“ตูม!”
เนี่ยเทียนตกกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เปลวเพลิงพิโรธในดวงตากระเพื่อมหายไปไม่หลงเหลืออยู่อีก
เขาปรับลมหายใจ สีหน้าเ็าน่าสะพรึงจ้องเขม็งไปยังอวี๋ถงที่อยู่ห่างจากเขาไปสิบกว่าเมตร แอบสำรวจสภาพของร่างกายตัวเอง
“แย่แล้ว...”
เพียงแค่รับััเล็กน้อย เขาก็ต้องยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ แอบร่ำร้องกับตัวเองว่าแย่แล้ว
เป็อย่างที่เขาคิดเอาไว้ หมัดพิโรธรูปแบบที่หนึ่งดึงเอาพลังิญญาทั้งหมดในมหาสมุทริญญาของเขาไปเสียเกลี้ยง
เขาในเวลานี้ ไม่เหลือพลังิญญาให้เอามาใช้อีกแม้แต่เส้นเดียว!
ไม่เพียงเท่านั้น หมัดหนึ่งที่กระตุ้นด้วยพลังทั้งหมดทำให้พลังจิตของเขาถูกเผาผลาญไปไม่น้อย บัดนี้สภาพทางจิตใจของเขาก็ย่ำแย่อย่างถึงขีดสุดไม่ต่างกัน
เขาลองขยับแขนเบาๆ ก็พบทันทีว่าแขนข้างนั้นหนักอึ้งอย่างถึงที่สุด หมัดเมื่อครู่นี้คล้ายเผาผลาญพละกำลังกล้ามเนื้อของเขาไปเสียหมด
คราวนี้สภาวะหลังการร่ายหมัดพิโรธของเขาแตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง!
คราวก่อน หลังจากที่เขาโจมตีไปหนึ่งครั้ง แค่เผาผลาญพลังิญญาไปสิ้นเท่านั้น จึงรู้สึกไม่สบายกายเล็กน้อย ทว่าพลังจิตยังคงเต็มเปี่ยม
แต่คราวนี้ หลังจากที่เขาเหวี่ยงหมัดเมื่อครู่ออกไป พละกำลังตลอดร่างก็เหมือนจะไหลออกไปเกลี้ยง
ตอนนี้แม้แต่การเดินที่เป็การกระทำธรรมดามากที่สุดก็ยังทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะเปรียบ
เขารู้แก่ใจดีว่า เขาที่อยู่ในสภาพเช่นนี้แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ต่อสู้ได้อีกแล้ว ต่อให้เป็คนธรรมดาที่ไม่ได้บำเพ็ญตบะก็อาจจะทำร้ายเขาได้
ตอนนี้สิ่งที่เขาควรจะทำมากที่สุดแท้จริงแล้วคือรีบนั่งลง หยิบเอาหินวิเศษในถุงผ้าออกมาฟื้นฟูพละกำลังโดยเร็วที่สุด
ทว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนี้
เพราะว่า อวี๋ถงที่ถูกเขาโจมตีอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านหน้าเขานี่เอง
เขารู้ว่าอวี๋ถงเองก็ต้องาเ็เหมือนกัน แต่เขาไม่รู้สภาพที่แท้จริงของร่างกายอวี๋ถงแน่ชัดนัก หากเขาเผยความย่ำแย่ออกไป ขอแค่อวี๋ถงยังเหลือกำลังอยู่ ถ้าเช่นนั้นนางย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะสังหารเขาอย่างแน่นอน
เขาไม่มีทางทำให้อวี๋ถงค้นพบว่าเขาในยามนี้ อ่อนแอถึงขีดสุด!
“นางคนชั่ว! รสชาติเป็อย่างไรบ้างเล่า?”
เขาหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง ลากเอาเรือนกายที่เหนื่อยล้าโรยแรงเต็มทีเดินเข้าไปหาอวี๋ถงทีละก้าว
เขารู้ดีว่ายิ่งเขาแสดงออกถึงความแข็งแกร่ง อวี๋ถงก็ยิ่งไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามมากเท่านั้น!
