หั่วอี้มีสีหน้าขึงขังจนอาเหมิ่งต๋าต้องหัวเราะ ‘แหะๆ’ ออกมา แล้วนั่งสงบปากสงบคำ
“พูดถึงตรงนี้เมื่อครู่ข้าก็เอาแต่เป็ห่วงเื่ที่องค์หญิงจะได้รับอันตรายกลับยังไม่ได้ถามคนมาส่งข่าวว่าเขารู้เื่ที่ท่านถูกลักพาตัวไปได้อย่างไร”หั่วอี้ที่เพิ่งสงบใจลงเพิ่งนึกถึงคนส่งข่าวขึ้นมาได้
“อาฉาย เข้ามาตอบซิ” หั่วอี้ร้องเสียงดังไปข้างนอกประตู
“ขอรับๆๆ” หลังจากมีเสียงแ่เบาอย่างปราณส่วนกลางไม่พอดังตอบก็มีคนผู้หนึ่งเปิดผ้าม่านเข้ามา
หลิ่วจิ้งอดหันมองไปไม่ได้ เพราะการที่ตนเองได้รับการช่วยเหลือก็ต้องเกี่ยวข้องกับคนที่เข้ามานี้
คนที่เข้ามามีรูปร่างหน้าตาเช่นบ่าวไพร่ทั่วไปหลิ่วจิ้งรู้สึกว่าไม่ว่ามองอย่างไรคนผู้นี้ก็คุ้นหน้านัก
คนผู้นั้นก้มหน้าโค้งตัวเดินพอเข้ามาในห้องก็รีบโน้มตัวลงคารวะหั่วอี้และอาเหมิ่งต๋า
“เอาล่ะ รีบตอบมา อย่าให้ข้ารอจนทนไม่ไหวแล้วจะไม่เกรงใจเ้า”
พร้อมๆ กับเสียงะโลั่นของอาเหมิ่งต๋า คนผู้นั้นก็ตัวสั่นขาอ่อนนั่งพับลงกับพื้นแม้จะบอกว่าในยามปกติที่เขาติดตามคุณชายบ้านตนก็จะมีแต่พวกเขาไปรังแกคนอื่นน้อยนักจะมีคนมาหาเื่หาราวคุณชายบ้านเขาพวกเขาจึงเคยชินกับวันคืนชนิดสุนัขป่าอาศัยบารมีเสือเสียแล้วจะเคยพบเห็นคนดิบเถื่อนเช่นอาเหมิ่งต๋ามาก่อนที่ใดกัน
ท่าทางของคนผู้นั้นน่าขันนัก หลิ่วจิ้งเห็นแล้วกลับรู้สึกขำจึงหัวเราะคิกคักออกมา
เดิมทีหั่วอี้กำลังจะบันดาลโทสะแต่กลับโดนเสียงหัวเราะของหลิ่วจิ้งส่งผลต่อจิตใจจนสีหน้าของเขาผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มยิ้มจางๆ ออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็บ่อยนัก
คนที่ชื่อว่าอาฉายเมื่อครู่เพิ่งจะล้มพับลงไปใจนหน้าซีดเสียตั้งนานแล้ว ในขณะที่ผวาตื่นกลัวอยู่กลับเห็นหลิ่วจิ้งยิ้มเบาบางพลางพยักหน้าน้อยๆ
เขาจึงคอยปาดเหงื่อบนหัวพลางมองหลิ่วจิ้งด้วยความซาบซึ้งใจ ด้วยรู้ว่าหากไม่ได้เสียงหัวเราะขององค์หญิงเขาคงต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็แน่
“ระ…เรียนท่านแม่ทัพขอรับ เื่เป็เช่นนี้…”เขาพยายามสะกดเสียงสั่นเครือของตน เล่าว่า“คืนนี้ข้ากับอาปู้สองคนกลับจากนอกเมืองจะกลับเข้าจวน แล้วมีรถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านไปในทิศทางเดียวกันพอดีว่าองค์หญิงเปิดม่านขึ้นพูดจากับเด็กรับใช้บนรถขอรับ
เดิมทีบ่าวก็ไม่ได้สนใจอันใดเพียงแต่เด็กรับใช้ผู้นั้นบอกว่าเส้นทางสายนั้นเป็ทางลัดกลับจวนแม่ทัพบ่าวจึงคิดว่าไม่ชอบมาพากลขอรับ
