บทที่ 54 มีปัญหาปลีกย่อยแทรกซ้อนขึ้นมาอย่างคาดคิดไม่ถึง
ตามมาด้วยการปรากฏตัวของหลินฉงซิ่น ผู้เฒ่าและผู้ดูแลหลายคนของตระกูลหลิน ก็ทยอยกันมาปรากฏตัวทีละคนเช่นกัน
ลู่อวี่ในเวลานี้กำลังสอดส่องหาเด็กผู้หญิงที่ฝากตัวเป็ศิษย์ผู้นั้น ท่ามกลางกลุ่มคนของตระกูลหลิน แต่มองหาทั่วทั้งกลุ่มคนของตระกูลหลินก็ไม่พบคนสำคัญเหมือนข้อมูลที่ได้มา
ในขณะที่กำลังคิดยอมแพ้อยู่นั้น ลู่อวี่ก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กผู้หญิงสวมชุดขาวอายุราวๆ สิบเอ็ดสิบสองปีผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง เรียวคิ้วราวกับภาพวาด ดวงตาราวกับดวงดาวยามเช้า รูปร่างหน้าตาดี แต่สิ่งที่ทำให้ลู่อวี่แปลกใจก็คือ เด็กผู้หญิงที่กำลังจะฝากตัวเป็ศิษย์ตระกูลหลิน ที่เป็ถึงหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ในเทียนตู ควรจะมีความสุขสิ แต่ในเวลานี้กลับมีใบหน้าที่ฝืนยิ้มแทน
ในห้องโถงเวลานี้ ได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว หลินฉงซิ่นลุกขึ้นยืนประจำที่นั่งหลัก และประสานมือโค้งคำนับ “ขอบคุณสหายทุกท่าน ที่มาเป็สักขีพยานในพิธีฝากตัวเป็ศิษย์ต่างสายเืคนแรก ในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลินเราในวันนี้” หลังจากพูดสิ่งนี้ หลินฉงซิ่นก็หันมองไปทางจีชิงรั่วซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลแล้วกวักมือเรียกนาง
“มาเร็ว ชิงรั่ว มาหาอาจารย์!” หลินฉงซิ่นเอ่ยปากเรียก พร้อมกับใบหน้าอ่อนโยนและยิ้มแย้ม
แต่จีชิงรั่วในอาภรณ์สีขาวผู้นั้น ก็ค่อนข้างจะใจนทำอะไรไม่ถูก นางตื่นเต้น ลังเลไม่กล้าก้าวออกมาเบื้องหน้า นางเป็เพียงเด็กที่เติบโตมาจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยได้เห็นโลกภายนอกอะไร เมื่อเห็นผู้บำเพ็ญเพียรนั่งมองตัวเองอยู่ด้านล่างเช่นนี้ ก็มีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“แม่นางไม่ต้องกลัว มีท่านประมุขอยู่ด้วย ยังกังวลว่าจะมีคนมาทำร้ายอยู่อีกหรือ? คนเหล่านี้มาแสดงความยินดีกับแม่นางที่ฝากตัวเข้าเป็ศิษย์ตระกูลหลิน ดังนั้นแม่นางจงเดินเข้าไปได้อย่างวางใจ อย่าทำให้ท่านประมุขโกรธเอาได้!” สตรีวัยกลางคนที่ติดตาม และดูแลจีชิงรั่วมาตลอด มองสตรีตัวเล็กตรงหน้าด้วยสีหน้าหลากหลายความรู้สึก ไม่รู้ว่าจะอิจฉาหรือรู้สึกเสียใจกับนางดี
แม้ว่าวันนี้จะฝากตัวเข้าเป็ศิษย์ของตระกูลหลินได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็สูญเสียความเป็อิสระไปด้วย ชีวิตนี้จะตกอยู่แต่ในกำมือของผู้อื่น ความสุขสบายเช่นนี้ จะนับว่ามีความหมายได้อย่างไร เมื่อเทียบกับชีวิตที่โลดโผนแต่ก่อนของนาง มันยังดีเสียมากกว่า มันเป็สิ่งที่ทำให้ใครต่อใครยากที่จะแยกแยะและเลือกได้
