอยู่ในลำดับที่กว้างขวางของเมืองหลวง ซึ่งในเมืองหลวงแห่งนี้ที่แต่ละชุ่นมีค่าดั่งทองคำ
น่าเสียดายจวนกั๋วกงสองสามรุ่นที่ผ่านมา สมาชิกในครอบครัวไม่เฟื่องฟู เมื่อมาถึงรุ่นของเซียวฉิงยิ่งเหี่ยวเฉาขึ้นไปอีก มีเพียงเซียวจวิ้นที่เป็บุตรชายคนเดียว ทั้งเจ็บป่วยอ่อนแอจิตใจไร้ชีวิตชีวา สุขภาพตลอดมาไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไร
เซียวฉิงจัดหาที่พักให้สองพี่น้องพักอยู่ในลานอันหวาเสียเลย เพราะที่นั่นอยู่ติดกับลานชิงหลันของเซียวจวิ้นที่สุด
จนกระทั่งเขาคิดจะจัดหาที่พักให้หลัวจิ่ง กลับถูกเด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างสุภาพ เซียวฉิงไม่ได้สนใจถามให้มากความ เป็เช่นนี้ก็พอดียิ่งนัก
หลัวจิ่งพูดคุยอยู่กับสองพี่น้องไม่กี่ประโยคก็รีบกล่าวลาไป เขาวางใจในจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างมาก คนที่สอบสวนผู้ต้องสงสัยในการลอบสังหารด้านนอกเ่าั้ ไม่กล้ามาสืบค้นที่จวนกั๋วกงอย่างแน่นอน แม้เซียวจวิ้นจะไม่นับว่าเป็สุภาพบุรุษเจียมเนื้อเจียมตัวสักเท่าไร แต่ก็ไม่ใช่คนต่ำทรามไร้ศีลธรรมตอบแทนบุญคุณคนด้วยความแค้น
เจินจูส่งหลิวอี้ไปแจ้งทางกู้ฉีเล็กน้อย และให้เขาถือโอกาสไปแจ้งโหยวอวี่เวยทราบด้วยเลย ตอนมาหานางจะได้ไม่พุ่งไปโรงเตี๊ยมให้เสียเที่ยว
จวนเจิ้นกั๋วกงเงียบเหงามาโดยตลอด เพราะการมาถึงของพี่สาวน้องชายสกุลหูถึงได้คึกคักขึ้นอย่างกะทันหัน
เซียวฉิงให้พ่อบ้านนำทางคนเข้าไปจัดหาที่พัก ส่วนเขากลับลานบ้านของตัวเองไปก่อน
เมื่อคืนที่ผ่านมามีหิมะตกหนัก ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนถูกหิมะสีขาวปกคลุมหนาทึบ ภายในลานอันหวาเสมือนมีอาภรณ์สีขาวห่อหุ้มไปทั้งผืน กองหิมะบนถนนอิฐสีฟ้าได้รับการทำความสะอาดแล้ว แต่หลังคา ระหว่างลานบ้าน และบนยอดไม้ยังคงอยู่ภายใต้หิมะสีขาวโพลน
พ่อบ้านนำทางสาวใช้และหญิงชราไปจัดเรียงสัมภาระ ผนวกกับพี่สาวน้องชายไม่ได้นำสิ่งของติดตัวมามากจึงเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
คงเป็เพราะในบ้านเผาปล่องดิน พอเข้ามาในบ้านจึงััถึงความเย็นไม่ได้เลยสักนิด
เมื่อเสี่ยวเฮยเข้าบ้านมาก็หาตำแหน่งที่อบอุ่นและสบายสำหรับมัน หลังจากนั้นก็ขดตัวนอนต่อ