ระยะสั้นๆ เพียงแค่สิบเมตร ทำให้เขารู้สึกว่ามันช่างยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด เมื่อเขามาหยุดอยู่ข้างกายอวี๋ถง เขาก็คิดแต่อยากจะนั่งแปะลงไปแล้วไม่ต้องขยับกายอีกแล้ว
ทว่าเขากลับไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิด แต่ข่มกลั้นความรู้สึกอ่อนล้าของร่างกายเอาไว้ หลุบตามองเหยียดอวี๋ถงที่นอนหงายอยู่บนพื้น
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นะเื
อวี๋ถงที่นอนหมดสภาพอยู่บนทราย สีเืในดวงตาสลายไปจนหมด ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย มุมปากแดงสดของนางมีคราบเืติดอยู่หลายหยด
หยดเืขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารดุจดั่งดอกไม้สดงามสะพรั่งมากมายหลายดอกที่ผลิบานอยู่บนริมฝีปากและลำคอที่ขาวสะอาดของนาง แสดงให้เห็นว่านางดูเยือกเย็นและเปราะบาง
ปากของอวี๋ถงปิดสนิท มองประสานสายตากับเนี่ยเทียนด้วยความนิ่งสงบ ไม่กล่าวอะไรสักคำ
แสงสีเือ่อนจางถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างที่นอนอยู่ของนาง แสงสว่างเ่าั้คล้ายกำลังปกป้องนาง ไม่ให้นางได้รับาเ็
แท้จริงแล้วสภาพของนางไม่ได้ดีไปกว่าเนี่ยเทียนสักเท่าไหร่นัก
ตอนที่เนี่ยเทียนพุ่งเข้าโจมตี นางใกับเงาั์กลางอากาศที่ปรากฏขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดจนสั่นสะท้านไปทั้งใจ
โล่โลหิตที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันของนางจึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากเนี่ยเทียนได้เต็มกำลัง หลังจากหมัดของเนี่ยเทียนต่อยทะลุโล่โลหิตเข้ามา จึงตกกระทบลงบนหน้าอกของนางอย่างดุดัน
อานุภาพของการโจมตีนั้นทำให้นางาเ็สาหัสในทันที กระแสจิตของนางที่รับัักับเงาั์ในความว่างเปล่านั้นก็ถูกกระแทกจนแตกสลายไปด้วย
การก่อตัวของโล่โลหิตได้รวบรวมเอาพลังิญญาและเืลมของนางไว้ด้วยกัน เมื่อโล่โลหิตะเิออกเป็เสี่ยงๆ จึงทำให้นางถูกพลังโจมตีกลับ ภายใต้การถูกบีบคั้นอย่างจนใจ นางจึงจำต้องร่ายเวทลับอย่างหนึ่งของสำนักโลหิต---เวทรังไหมโลหิต
เวทรังไหมโลหิตสามารถทำให้เืลมในร่างของนางที่ยุ่งเหยิงมั่นคงขึ้นได้ สามารถทำให้นางค่อยๆ ฟื้นตัวช้าๆ และก็สามารถปกป้องนางได้ในระดับหนึ่ง
ทว่าตอนที่ใช้เวทรังไหมโลหิตมาฟื้นตัว นางกลับไม่สามารถเคลื่อนกายได้ และก็ไม่สามารถพูดได้ด้วย
สิ่งเดียวที่นางทำได้ภายใต้การรักษาจากเวทรังไหมโลหิตนี้ก็คือประสานสายตากับเนี่ยเทียน
นางพยายามทำให้ตัวเองแสดงออกถึงความนิ่งสงบ ไม่เปิดเผยความหวาดกลัวใดๆ ออกมา ไม่ให้เนี่ยเทียนมองเห็นความร้อนรนและกังวลในใจของนาง
“เหตุใดเ้าไม่พูดล่ะ?”