ในที่สุดจีชิงรั่วก็เดินออกมา ก้มหน้าแล้วมองไปทางสายตานับไม่ถ้วนของบรรดานักพรตเบื้องล่าง ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
ลู่อวี่ต่อต้านการทำคุณงามความดีประเภทนี้ของตระกูลหลินเป็อย่างมาก เพื่อมัดมือชกเด็กผู้หญิงที่มีพร์ผู้นี้ กล่าวได้ว่าพวกเขายอมทำทุกทาง หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล หากไม่ใช่เพราะตัวเองอยากมาดูไฟแท้จื่อเสวียนนั่น คงไม่มีทางทนต่อการเสแสร้ง เล่นละครตบตาคนพวกนี้แน่
“ชิงรั่ว วันนี้เ้าจะเข้ามาฝากตัวเป็ศิษย์กับตระกูลหลินของเราอย่างเป็ทางการ บอกอาจารย์มาสิ เ้ายินยอมหรือไม่เล่า?” หลินฉงซิ่นภายนอกดูเป็คนภูมิฐาน มีคุณธรรม แต่ภายในกลับไม่ได้เป็อย่างนั้น เขากล่าวออกมาอย่างเนิบนาบ
สายตาของจีชิงรั่วมีความหวาดหวั่น จากนั้นก็อ้าปากเล็กๆ ขึ้นเหมือนมีอะไรจะถาม แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าถามออกมา
“เด็กผู้หญิงผู้นี้ ข้าเห็นแล้วยังหลงรักเลย!” ไป๋เยวี่ยเหร่าที่อยู่ไม่ไกลอุทานออกมาเบาๆ
ลู่อวี่ก็ดูออก เด็กผู้หญิงผู้นี้คงไม่ได้ยินยอมมากนัก แต่นางก็เป็เพียงสาวน้อยวัยสิบสองปีผู้หนึ่ง มาอยู่ในตระกูลหลินโดยไม่มีผู้ใดเป็ที่พึ่งพาให้แม้แต่ผู้เดียว เขาว่าอะไรนางก็คงต้องทำตามเช่นนั้น และดูเหมือนว่าแม่นางไป๋ที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ชอบใจกับการกระทำของตระกูลหลินเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ เดิมทีลู่อวี่คิดว่าสาวน้อยวัยสิบกว่าปีผู้นี้ จะถูกไฟที่มีมาโดยกำเนิดทรมานเอา หลังจากถูกช่วยชีวิตไว้ และรู้ว่าการฝึกบำเพ็ญเพียรจะทำให้มีอายุที่ยืนยาวแล้ว จะรู้สึกดีใจ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็เพียงความคิดของเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น
ทันใดนั้นก็มีคนเอ่ยปากพูดว่า “แม่นางชิงรั่วอาจจะยังตื่นเต้นอยู่ พวกเราส่วนใหญ่มาที่นี่ก็เพราะใคร่รู้เกี่ยวกับเปลวไฟแปลกๆ เช่นไฟแท้จื่อเสวียน บังเอิญเมื่อ่หลายวันก่อนได้ชิ้นส่วนโลหะประหลาดมาชิ้นหนึ่ง หลังลองใช้เปลวไฟมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สามารถหลอมละลายและดัดแปลงมันได้ จึงคิดว่านำของที่ผู้อื่นให้มามอบให้กับอีกผู้หนึ่งเป็สินน้ำใจ เพื่อเป็ของขวัญแก่แม่นางชิงรั่วดีกว่า ขอเชิญแม่นางชิงรั่วแสดงพลังลึกลับของ ไฟแท้จื่อเสวียน ให้ทุกคนได้เห็นเป็ประจักษ์!”
คนผู้นี้ถือว่าตาถึงไม่น้อย หลังเห็นหลินฉงซิ่นถามแล้ว แต่เด็กหญิงยังมีท่าทีลังเลไม่กล้าตัดสินใจ จึงทำให้หลินฉงซิ่นเองพลอยทำตัวไม่ถูกไปด้วย จึงรีบะโออกมาแก้หน้าให้ทันที เพราะคิดว่าหลังจบเื่นี้ ตระกูลหลินคงปฏิบัติต่อตนอย่างยุติธรรมแน่นอน
“ดี เอาตามเช่นนี้ ข้าอยากเห็นไฟแท้จื่อเสวียนนี้มานานแล้ว ได้ยินว่าสามารถหลอมทองละลายเป็หมื่นได้ มันจะวิเศษเช่นนี้จริงหรือไม่?”