สาวใช้ผู้หนึ่งนามว่าเยว่อิง ยืนอยู่หน้าประตูห้องของนาง พ่อบ้านกล่าวแนะนำว่าเป็สาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮูหยินกั๋วกง ตั้งใจส่งมาคอยดูแลพี่น้องทั้งสองโดยเฉพาะ
เยว่อิงยกน้ำอุ่นและป้าหอมเข้ามาให้เจินจูล้างหน้าล้างมือ หลังจากนั้นส่งผ้าแห้งให้เช็ด แล้วหยิบน้ำมันหอมออกมา กล่าวว่าเป็เพราะฤดูหนาวเมืองหลวงอากาศแห้งหนาวเหน็บ ให้ทาน้ำมันหอมบนใบหน้าเพื่อผิวจะได้ไม่แตก
เจินจูไม่เคยให้คนดูแลเช่นนี้มาก่อนจริงๆ นางลูบแก้มที่ชุ่มชื้นเรียบลื่นของตัวเอง แล้วส่ายหน้าปฏิเสธไปทันที
เยว่อิงมองการกระทำของนาง สายตาหยุดอยู่บนใบหน้าขาวดั่งหยกไร้รอยตำหนิ ไม่ต้องกล่าวถึงผิวแตกเพราะอากาศหนาวเลย แม้แต่รูขุมขนยังละเอียดเป็เนื้อเดียวกันแทบมองไม่เห็น
นางตกตะลึงเล็กน้อยอยู่ในใจ รีบเก็บน้ำมันหอมทันที ผิวงดงามไร้ที่ติเช่นนี้ไม่จำเป็ต้องทาสิ่งอื่นใดเลยจริงๆ
หลังผ่านการชำระล้างทำความสะอาด เยว่อิงจึงนำทางสองพี่น้องหญิงชายไปลานฮ่าวอู๋ที่นายท่านกั๋วกงอยู่ สิ่งปลูกสร้างเช่นศาลาพลับพลา ูเาเทียมที่พักร้อนริมน้ำ รวมถึงตลอดทางล้วนถูกหิมะขาวโพลนปกคลุมเป็หนึ่งผืน มีเพียงต้นสนและต้นมะเดื่อที่ตั้งสูงตระหง่านและเขียวชอุ่ม เว้นแต่ยอดบนสุดเท่านั้นที่เต็มไปด้วยสีเงิน
เมื่อเดินทะลุลานบ้านมาจะผ่านทางเดินที่ตกแต่งอย่างสวยงาม หลังจากนั้นขึ้นบันได ผิงอันกับเจินจูตามอยู่ด้านหลังเยว่อิง ทั้งสองสบตากันเป็ครั้งคราว
ผ่านลานฮ่าวอู๋มาถึงในส่วนโถงกลาง เห็นสาวใช้สวมเสื้อหนาวมีซับในผ้าต่วนสีเขียวอมฟ้ายืนอยู่หน้าประตูประสานมืออย่างสุภาพ
เมื่อสาวใช้อ่อนวัยเห็นว่าเยว่อิงนำแขกมาถึง จึงรีบเลิกม่านผ้าต่วนผืนหนาที่มีการปักอย่างประณีตงดงามขึ้น
ฮูหยินกั๋วกงรออยู่กับเซียวจวิ้นนานแล้ว
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเซียวจวิ้น เขาลุกขึ้นยืนทักทายสองพี่น้อง และแนะนำพวกนางให้แก่ฮูหยินกั๋วกงได้รู้จัก
ทั้งสองฝ่ายทักทายกันอย่างสุภาพอยู่ครู่หนึ่ง เจินจูตั้งใจหยิบชากุหลาบหนึ่งกระปุกออกมาจากมิติช่องว่างเพื่อมอบให้กับฮูหยินกั๋วกงเป็พิเศษ
สาวใช้รับกระปุกไป ฮูหยินกั๋วกงยิ้มรับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ แล้วจึงนั่งลงจิบชา
นางมองไปที่พี่น้องสกุลหูด้วยความสงสัยใคร่รู้ พวกเขาหน้าตาดูคล้ายกันมาก ผู้เป็พี่สาวถึง่วัยช่อดอกไม้ผลิบานก็ไม่ปาน สวยงามและสดใส ในขณะที่น้องชายดูอายุน้อย ่วัยยังไม่สุกงอมอยู่บ้าง ทว่าดวงตาของเขากลับมีแววเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง
เจินจูปล่อยให้นางพินิจพิเคราะห์อย่างใจกว้าง ฮูหยินกั๋วกงเป็คนงามผู้หนึ่ง อายุสามสิบกลางๆ มีสง่าดูสูงส่ง สุภาพเยือกเย็นมีลักษณะเฉพาะ ในบ้านมีการเผาปล่องดิน ทว่านางกลับสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาปักลวดลายผีเสื้อบินกลางหมู่มวลผกานับร้อยด้วยดิ้นทอง แก้มซูบตอบมีสีหน้าป่วยไปทั้งดวง
ไม่แปลกใจเลยที่เซียวจวิ้นมักเจ็บป่วยอ่อนแออยู่ตลอด คิดไปแล้วคงได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่ร่างกายไม่แข็งแรงมาจากฮูหยินกั๋วกง บนใบหน้าเจินจูประดับรอยยิ้มขึ้น ทว่าในใจแอบวิจารณ์
แต่ได้ยินหลัวจิ่งกล่าวมาว่านายท่านกั๋วกงกับฮูหยินกั๋วกงรักกันมาก นอกจาก่แรกที่มีสาวใช้อุ่นเตียงแล้วก็ไม่เคยรับอนุเข้ามาอีกเลย
ฮูหยินกั๋วกงอมยิ้ม พวกนางช่วยชีวิตจวิ้นเอ่อร์ สำหรับจวนกั๋วกงแล้วเท่ากับว่าเป็ผู้มีพระคุณที่ให้ชีวิตใหม่ นายท่านกั๋วกงยังบอกนางเป็นัยๆ ไว้อีกด้วยว่าจวิ้นเอ่อร์มีใจให้แม่นางสกุลหู
จากการสังเกตของนางในยามนี้ ทำให้จวิ้นเอ่อร์ที่มีอุปนิสัยเยือกเย็นและเงียบเหงามาตลอด กลับทักทายอย่างกระตือรือร้นขึ้นได้ ไม่เหมือนยามปกติอยู่บ้างจริงๆ
นางแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อพี่น้องสกุลหูสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิตบุตรชายไว้เป็อันดับแรก จากนั้นจึงคุยเื่ทั่วไปเกี่ยวกับครอบครัวขึ้นช้าๆ
“แค่กๆ ไม่ทราบว่าบ้านแม่นางหูอยู่ที่ใดกัน?”
“บ้านของพวกข้าพี่น้องอยู่เอ้อโจว ที่มาเมืองหลวงครั้งนี้เป็การมาเยี่ยมเยียนสหาย อีกไม่กี่วันก็เตรียมจะเดินทางกลับแล้วเ้าค่ะ” เจินจูตอบอิงจากสถานการณ์จริง ด้วยความสามารถของเจิ้นกั๋วกงแล้ว หากคิดจะตรวจสอบเกี่ยวกับภูมิหลังของพวกนางขึ้นมาคงได้มากกว่าหนึ่งประโยคแน่นอน
ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะกลับแล้วหรือนี่ ฮูหยินกั๋วกงชำเลืองมองบุตรชายแวบหนึ่ง
“เหตุใดไม่อยู่เมืองหลวงให้นานอีกหน่อยล่ะ? หิมะตกหนักเช่นนี้ เดินทางไม่ง่ายเลยนะ”
“ใกล้จะฉลองปีใหม่แล้ว ท่านพ่อท่านแม่กำลังรออยู่ที่บ้านเ้าค่ะ”
“โธ่เอ๋ย ช่างเป็เด็กกตัญญูเสียจริงเลยเชียว ครอบครัวพวกเ้ามีแค่พี่สาวน้องชายสองคนเท่านั้นหรือ?”