บ่าวและอาปู้สองคนแอบตามหลังไป เห็นไกลๆ ว่าเด็กรับใช้สองคนนั่นพาองค์หญิงไปที่ศาลเ้าร้างและตอนนั้นมีคนคาดผ้าดำบนใบหน้าเดินออกมา บ่าวจึงรู้ว่าเกิดเื่แล้วขอรับ
บ่าวอยู่คอยดูต่อ แล้วให้อาปู้กลับไปรายงานท่านดีที่ท่านแม่ทัพเร่งมาทันการณ์และช่วยองค์หญิงเอาไว้ได้ขอรับ”
อาฉายพูดจบก็มองหั่วอี้และอาเหมิ่งต๋าทั้งสองคนอย่างระมัดระวังไม่รู้ว่าเขาลุกจากท่านั่งพับอยู่กับพื้นมาอยู่ในท่าคุกเข่าั้แ่เมื่อใด
ฟังเื่ที่อาฉายเล่าจนจบ สัญชาตญาณของหลิ่วจิ้งกลับบอกว่าอาฉายไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดเื่นี้บังเอิญเกินไป นางไม่เชื่อว่าตนจะโชคดีเพียงนี้ ดีจนถึงขั้นถูกคนจับตัวไปแล้วมีคนผ่านมาพบเห็นเข้าพอดีทั้งยังไปรายงานต่อหั่วอี้ได้รวดเร็วอีกด้วย
เพียงแต่หลิ่วจิ้งเองก็ยังบอกไม่ถูกว่าที่ใดไม่ถูกต้องแต่ไม่ว่าอย่างไรหั่วอี้ก็มาช่วยนางเอาไว้ทันเพราะได้คนผู้นี้นำทางมา
ยิ่งหากหั่วอี้ไปถึงช้ากว่านั้นสักหน่อยเมื่อยาสลบที่ซัดใส่คนผู้นั้นหมดฤทธิ์ นางก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง
หลิ่วจิ้งจึงยอมรับว่าเขามีบุญคุณที่นำทางไปจนพบตัวนาง
“ขอบใจเ้า เพียงแต่เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็ข้า”
หลิ่วจิ้งรู้ว่าวันนี้ตนเองออกนอกบ้านเป็ครั้งแรกนับั้แ่มาถึงแคว้นชางอี้และครั้งแรกที่นางเปิดเผยหน้าตาก็คือตอนที่อยู่ในวังหลวงดูไปแล้วอาฉายผู้นี้ก็ไม่เหมือนกับบ่าวที่จะสามารถเข้าออกวังหลวงได้และนับั้แ่หั่วอี้พานางกลับมาที่จวนแม่ทัพ นอกจากคนในจวนแล้วคนนอกก็ไม่มีใครเคยเห็นนางอีก
แล้วเื่นี้ อาฉายจะอธิบายต่อนางอย่างไร
“เรียนองค์หญิง บะ…บ่าว….” อาฉายพูดถึงตรงนี้ก็กลับไม่กล้าเอ่ยต่อ
“เขาเป็เด็กรับใช้ของเฉินลี่เฟย บ่าวที่ติดตามเฉินลี่เฟยตอนอยู่หน้าหอหรงซินก็มีเขาอยู่ด้วยคิดว่าคงจะรู้จักองค์หญิงในตอนนั้น”
หั่วอี้กลับพูดแทนเขาจนจบ
“ขอรับๆ เป็ดังนี้ขอรับ” อาฉายรีบพูด พร้อมกับเหงื่อบนหัวที่ทะลักไหลออกมายิ่งกว่าเดิม
ความเป็มาที่เขารู้จักองค์หญิงกลับไม่ใช่เื่ที่ดีนัก จึงกลัวเหลือเกินว่าองค์หญิงจะพาลมาโกรธเขาด้วยเื่เมื่อตอนกลางวัน
“มินาเล่า ข้าจึงรู้สึกว่าคุ้นหน้าเ้านัก ที่แท้เพราะเหตุนี้เอง”
รู้เช่นนี้หลิ่วจิ้งจึงนึกขึ้นมาได้ว่าที่แท้แล้วเป็คนที่เคยพบมาก่อนจริงๆ
“ท่านแม่ทัพเ้าคะ ไม่ว่าอย่างไรบุญคุณที่ช่วยชีวิตครานี้ก็ควรได้รับรางวัลนะเ้าคะ”
แม้หลิ่วจิ้งยังรู้สึกเคลือบแคลงในคำพูดของเขาแต่ในขณะที่ยังไม่รู้เื้ัที่แท้จริง เมื่อมีความชอบก็ต้องให้รางวัล
หั่วอี้ยังไม่พูดว่าเห็นด้วยหรือไม่ เขาอาจรู้สึกว่าคำอธิบายเช่นนี้มีความบังเอิญเกินไปกระมัง