“ข้าก็แค่แปลกใจ ไฟพร์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะมาอยู่กับเด็กผู้หญิงธรรมดาผู้หนึ่งได้อย่างไร หากอิงตามความแข็งแกร่งของนางแล้ว จะสามารถรับความโหดร้ายทารุณของไฟในร่างกายได้อย่างไรกัน?”
“ไฟแท้จื่อเสวียน เดิมทีน่าจะเรียกว่าไฟ์จื่อเสวียน หลังถูกคนควบคุมได้เท่านั้นถึงจะถูกเรียกว่าไฟแท้ เด็กหญิงผู้หนึ่งที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน แต่มีไว้ใน นับว่าต้องมีโชคชะตาและโอกาสใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าตระกูลหลินคิดว่า หากตามหาจากเส้นสนกลในแล้วจะเจอเบาะแส”
ทันใดนั้นในห้องโถงใหญ่ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง และส่วนใหญ่ก็มองไปที่หลินฉงซิ่นด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา และหวังว่าจะตอบตกลงให้พวกเขาได้รับชมก่อน
“เอาละ ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ให้ลูกศิษย์น้อยแสดงไฟแท้จื่อเสวียนให้ดูสักหน่อย แต่ลูกศิษย์น้อยไม่เคยฝึกฝนมาก่อน เช่นนั้นแล้วไฟแท้จื่อเสวียนในเวลานี้ยังคงอ่อนแอไม่น้อย ทุกท่านโปรดอย่าได้ถือสา” เมื่อพูดจบก็ตบไปที่ไหล่ของจีชิงรั่วและกล่าวว่า “ศิษย์แสนดี ในเมื่อทุกคนอยากรับชมไฟแท้จื่อเสวียนของเ้า เช่นนั้นจงแสดงให้ทุกคนประจักษ์เสีย ไม่เป็อะไรหรอก!”
จีชิงรั่วพยักหน้าตอบรับ
ลู่อวี่จับตามองเด็กหญิงอย่างไม่ละสายตา ไฟแท้จื่อเสวียน ถึงแม้จะสู้ไฟแท้ไท่ซวีที่เขาใช้เมื่อชาติก่อนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟสองชนิดนี้ หนึ่งใช้ในการปรุงยาอายุวัฒนะ และหนึ่งใช้เพื่อหลอมอาวุธ มีความสำคัญที่ไม่เหมือนกัน แต่ชาติที่แล้วเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดังนั้นครั้งนี้จึงมีความรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ใจ
แต่กลับเห็นเด็กผู้หญิงผู้นั้นไม่พูดหรือมีปฏิกิริยาใดๆ แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ยื่นมือเล็กที่ใสสะอาดข้างหนึ่งออกมา แค่ชั่วพริบตาเดียว เงาสีม่วงอ่อนก็ควบแน่นขึ้นมาเป็เปลวไฟ ซึ่งมีขนาดเพียงนิ้วก้อยเท่านั้น หลังจากนั้นสักพัก เงานี้ก็ค่อยๆ กลายเป็ของจริง และชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันคือเปลวไฟสีม่วงดวงหนึ่ง แต่สีของไฟนี้เปลี่ยนจากสีจางๆ ไปเข้มและเมื่อถึง่ตรงกลาง สีของเปลวไฟก็กลายเป็สีม่วงเข้มมาก ใสราวกับแก้ว บริสุทธิ์ดูล้ำค่า
“อะ นี่คือไฟแท้จื่อเสวียนหรือ? เหตุใดถึงไม่รู้สึกร้อนเลยเล่า!”