“ไม่เ้าค่ะ ที่บ้านยังมีน้องสาวคนเล็กอายุสองปีอีกคนหนึ่งเ้าค่ะ”
“…ท่านแม่เ้าช่างเป็คนมีวาสนาเสียจริง” ความอิจฉาด้วยความยินดีเต็มอยู่ในดวงตาของฮูหยินกั๋วกง นางร่างกายอ่อนแอั้แ่ยังเล็ก หลังคลอดเซียวจวิ้น ร่างกายก็แย่ยิ่งนัก นางก็อยากเพิ่มบุตรชายบุตรสาวตัวน้อยๆ ให้กับนายท่านกั๋วกงเช่นกัน ทว่าไร้กำลังพอที่จะทำได้
รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวจวิ้นชะงักไปพักหนึ่ง มารดาของเขามีความพะวงในเื่นี้อยู่ตลอดมา เดิมทีร่างกายไม่ดี ทั้งยังมาอ่อนไหวและคิดมากอีก รวมกับจิตใจสะสมความระทมทุกข์ ร่างกายจึงยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“แค่ก... แม่นางหูปักปิ่นหรือยังนี่?”
“…เอ่อ ยังขาดอยู่อีกหนึ่งปีเ้าค่ะ”
เซียวจวิ้นอึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อย เหตุใดท่านแม่ของเขาถึงถามเช่นนี้ขึ้นกะทันหันกันนะ
รอยยิ้มของฮูหยินกั๋วกงกลับยิ่งสว่างไสวขึ้น อายุวัยเหมาะสมกันยิ่งนัก
นางยังถามเกี่ยวกับเื่ครอบครัวสกุลหูอีกเล็กน้อย เจินจูเลือกบางอย่างที่ไม่สลักสำคัญพอจะกล่าวได้ออกไป
เซียวจวิ้นนั่งอยู่เป็เพื่อนพักหนึ่ง แล้วจึงชวนผิงอันไปนั่งเล่นที่ลานชิงหลันของเขา
ผิงอันมองผู้เป็พี่สาวของตนแวบหนึ่ง เจินจูคิดอยู่เล็กน้อยแล้วหันไปพยักหน้าทางเขา
หลังสองคนจากไป ฮูหยินกั๋วกงเงยขึ้นมองสีท้องฟ้า แล้วจึงออกคำสั่งกับสาวใช้ “ไปสั่งห้องครัว วันนี้มีแขกสำคัญมา ให้พวกนางเพิ่มอาหารจานพิเศษขึ้นสักหน่อย”
จวนเจิ้นกั๋วกงมีสมาชิกในครอบครัวน้อยมาก ห้องครัวใหญ่จะทำเพียงอาหารของหญิงรับใช้และองครักษ์เท่านั้น ส่วนอาหารสามมื้อของเ้านายล้วนทำขึ้นจากห้องครัวเล็ก อีกทั้งในฤดูหนาวเช่นนี้กับข้าวเย็นได้ง่าย ห้องครัวเล็กอยู่ใกล้ เมื่อยกอาหารมาขึ้นโต๊ะจึงรวดเร็ว
หลังฮูหยินกั๋วกงสั่งงานเรียบร้อย กำลังอยากกล่าวอะไรสักหน่อยแต่บริเวณลำคอเกิดอาการคันขึ้นกะทันหัน นางรีบยกมือขึ้นปิดปากไอ “แค่กๆ”
สาวใช้ข้างกายรีบเข้ามาตบแผ่นหลังของนางเบาๆ “ฮูหยิน ท่านควรดื่มยาแล้วเ้าค่ะ”
ฮูหยินกั๋วกงกุมลำคอไออยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพักหอบหายใจพลางส่ายหน้า “โธ่ หาได้ยากที่ในจวนจะมีแขกคนสำคัญมา ร่างกายข้ากลับไม่สู้ดีเสียนี่ ทำให้เ้าขบขันแล้ว”
“ร่างกายของฮูหยินสำคัญยิ่งกว่าเ้าค่ะ” เจินจูรีบแสดงความเห็นขึ้น
นางยังอยากกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าไออย่างรุนแรงขึ้นอีกพักหนึ่ง