เนี่ยเทียนที่สายตาเ็ามองเหยียดลงมาที่ตัวของนาง กล่าวพร้อมหัวเราะเสียงหึหึ “ข้าได้ยินมาว่า เ้าคิดจะหลอมเืสดจากร่างข้ารึ? ตอนนี้ข้ามาแล้ว เ้าจะลองดูก็ได้นะ”
ั์ตาของอวี๋ถงเผยความดุร้ายออกมาทันที แต่กลับไม่พูดอะไรเช่นเคย
เนี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แอบประเมินอวี๋ถง สายตาค่อยๆ ไล่จากใบหน้าลงมาตามเรือนร่างของนาง
แสงสีเืขมุกขมัวที่ปกคลุมทั่วร่างของอวี๋ถงนั้นคล้ายเมฆโลหิตบางๆ ชั้นหนึ่งที่ห่อหุ้มเรือนกายอ้อนแอ้นของนางเอาไว้ คล้ายกำลังปกป้องไม่ให้นางถูกรุกรานทำร้าย
ทว่าด้วยสภาพของเนี่ยเทียนในตอนนี้ ต่อให้ไม่มีแสงโลหิตชั้นนั้น เขาก็ยากที่จะสังหารอวี๋ถงได้
การดำรงอยู่ของแสงโลหิตชั้นนั้นทำให้เขาเข้าใจทันทีว่า ต่อให้เขาฟื้นคืนพลังิญญาเพิ่มขึ้นมาอีกนิด เกรงว่าก็คงยากที่จะฝ่าการป้องกันจากแสงโลหิตนั้นแล้วทำให้อวี๋ถงตายอยู่ในโลกมายามรกตได้
“เ้าไม่อยากพูด หรือว่าพูดไม่ได้ล่ะ?” เนี่ยเทียนมองเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาลูบคลำคางของตัวเอง เอ่ยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “แม้แต่นิ้วมือเ้าก็ยังไม่ยอมขยับ แบบนี้ก็แปลว่า... เ้าาเ็จนขยับแม้แต่นิดก็ยังทำไม่ได้หรือเปล่านะ? หึ เมื่อเป็เช่นนี้ก็ไม่เท่ากับว่าข้าจะทำตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้หรอกหรือ?”
เมื่อพูดเช่นนี้เขาจึงมองเห็นว่าในที่สุดดวงตาของอวี๋ถงก็เผยความหวาดกลัวออกมา
“ฮ่าๆ!” เขาแสยะปากหัวเราะ จิตใจสงบมั่นคงอย่างมาก ค่อยๆ นั่งลงข้างกายอวี๋ถงช้าๆ
ยื่นมือออกไป เขามองดวงตาของอวี๋ถงพลางใช้นิ้วชี้ของมือข้างขวาแตะลงไปบนปลายคางอันงดงามของอวี๋ถง
เขามองออกถึงความลนลานและความอดสูของนาง
นิ้วมือของเขาแตะลงไปบนคางของอวี๋ถงอย่างระมัดระวัง แต่ที่ััโดนก่อนกลับเป็แสงโลหิตบางๆ ชั้นนั้น
แสงโลหิตบางๆ นั้น ในความรู้สึกของเขาคล้ายััโดนิัที่อ่อนนุ่มชั้นหนึ่ง
เขาที่แอบระวังตัวพบว่าแสงโลหิตชั้นนั้นไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันใดๆ ไม่ได้ร้อนลวกท้องนิ้วของเขาแต่อย่างใด
เขาไม่รู้ว่าแสงโลหิตที่เกิดจากเวทรังไหมโลหิต ต้องััได้ถึงคลื่นพลังิญญาเท่านั้นถึงจะออกแรงโจมตีกลับไปอย่างหนักหน่วง
และเขาในเวลานี้พลังิญญาถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ปลายนิ้วของเขาที่แตะลงบนคางของอวี๋ถง ไม่เหลือพลังิญญาใดๆ จึงไม่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเวทรังไหมโลหิตได้
“เอ๊ะ น่าสนใจมากเลย”
เนี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ ท้องนิ้วออกแรงกดลงไป พบว่าแสงโลหิตบางๆ ชั้นนั้นเมื่อถูกเขากดก็จมลงแนบติดกับผิวของคางอวี๋ถง
หากไม่มีแสงโลหิตบางๆ ชั้นหนึ่งขวางกัน แท้จริงแล้วนิ้วของเขาก็จะได้แตะลงบนคางใสสะอาดของอวี๋ถง