“โง่เง่า เด็กหญิงผู้นี้ยังไม่เคยฝึกฝนมาก่อน รวบรวมไฟออกมาได้มันก็ไม่ง่ายแล้ว เวลานี้ไฟแท้จื่อเสวียนในตัวของนางยังไม่ถือว่าเป็ไฟแท้จื่อเสวียนที่แท้จริง ยังคงอยู่ในขั้นไฟธรรมดา มิเช่นนั้นตัวของนางจะรับไหวได้อย่างไร?”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง นึกว่าจะได้เห็นเปลวไฟที่หลอมละลายทองคำเป็หมื่นได้ว่า มันจะหลอมละลายอย่างไรด้วยตาตัวเองเสียอีก ตอนนี้คิดว่าคงไม่มีหวังเสียแล้ว”
แต่เวลานี้ จู่ๆ ลู่อวี่ก็ลุกขึ้นยืน โดยไม่มีท่าทีใเหมือนก่อนหน้านี้อีก เพ่งมองไปที่เปลวไฟในมือของจีชิงรั่วตาไม่กะพริบ พร้อมกับหอบหายใจเร็วขึ้น
“ไฟแท้จื่อเสวียน! ไฟแท้จื่อเสวียน? ฮ่าฮ่า!” ลู่อวี่พึมพำสองสามคำ และสีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็เยาะเย้ยแทน
ในเวลานี้ เิคงชายชราหัวโล้นที่อยู่ใกล้เขาที่สุด ก็เหลือบมองลู่อวี่ด้วยความประหลาดใจ และถามว่า “หมายความว่าอย่างไร เ้าไม่รู้จักไฟแท้จื่อเสวียนหรือ?”
ไป๋เยวี่ยเหร่าก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน แม้ว่านางจะไม่ได้ตั้งใจสังเกตลู่อวี่ แต่ก็ให้ความสนใจกับคนปรุงโอสถขั้นห้าที่อายุน้อยที่สุดในเทียนตูนี้เป็ครั้งคราว หากอิงตามความสามารถของนางที่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดกับไฟแท้จื่อเสวียน หรือว่าเขาสังเกตเห็นอะไร?
เวลานี้จีชิงรั่วเก็บไฟแท้จื่อเสวียนแล้ว แขกจำนวนมากก็กลับไปนั่งตามที่นั่งแล้ว และกำลังพูดคุยกันเอง
หลินฉงซิ่นเวลานี้ดึงตัวเด็กผู้หญิงไปกระซิบสองสามคำข้างหู เมื่อจีชิงรั่วพยักหน้าตอบรับด้วยความหวาดกลัว ถึงได้ยอมปล่อยตัวนาง และในขณะที่กำลังเตรียมเริ่มพิธีฝากตัวรับศิษย์อย่างเป็ทางการอยู่นั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนะโออกมาว่า “ช้าก่อน!”
ห้องโถงเงียบไปครู่หนึ่ง!
ผู้ใดช่างกล้าพูดออกมาอย่างไร้มารยาทในยามนี้?
เิคงและไป๋เยวี่ยเหร่าต่างตกตะลึง เพราะพวกเขาค้นพบว่า คนที่ร้องห้ามผู้นั้นคือนายน้อยตระกูลลู่ ลู่อวี่!
ลู่อวี่ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อสังเกตเห็นสายตาตั้งคำถามของหลินฉงซิ่นที่มองมาทางเขา ก็ประสานมือโค้งคำนับเคารพ และพูดว่า “ท่านลุงหลินโปรดให้อภัยด้วย เมื่อสักครู่รับชมไฟแท้จื่อเสวียนของแม่นางชิงรั่วแล้วรู้สึกสงสัย และมีบางอย่าง หากไม่ถามออกไปก็จะรู้สึกอัดอั้นตันใจไม่น้อย ไม่ทราบว่าท่านลุงหลินจะให้ข้าสอบถามสักประโยคได้หรือไม่?”
“อ้อ? เ้ามีอะไรจะถาม?” หลินฉงซิ่นรู้จักกับลู่อวี่ เมื่อเห็นเขาโผล่ขึ้นมาตั้งคำถามในเวลานี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นน้ำเสียงจึงฟังดูไม่สู้ดีนัก ถือว่าเสียงแข็งเลยทีเดียว
“ข้อแรก หลานอยากถามว่า ไฟแท้จื่อเสวียนนี้ อาจารย์ท่านใดเป็ผู้ค้นพบหรือ แล้วยืนยันได้อย่างไรว่านี่คือไฟแท้จื่อเสวียน?” ลู่อวี่เอ่ยปากถามอย่างไม่ยอมลดละ
สีหน้าท่าทางของทุกคนในห้องโถงใหญ่เปลี่ยนไปทันที ลู่อวี่ถามเช่นนี้ นั่นแสดงว่าเขากำลังสงสัยว่า ไฟนี้จะไม่ใช่ไฟแท้จื่อเสวียน หากตระกูลหลินมีข้อผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ หากเป็เช่นนั้น พิธีฝากตัวเป็ศิษย์นี้ก็ต้องกลายเป็เื่ตลกที่หนึ่งในเทียนตูไม่ใช่หรือ?