ในห้องวุ่นวายขึ้นทันที ทั้งยกยาเข้ามา ทั้งตบแผ่นหลัง ทั้งประคองกระโถน ข้างกายฮูหยินกั๋วกงถูกล้อมจนกลายเป็หนึ่งวงกลม
เยว่อิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเจินจูก็เดินเข้าไปล้อมวงขึ้นด้วยอย่างเป็กังวลเช่นกัน
เจินจูกะพริบตาและนั่งไม่ติดอยู่บ้าง
ยังดีที่หลังจากฮูหยินกั๋วกงดื่มยาลงไปแล้ว อาการไอจึงค่อยๆ หยุดลงช้าๆ แต่สีหน้าที่เดิมทีซีดขาวดูไม่แข็งแรงกลับยิ่งซีดเซียวหนักขึ้นไปอีก
นางหันมาบอกลาเจินจูด้วยท่าทางโรยแรง จากนั้นกำชับเยว่อิงให้ดูแลแขกให้ดี แล้วจึงถูกบรรดาหญิงรับใช้พยุงกลับเข้าไปภายในห้อง
เจินจูกลับมาถึงลานอันหวา จวนเจิ้นกั๋วกงมีฮูหยินกั๋วกงเพียงคนเดียวที่เป็สตรีในครอบครัว เมื่อนางล้มป่วยเช่นนี้ แม้แต่เ้าบ้านที่พอจะต้อนรับแขกผู้หญิงได้สักคนล้วนไม่มีเลย
ผิงอันถูกเซียวจวิ้นรั้งอยู่ในลานชิงหลัน
เจินจูอุ้มเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุยมา หนึ่งคนหนึ่งแมวและหนึ่งหนูรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ในห้อง
ขณะที่เยว่อิงเห็นเสี่ยวเฮยก็ยังรู้สึกว่าปกติดีอยู่ แต่พอได้เห็นเสี่ยวฮุยเข้า อีกนิดเกือบจะหลุดหวีดร้องขึ้นมาแล้ว
เหตุใดพี่น้องสกุลหูถึงได้เลี้ยงหนูขนสีเทาเป็สัตว์เลี้ยงกันนะ?
นางถอยห่างออกไปไกลทันที ไม่กล้าเข้าใกล้
เจินจูหันไปยิ้มกับนาง ไม่อธิบายเพิ่มเติมอะไรมาก เพียงหยิบถ้วยเล็กที่พวกมันใช้โดยเฉพาะออกมาวางบนเก้าอี้ สัตว์ตัวน้อยทั้งสองตัวแบ่งกันอยู่คนละฝั่ง หลังจากคีบอาหารน่าอร่อยให้พวกมันเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้ขยับตะเกียบป้อนให้ตัวเองขึ้น
เยว่อิงมองอย่างแปลกใหม่ แมวกับหนูสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยหรือนี่
แมวน้อยเชื่อฟังคำสั่งก็ไม่แปลก แต่หนูเชื่อฟังแต่โดยดีนี่สิหาได้ยากจริงๆ
หนึ่งแมวหนึ่งหนูก้มหน้าก้มตากินอาหารส่วนของพวกมัน ไม่สนใจสายตามองอย่างถามเจาะลึกของเยว่อิงเลยสักนิด
ห้องครัวเล็กของจวนกั๋วกงทำอาหารออกมาได้อร่อยดังคาด เจินจูประคองถ้วยเครื่องเคลือบโต้วไฉ่ [1] ลายดอกบัวทานอย่างเอร็ดอร่อย
...บนถนนใหญ่ประตูทางใต้อันแสนพลุกพล่าน กองหิมะทับถมถูกกำจัดไปแล้วอย่างรวดเร็ว วันนี้บรรยากาศภายในเมืองหลวงน่าอึดอัดยิ่งนัก กอปรกับอากาศหนาวเย็น คนสัญจรบนถนนจึงมีไม่มาก
บนชั้นสองของโรงสุราห้องหนึ่ง หน้าต่างฉลุลายถูกแง้มไว้ครึ่งบาน หลัวจิ่งมองไปบนถนนใหญ่อย่างเฉยเมย