เมื่อเขาพบว่าแสงโลหิตที่ปกคลุมรอบกายอวี๋ถงคล้ายจะไม่มีอันตรายใดๆ เขาจึงวางทั้งฝ่ามือลงไปบนหน้าของอวี๋ถง
เขาที่นั่งยองๆ มองอวี๋ถงด้วยรอยยิ้มล้อเลียนเสียดสีเต็มใบหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน เพียงแต่ใช้ฝ่าลูบไล้ลงไปบนซีกแก้มของอวี๋ถงเบาๆ
ั์ตาของอวี๋ถงเผยความเกลียดชังเข้ากระดูกดำ โกรธจนแทบคลั่ง หากนางไม่ได้อยู่ในสภาวะพิเศษของเวทรังไหม นางจะต้องฉีกเนี่ยเทียนให้เป็ชิ้นๆ โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
“โอ๊ะ โกรธซะแล้ว?” เนี่ยเทียนเก็บรอยยิ้มกลับคืน ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็เ็าแล้วพูดขึ้นอีกว่า “ข้าได้ยินหยวนเฟิงบอกว่า ผู้ประลองของหอหลิงเป่าและสำนักหลิงอวิ๋นหลายคนตายด้วยน้ำมือเ้า ในบรรดาคนเ่าั้ที่เ้าสังหารไป มีเพื่อนของข้า และอาจจะมี... พี่ใหญ่ในตระกูลเนี่ยของข้า”
“เ้าสังหารเพื่อนของข้า ข้าก็แค่ลูบคลำใบหน้าเ้าเท่านั้น เ้ามีสิทธิ์อะไรมาโกรธข้ารึ?”
ระหว่างที่พูด มือข้างนั้นของเขาที่อยู่บนซีกแก้มของอวี๋ถงพลันเลื่อนมาอยู่บนลำคอระหงของนาง แล้วไถลพรวดลงมาด้านล่างกะทันหัน
ดวงตาที่เบิกกว้างของอวี๋ถงพลันเผยความหวาดกลัวออกมา เรือนกายที่นอนอยู่บนพื้นทรายของนางคล้ายจะสั่นเบาๆ ตามความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นในหัวใจ
เนี่ยเทียนยังคงจ้องมองนางด้วยสายตาเ็า ทว่ามือข้างนั้นกลับค่อยๆ เคลื่อนไปยังหน้าอกที่ชูชันของนาง แล้วบีบเคล้นลงไปอย่างแรงหลายที
อวี๋ถงที่เบิกตากว้างอยู่ตลอดเวลาคล้ายจะทนรับความอัปยศไม่ไหวจึงหลับตาลงทันควัน
เืแดงฝาดที่งามประหลาดอย่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนผิวขาวราวหิมะของนาง
เนี่ยเทียนที่อยู่แนบชิดกับนางพลันรู้สึกใจไม่เป็สุข คล้ายรู้ว่าบนร่างของอวี๋ถงมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขามิอาจเข้าใจได้
มือข้างนั้นที่วางอยู่บนหน้าอกของอวี๋ถงพลันเคลื่อนลงมาด้านล่าง กระชากเอาถุงหนังใบหนึ่งตรงเอวของอวี๋ถงออกมา
พอเปิดถุงหนังออก เขามองเห็นเนื้อแห้งหลายจินที่บรรจุอยู่เต็ม พร้อมน้ำสะอาดอีกหนึ่งถุง
“ขอบใจ”
เขาโบกมือให้กับอวี๋ถง หยิบเอาเนื้อแห้งเ่าั้ออกมา เคี้ยวกร้วมๆ คำใหญ่ พลางดื่มน้ำอักๆ ไปด้วย
เนื่องจากการดำรงอยู่ของแสงโลหิตหนึ่งชั้น เขาที่ไม่สามารถสังหารอวี๋ถงได้ พอสร้างความอัปยศให้กับอวี๋ถงได้จึงถอนตัวออกมาอย่างไม่ลังเล
หลังจากที่เขาออกมาจากที่แห่งนั้นได้สองชั่วยาม ม่านแสงโลหิตที่ปกคลุมทั่วร่างอวี๋ถงพลันแตกกระจาย
“เนี่ยเทียน!”
ท่ามกลางทะเลทรายร้างโล่งแจ้ง มีเสียงกรีดร้องรวดร้าวของอวี๋ถงดังลอยมา เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดแค้นที่โหมซัดสาด
-----