“ท่านแม่ทัพคิดเห็นเช่นใดเ้าคะ?” หลิ่วจิ้งเห็นว่าหั่วอี้ยังคงนิ่งเงียบ จึงพูดเตือนเขา
แม้ยามปกติหากอาเหมิ่งต๋าพูดแล้วก็จะไม่ยอมหยุดเหมือนพอมีลมก็จะมีฝนตามมา แต่ยามเขาอยู่ต่อหน้าหั่วอี้กลับสงบลงมากเมื่อเขาเห็นว่าหั่วอี้ไม่พูดไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะไม่ออกความคิดเห็นด้วยเช่นกัน
จนเมื่ออาฉายทนบรรยากาศดึงเครียดเช่นนี้ไม่ไหวร่างอ่อนยวบลงไปคุกเข่าตัวสั่นอีกหนที่สุดหั่วอี้ก็เอ่ยปาก “เป็ดังคำองค์หญิง เพราะเ้ามีความชอบที่นำข่าวมาบอกให้รางวัลเ้าห้าร้อยตำลึงเงิน”
หลังได้ยินคำของหั่วอี้ อาฉายก็ล้มลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้งพักใหญ่จึงนึกขึ้นได้และเอ่ยขอบคุณ
หั่วอี้สะบัดมือส่งสัญญาณว่าให้เขาออกไปได้ อาฉายรีบโขกหัวกับพื้นเสียงลั่นหลายหนก่อนจากไป
เมื่ออาฉายออกนอกลานเรือนแล้วก็ปาดเหงื่อบนใบหน้าไม่หยุดจากนั้นเร่งไปที่จวนขุนนางโหวขั้นเอกด้วยความหวาดกลัว
“องค์หญิง คนที่ลักพาตัวท่านไปบอกสาเหตุที่พวกมันจับท่านไปหรือไม่”
จนอาฉายออกไปแล้ว หั่วอี้จึงถามสิ่งที่เขาอยากถามนานแล้วออกไป
“จริงด้วยๆ คนพวกนั้นเป็ผู้ใด เห็นหน้าตาพวกมันหรือไม่?” อาเหมิ่งต๋าอดแทรกขึ้นมามิได้
“คนที่จับข้าไปคาดผ้าดำปิดหน้า ข้าจึงไม่เห็นหน้าตาพวกมันชัดเจนแต่ก็รู้ว่าพวกมันมีกันทั้งหมดสามคน
พวกมันบอกว่า เพราะท่านแม่ทัพเคยชิงตัวฮูหยินของพวกมันมาพวกมันจึงมาหาสตรีของท่านแม่ทัพ และก็เพราะว่าข้าเป็สตรีของท่านแม่ทัพจึงกลายเป็เป้าหมายของพวกมัน”
หลิ่วจิ้งเล่าสิ่งที่นางรู้ให้หั่วอี้ฟังด้วยน้ำเสียงไม่ดี
“ใช่แล้วท่านแม่ทัพ เด็กรับใช้สองคนนั้นเป็คนในจวนแม่ทัพจริงๆกลับไม่รู้ว่าในจวนแม่ทัพยังมีคนที่แฝงตัวเข้ามาอีกมากมายเท่าใดท่านแม่ทัพต้องจัดการคนเหล่านี้ให้หมดโดยไวได้เป็ดี หาไม่เื่เช่นนี้ก็ยังจะเกิดขึ้นอีกนะเ้าคะ”
เื่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาก็เป็สิ่งที่หลิ่วจิ้งชิงชังเป็ที่สุดเช่นคนใจคดผู้นั้น ต่อให้นางมีโอกาสให้ได้เริ่มใหม่อีกครั้งนางก็ยังไม่อาจเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาจากท่าทีในยามปกติธรรมดาของเขาเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้หลิ่วจิ้งก็กดเล็บเข้าไปในอุ้งมือโดยไม่รู้สึกเจ็บสักนิด
“จับสตรีของพวกมันมาหรือ? ข้าเคยไปชิงสตรีของผู้อื่นเมื่อใดกัน? สตรีที่มาอยู่กับข้า คนใดบ้างที่ไม่ได้ยินยอมมากับข้าด้วยความพึงใจข้าเคยไปทำเื่ชิงฮูหยินผู้อื่นเมื่อใดกัน พูดมาเช่นนี้ ข้ากลับประหลาดใจนัก”
_____________________________