ด้านหลังของเขาเป็หลัวสือซานและชายอีกสองคนที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ยืนตัวตรงปล่อยมือลงข้างลำตัวอย่างเงียบเชียบ
“เมื่อวานสตรีที่ถูกซื่อจื่อเฉิงเอินโหวกักตัวไว้ มีครึ่งหนึ่งที่ทำการลงนามบันทึกก็ปล่อยผ่านออกไปได้แล้ว ส่วนสตรีในครอบครัวขุนนางที่มีระดับต่ำอีกจำนวนหนึ่งต้องรออยู่อีกสักหน่อย ผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งเมืองหลวงยังได้ตรวจสอบแต่ละบ้านของสตรีที่กลับเข้ามายังเมืองหลวงในเมื่อวานอีกด้วยขอรับ”
“ท่านหมอหลวงได้ทำการวินิจฉัยออกมาแล้ว องค์ไท่จื่อกับฮูหยินของลี่ปู้ซื่อหลางถูกพิษที่มีส่วนปะปนของม่านถัวหลัวเหมือนกัน หลังจากนั้นบนข้อมือขององค์ไท่จื่อถูกสิ่งมีคมที่ปนเปื้อนไว้ด้วยยางจากต้นเกาทัณฑ์พิษ พิษนั้นเข้าเส้นโลหิตทำให้ถูกสังหารสิ้นลมหายใจคาที่ ส่วนฮูหยินของลี่ปู้ซื่อหลางกับองครักษ์สองคนตกอยู่ในพิษของม่านถัวหลัว จนขณะนี้ยังไม่ได้สติกลับคืนมาเลยขอรับ ท่านหมอหลวงสั่งยาแก้พิษกรอกลงไปหลายถ้วยใหญ่ แต่ยังคงไร้ประสิทธิผลให้ได้เห็นอยู่เช่นเดิม”
“ส่วนผู้าุโโหวกับท่านโหวของจวนท่านโหวเหวินชางเข้าวังไปด้วยกันั้แ่เช้าตรู่ จนกระทั่งยามอู่ถึงได้ออกมาจากกำแพงวังขอรับ”
“เมื่อคืนนี้ในขณะที่ฮ่องเต้ได้รับข่าวก็หมดสติไป ฉีกุ้ยเฟยเรียกตัวท่านหมอเทวดาจางเข้าวังในทันที หลังเสวยโอสถไปแล้วฮ่องเต้ถึงฟื้นขึ้นมาได้ แต่พระหฤทัยไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไรนัก เมื่อคืนฮองเฮาหดหู่หมดอาลัยอย่างยิ่ง ะโร้องห่มร้องไห้อยู่ทั้งคืนขอรับ”
“ทางองค์ชายสาม ภายนอกยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ไฟในจวนของพวกเขากลับสว่างโร่อยู่จนโต้รุ่งเลยขอรับ”
เมื่อหลัวจิ่งได้ฟังถึงตรงนี้ บนใบหน้ากลับเ็ายิ่งขึ้นไปอีก
หานอี้องค์ชายสาม เหอะ เขาก็เป็หมาป่าที่ห่มหนังแกะคนหนึ่งเลยทีเดียวล่ะ ภายนอกดูเป็สุภาพบุรุษถ่อมตัวแสนจะอบอุ่นท่าทางมีสง่าทรงความรู้ ทว่าที่จริงกลับเป็คนต่ำทรามจิตใจมีแผนการอยู่ลึกๆ
ตอนแรกองค์ไท่จื่อก็ถูกเอาเปรียบอยู่บนเงื้อมมือของเขาไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นองค์ไท่จื่อที่มีอุปนิสัยดุร้ายจึงถือโอกาสจากการประชวรหนักของฮ่องเต้ ทำเื่เลวร้ายโดยไม่สนใจสายตาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนทั่วหล้า โอบล้อมโจมตีจวนองค์ชายสามในคราวเดียว