“เชอะ ไฟนี้ข้าเป็คนตรวจสอบพิสูจน์ให้เอง ครั้งแรกที่ข้าเห็นไฟนี้ ได้ทดสอบมันถึงสิบหกครั้ง และค้นหาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามที่หาได้ หรือว่าเ้ายังสงสัยว่าข้าทำผิดพลาด?”
เดิมทีลู่อวี่คิดว่าคนที่ตรวจสอบพิสูจน์คือคนของตระกูลหลิน ไม่คาดคิดว่าเสียงที่ได้ยินจะดังมาจากเบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกลกัน นั่นคือเสียงของชายชราผู้มีขนคิ้วและหนวดเคราสีขาว ผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในที่นั่งลำดับที่สองของแถวแรกตรงข้ามกัน นับว่าเป็ผู้ที่มีสถานะสูงส่งกว่านายน้อยรองของตระกูลเจียง
“หืม ปรมาจารย์หง หากเป็เช่นนั้น ก็ต้องใช่แน่นอน ไฟของจีชิงรั่วต้องเป็ไฟแท้จื่อเสวียน!” เขาว่าแล้ว ตระกูลหลินจะยืนยันได้อย่างไรว่านี่คือไฟแท้จื่อเสวียน ที่แท้ก็มีปรมาจารย์หงคอยตรวจสอบพิสูจน์ให้นี่เอง ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบพิสูจน์ของคนผู้นี้ครั้งหนึ่งสูงลิบลิ่ว เพราะไม่ใช่สิ่งที่นักพรตธรรมดาจะรับไหว
“ปรมาจารย์หง เป็ปรมาจารย์ตรวจสอบพิสูจน์ของเมืองเทียนตูเซียนมาตลอด มีความรู้กว้างไกล จะผิดพลาดได้อย่างไร? ไม่รู้ว่านายน้อยตระกูลลู่ผู้นี้จะทำอะไรอีก หรือว่ามีความแค้นกับตระกูลหลิน? “
“นายน้อยลู่ เ้าถามเช่นนี้หมายความว่าอะไร? หรือปรมาจารย์หงจะดูผิดหรือ? หากอธิบายไม่ได้ ต่อให้เ้าเป็นายน้อยตระกูลลู่ ก็ต้องได้รับโทษ!”
ลู่อวี่ไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์และคำคัดค้านของผู้อื่น ได้แต่มองปรมาจารย์หงและพูดออกมาช้าๆ ว่า “ทดสอบมากี่รอบ สืบเสาะหาข้อมูลเหล่านี้มากเท่าไร มันก็ไม่มีประโยชน์ ข้าเพียงถามว่าท่านปรมาจารย์อ้างอิงมาจากสิ่งใด ถึงได้ตัดสินใจว่าไฟนี้คือไฟแท้จื่อเสวียน!”
“เชอะ เหตุใดข้าต้องบอกเ้า กำลังถือสิทธิ์ที่เ้าเป็นายน้อยตระกูลลู่ หรือว่าคนปรุงโอสถขั้นห้า ถึงได้กล้ากล่าวถึงข้าเช่นนี้? แม้แต่บิดาของเ้าลู่เหว่ยจุน ประมุขตระกูลลู่ ก็ยังไม่กล้าพูดเช่นนี้กับข้า!” ปรมาจารย์หงพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่า ลู่อวี่ไม่ได้ถือสิทธิ์อะไร เพียงแต่ลู่อวี่ถือสิทธิ์ที่ว่า สิ่งที่แม่นางชิงรั่วผู้นี้มี มันไม่ใช่ไฟแท้จื่อเสวียน ข้ามีวิธีทดสอบในตอนนี้ นี่ถือเป็เหตุผลที่เพียงพอหรือไม่เล่า?”