ตอนหานอี้มาขอหลัวเชี่ยนลูกผู้พี่ของเขาไปเป็เช่อเฟย [2] เดิมทีท่านปู่ของเขาไม่ได้เห็นด้วย แต่ไม่รู้ว่าหานอี้ใช้กลอุบายใดดึงดูดให้หลัวเชี่ยนโวยวายขึ้น และยืนกรานจะแต่งไปเป็เช่อเฟยให้เขาเสียได้ ทั้งยังไปพูดคุยกับบิดาของนางเป็การส่วนตัวอย่างหน้าไม่อายอีกว่า เนื้อตัวได้ัักับหานอี้อย่างแนบชิดไปแล้ว สุดท้ายก่อความวุ่นวายขึ้นจนทำอะไรไม่ได้ ท่านปู่จึงพยักหน้าเห็นด้วยไปในที่สุด
คิดถึงลูกผู้พี่หลัวเชี่ยนขึ้น หลัวจิ่งคับแค้นใจจนกัดฟันกรอด
หากไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของนาง สกุลหลัวไหนเลยจะถูกค้นบ้านยึดทรัพย์สินและฆ่าทั้งครอบครัวได้ ทั่วทั้งจวนหลายสิบชีวิตสูญสิ้นชีวิตลงสู่ใต้ผืนธรณีภายในคืนเดียว แต่ตัวนางกลับหลบภัยพิบัติพ้นไปได้ ยังคงอยู่ภายในลานบ้านองค์ชายสาม ดิ้นรนคิดแผนการเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานอยู่ทุกวัน
ส่วนสกุลหลัวหลังถูกค้นบ้านยึดทรัพย์และตัดศีรษะแล้ว นางไม่แม้กระทั่งจะใช้เส้นสายอื่นใดช่วยรับศพมาบรรจุใส่โลงแม้แต่น้อย ปล่อยให้ศพของพวกเขาทิ้งอยู่ในป่าช้า ภายหลังเป็กำลังคนของพี่ชายใหญ่ของเขาติดสินบนผู้ดูแลป่าช้า หายอดเขาอำพรางอยู่บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง ถึงได้ฝังคนตายให้ไปสู่สุคติภพในท้ายที่สุด
สตรีที่จิตใจเหี้ยมเกรียมไร้คุณธรรมเช่นนี้ หลัวจิ่งแทบอยากจะส่งนางไปปรโลก ให้นางไปเผชิญหน้ากับดวงิญญาที่ตายไปอย่างไม่เป็ธรรมทั้งตระกูลยิ่งนัก
ั์ตาหลัวจิ่งเ็าราวกับคมมีด ใบหน้าทั้งดวงราวกับรูปแกะสลักจากน้ำแข็งก็ไม่ปาน
หลังองค์ชายสามถูกปล่อยออกมา แสร้งว่าป่วยและซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษตลอด แต่นั่นเป็เพียงสิ่งที่แสดงออกมาเพื่อเลี่ยงองค์ไท่จื่อ ขณะนี้องค์ไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ก็คงเป็เวลาที่เขาต้องะโออกมาเคลื่อนไหวได้เสียที
เชิงอรรถ
[1] โต้วไฉ่ คือ การผสมผสานกลมกลืนกันระหว่างลายครามกับอู๋ไฉ่ (แบ่งเป็อู๋ไฉ่ลายคราม และอู๋ไฉ่เคลือบบริสุทธิ์ โดยอู๋แปลว่า ‘ห้า’ ไฉ่แปลว่า ‘สี’ ดังนั้นอู๋ไฉ่จึงเป็เครื่องเคลือบที่มีห้าสี) ความแตกต่างของอู๋ไฉ่และโต้วไฉ่คือ ด้านความรู้สึก โต้วไฉ่ดูอ่อนโยนกว่า ส่วนด้านเทคนิค อู๋ไฉ่เป็การเขียนสีโดยตรงลงบนเครื่องเคลือบ แต่โต้วไฉ่เป็การเขียนสีลายครามใต้เครื่องเคลือบเป็ภาพร่างก่อน แล้วค่อยๆ เขียนสีแบบอู๋ไฉ่บนเครื่องเคลือบอีกทีหนึ่ง
[2] เช่อเฟย คือ ภรรยารอง